ตอนที่ 250 เทวีเมทินี
‘เจ้าคงได้ยินมาบ้างสินะ ว่าเนื้อสัตว์อสูรให้ผลกับผู้มีพรสวรรค์เพียงครึ่งเดียว’
เหล็กไหลราชันย์พูดราวกับนางล่วงรู้ทุกสิ่ง
‘ข้ารู้ เจ้าจะพูดอะไรกันแน่ วกไปวนมาอยู่ได้ รีบพูดมาอย่าให้ข้าหมดความหมดทน’
เหนือภพรู้สึกหงุดหงิดใจอย่างบอกไม่ถูก แม้เสี้ยวหนึ่งในใจจะออกมาค้านว่าเขาโมโหง่ายเกินไปแล้ว แต่เขาก็รู้สึกว่าเจ้าเหล็กไหลนี่กวนอารมณ์อยู่ดี
‘เฮอะ ใจร้อนไปได้ ที่จริงเนื้อสัตว์อสูรมีพิษอยู่’
‘พิษ ?’
‘ผลพิเศษของสัตว์อสูรที่มนุษย์กินเข้าไป จะเปลี่ยนร่างกายของมนุษย์ให้มีพลังความสามารถพิเศษขึ้นอย่างน่าเหลือ มนุษย์มักคิดว่าสิ่งนี้คือประโยชน์ที่ทำให้มนุษย์แข็งแกร่ง นั่นก็จริง แต่มนุษย์ไม่รู้เลยว่าหากกินอย่างไม่ยั้งคิด เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายอ่อนแอลง ผลลัพธ์นั้นจะเปลี่ยนร่างกายของมนุษย์ให้กลายเป็นสัตว์อสูร ที่พอจะมีสติหน่อยก็กลายเป็นครึ่งอสูร หรือที่มนุษย์อย่างพวกเจ้ารู้จักในชื่ออสูรรูปร่างมนุษย์’
เมื่อเหนือภพได้ยินนั้นก็นิ่วหน้า
‘ไม่จริงมั้ง เจ้าจะบอกว่าสัตว์อสูรที่พวกเราเจอ ล้วนแต่เคยเป็นมนุษย์ก่อนงั้นเหรอ’
‘ใช่และก็ไม่ใช่ ความทรงจำของข้ายังตื่นไม่เต็มที่ ข้ายังอธิบายเรื่องนี้ได้ไม่ละเอียดนัก แต่ฟังคำข้าไว้ให้ดี อย่างน้อยข้าก็อยู่มานานกว่าแสนปี พบเห็นเรื่องมามากมาย ข้ายังไม่อยากให้ว่าที่นายของข้า กลายเป็นตัวประหลาดพิลึกน่าเกลียดน่ากลัว’
‘งั้นข้าควรจะทำยังไง’
เหนือภพสับสน เขาเริ่มรู้สึกตื่นกลัวไม่น้อย คิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องน่ากลัวแบบนี้อยู่ด้วย
‘ตัวเจ้ามีสายเลือดเก่าแก่ของอสูรไหลเวียนอยู่ ผลกระทบนี้จึงมีโอกาสที่จะเกิดกับเจ้าน้อยมาก หรืออาจไม่เกิดขึ้นเลย เพราะเจ้าแทบจะไม่มีสายเลือดของมนุษย์ไหลเวียนอยู่แล้ว แต่ถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็หลีกเลี่ยงซะ เพราะเจ้าในตอนนี้ก็ไม่ต่างจากกินเลือดเนื้อเผ่าพันธุ์เดียวกันอยู่’
จิตวิญญาณเหล็กไหลราชันย์กล่าวอย่างยืดยาว น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความสงสัย และก็แปลกใจไม่แพ้เหนือภพ
‘แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ไอสวรรค์สามารถชำระล้างพิษนี้ได้ แต่สำหรับเจ้าข้าไม่ค่อยมั่นใจนัก เพราะเจ้าเป็นเผ่าพันธุ์ที่ประหลาด ข้ารู้สึกคล้ายว่าจะรู้จัก แต่ข้านึกไม่ออกจึงบอกไม่ได้ในตอนนี้ ส่วนเหตุผลที่พวกผู้มีพรสวรรค์ได้รับผลพิเศษของเนื้อสัตว์อสูรเพียงครึ่งเดียวนั้น อาจดูเหมือนว่าพวกเขาเสียเปรียบพวกไร้พรสวรรค์ แต่ความจริงพวกนั้นนับว่าถูกสร้างขึ้นมาอย่างไม่ยุติธรรมสักเท่าไหร่ คนที่เกิดมาพร้อมกับไอสวรรค์ ทำให้สามารถใช้ปราณอาคมได้ และไอสวรรค์นี่แหละมันเป็นภูมิต้านทานชั้นยอด ทำให้พิษของเนื้อสัตว์อสูรแทบจะทำอะไรไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่าจะเสมอไป ต่างจากมนุษย์ผู้ไร้พรสวรรค์ที่แสนน่าสงสาร หากไม่ระวังก็จะกลายเป็นตัวประหลาดน่าเกลียดน่ากลัวในสักวัน’
เหนือภพนิ่วหน้า แบบนี้เขาควรจะทำยังไงกับเนื้อสัตว์อสูรที่เขาซื้อมามากมายกัน
‘แล้วข้าจะฝึกฝนต่อไปได้ยังไง’
‘นี่เจ้ายังไม่รู้ตัวหรือไง’
‘รู้ตัว รู้ตัวอะไร เจ้าพูดให้ข้าเข้าใจมากกว่านี้หน่อยสิ’ อารมณ์ของเหนือภพเริ่มจะคุกรุ่นขึ้นมาอีกครั้ง
‘เห้อ ว่าที่นายของข้า ไยโง่เขลาเพียงนี้ ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะรู้ตัวนานแล้วเสียอีก ถึงเหตุผลที่เจ้าไม่สามารถทะลวงระดับฝึกฝนได้ด้วยวิธีปกติอย่างวิถีสวรรค์ แต่พอได้รับไออสูรเข้าไป พลังฝึกฝนของเจ้าก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เจ้าไม่คิดสงสัยจริง ๆ เหรอ’
‘หืม ?’
เหนือภพปิดเปลือกตาลง พลางย้อนคิดถึงอดีต เวลาที่เขาพยายามฝึกฝนวิถีสวรรค์ ตามแบบของอาจารย์ เขากลับพัฒนาได้ช้ากว่าคนทั่วไปถึงสองเท่าหรือมากกว่านั้น ในตอนนั้นเขาค้นพบว่าตัวเองสามารถพัฒนาลมปราณได้เพียงเท่านี้ หรือแม้ตอนนี้การทะลวงขั้นฝึกฝน จากกายเหนือมนุษย์ช่วงปลายไปยังกายเหนือดิน ความเป็นไปได้ยังกว้างจนเขาแทบไม่เห็นปลายทาง
จนเขารู้สึกว่าจะต้องใช้เวลายาวนานกว่าจะสำเร็จ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เหนือภพคิดเองทั้งหมด แต่สำนึกรู้ภายในจิตวิญญาณบอกเขาอย่างนั้น เว้นเสียว่าเขาจะค้นพบเส้นทางที่ถูกต้อง
‘อะไรคือทางที่ถูกต้อง’
ในหัวสมองของเหนือภพเต็มไปด้วยคำถาม เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไรตัวเองจึงรู้สึกแบบนั้น เขารู้สึกว่าการฝึกที่เขาทำมานั้นไม่ถูกต้อง ทั้ง ๆ ที่เขาปฏิบัติตามคำแนะนำของอาจารย์อย่างเคร่งครัด อีกทั้งยังไม่มีสิ่งใดขัดแย้งกับตำรามากมายที่เขาอ่านมาด้วย
‘เจ้านึกออกหรือยัง’
เหนือภพพยักหน้า
‘ที่แท้วิถีที่ข้าจะฝึกได้มีเพียงวิถีอสูรสินะ’
‘ไม่เลวนี่ แต่เพิ่มไปอีกอย่าง พวกเราเพิ่งได้ของขวัญมาใหม่ ไม่สู้ใช้มันหลอมรวมกับปราณอสูรของเจ้า สร้าง ‘ปราณมารอสูร’ ขึ้นเสีย รับรองคราวนี้ไม่ต้องกลัวว่าใครจะใช้ไอมารควบคุมพวกเราได้อีก อีกอย่างหากเจ้าฝึกปราณวิถีอสูรเต็มขั้น ปราณราชันย์ยักษาของเจ้าแต่เดิมก็เป็นปราณอสูร การพัฒนาต่อย่อมไม่ยากเย็น เพราะปราณสอดคล้องกับวิถีของเจ้า ดีไม่ดีอาจพัฒนาไปได้ไกลกว่าเดิม’
เหนือภพยิ้มกว้างอย่างเข้าใจ
‘ขอบคุณ ข้าควรจะเรียกเจ้าว่าอะไร’
‘ข้ามีนามว่า เทวีเมทินี ราชันย์แห่งพื้นพิภพ จะคิดว่าข้าเป็นเทพก็ได้’
‘งั้นข้าเรียกง่าย ๆ ว่า ‘เม’ ละกัน ช่วยเตือนข้าด้วย หากข้าอยู่ในสมาธินานเกินหนึ่งปี ข้าไม่อยากให้ศัตรูของข้ารอนานนัก’
‘รีบออกไปไวเพียงนี้เลยรึ ข้ารู้สึกว่าที่นี่เหมาะกับข้าจะตาย ห้วงเวลาเดินเร็ว สำหรับจิตวิญญาณธรรมชาติอย่างข้าน่ะ ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งแข็งแกร่ง’
‘ไว้คราวหน้า ครั้งนี้ข้ามีหลายอย่างต้องทำ’
‘ก็ได้ ข้าตามใจเจ้า’
เมื่อเหนือภพสามารถค้นหาเส้นทางของตัวเองที่ถูกต้องจนพบ เขาก็ชักนำไออสูรเทียมที่ซึมซับอยู่ภายในร่างกาย แล้วปล่อยมันออกมานอกร่างกาย ก่อนจะซึมซับมันเข้าไปอีกครั้ง แต่เป็นการซึมซับอย่างละเอียด คัดกรองเอาแต่เพียงคุณประโยชน์ของไออสูร ส่วนที่เป็นภัยก็แยกมันออก ก่อนจะชักนำไอมารที่เกาะกุมร่างกายขึ้นมาอีกกลุ่ม แยกมันออกไปสองฝั่ง ฝั่งซ้ายคือไอมาร ฝั่งขวาคือไออสูร แล้วค่อย ๆ บีบบังคับให้พวกมันหลอมรวมกัน
โชคดีที่ไออสูรกับไอมารไม่ใช่น้ำกับน้ำมัน แต่มันเหมือนเป็นน้ำกับเลือด มันย่อมผสานเข้ากันได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลา เมื่อมันหลอมรวมเข้าหากัน ไม่เพียงเปลี่ยนรสชาติของน้ำ แม้แต่สีก็ยังเปลี่ยนไป ไม่ต่างจากไออสูรของเขาตอนนี้ จากเดิมเป็นสีชาด สีแดงเลือดนก มาบัดนี้กลับกลายเป็นสีไวน์แดงที่เข้มขึ้น อันเป็นผลมาจากไอมาร
คุณสมบัติของมันก็เปลี่ยนไปด้วย มันรวบรวมความร้ายกาจของทั้งสองปราณเอาไว้ ก่อเกิดเป็น ‘ปราณมารอสูร’
เหนือภพลืมตาตื่นขึ้น ดวงตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีไวน์แดง ออร่าปราณรอบกายจากที่เคยมีสีเหลืองนวล หรือบางครั้งก็เปลี่ยนเป็นปราณสีดำแบบมาร มาบัดนี้ได้หลอมรวมเป็นหนึ่ง กลายเป็นสีเข้มของไวน์แดงที่กำลังสั่นไหวอย่างบ้าคลั่งชั่วร้าย ก่อเกิดแรงกดดันปราณที่ประหลาด
‘เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้พวกนั้นเลยนะนี่’
เทวีเมทินีหัวเราะคิกคักชอบใจ หากเหนือภพแข็งแกร่งขึ้น ตัวนางก็แข็งแกร่งขึ้นด้วยเช่นกัน
‘เม เวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้ว’
‘เพิ่งผ่านไปแค่เจ็ดเดือนกว่าเอง ยังมีเวลาเหลือเฟือ ทำไมเจ้าไม่ฝึกต่อล่ะ’
‘ไม่ล่ะ ถึงข้าจะรวบรวมปราณมารกับอสูรเข้าด้วยกันได้ แต่นี่เป็นขีดจำกัดของตัวข้า ข้ารู้ดี เพียงแค่ขอบเขตครึ่งก้าวสู่กายเหนือดิน ก็มากพอที่จะกำจัดพวกมันแล้ว ฝึกไปก็เสียเวลาเปล่า ไม่สู้ออกไปหาวัตถุดิบดีกว่า’
เหนือภพมองไปยังวัตถุดิบจำพวกเนื้อสัตว์อสูรที่ยังเหลืออยู่ ใช่ว่าพวกมันจะไร้ประโยชน์สำหรับเขา แท้จริงแล้วเนื้อสัตว์อสูรส่วนที่ทำให้มนุษย์แข็งแกร่ง ไม่ใช่เพียงแค่เซลล์ที่อยู่ในเนื้อส่วนพิเศษของสัตว์อสูรเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีไออสูรผสมอยู่ด้วย
หลักการทำงานของมันก็คือ เซลล์ของสัตว์อสูรคล้ายปรสิตชนิดหนึ่ง เมื่อเข้าสู่ร่างกายมนุษย์พวกมันย่อมอ่อนแอ แต่เพื่อที่จะเอาชีวิตรอด พวกมันจึงต้องทำให้ร่างที่มันเกาะติดแข็งแกร่งขึ้น ด้วยการมอบความสามารถ โดยไออสูรจะส่วนเสริมความสามารถนั้นให้มีผลกับมนุษย์แทน
ซึ่งความสามารถแท้จริงของไออสูร คือการเร่งกระบวนการเติบโตของปรสิต เมื่อปรสิตได้รับไออสูรมากพอจากภายนอก มันจะเติบโตขึ้นและควบคุมเจ้าของร่าง
ปรสิตชนิดนี้ใช้ร่างกายของเจ้าของร่างเป็นแหล่งอาหาร พลังงานและชีวิต ทำให้มนุษย์ที่ถูกปรสิตนี้เกาะติด หากได้รับไออสูรกระตุ้นจากภายนอกก็จะเกิดกระบวนกลายพันธุ์ บ้างก็กลายเป็นสัตว์อสูร บ้างก็กลายเป็นครึ่งอสูรที่มีสัญชาตญาณการล่า ฆ่าทุกชีวิตที่พบเห็น
ส่วนทำไมเหนือภพไม่เป็นอะไรนั้น เขาก็ไม่อาจให้คำตอบตัวเองได้ แต่ดูเหมือนความลับที่ว่า ‘มีเพียงแต่ตระกูลเหนือที่ควบคุมไออสูรได้’ จะไม่ใช่เรื่องเลื่อนลอยเสียแล้ว
ทว่าเหนือภพก็ไม่คิดจะเสี่ยงอยู่ดี เขาเป็นคนที่ชอบความพร้อมและก็ความแน่นอน เขาจึงคิดวิธีการใหม่ขึ้นมา
เมื่อใดที่เขากินเนื้อสัตว์อสูรเข้าไป เขาก็จะแค่ซึมซับเพียงแค่ไออสูร แล้วขจัดส่วนเป็นพิษอย่างเซลล์อสูรออกทางรูขุมขนและการขับถ่ายหนักเบา มันก็ช่วยเพิ่มพลังให้เขาได้อยู่บ้างถึงจะไม่มาก แต่พอกินจำนวนมากเข้า ไออสูรที่เขาได้รับก็มากขึ้น จนเขามีความรู้สึกว่าเขาไม่สนหรอกว่าจะกินเนื้อเผ่าพันธุ์เดียวกันหรือไม่ ถ้าหากทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นได้ ต่อให้เป็นเนื้อมนุษย์เขาก็จะกิน
ก่อนเหนือภพจะกลับออกจากมิติบรรพกาล เขาก็ใช้เวลาสามเดือนให้คุ้มค่า อย่างแรกเขาทำการตกแต่งเกราะจอมทัพสีทองของนิลปัทม์ใหม่ เขารู้สึกว่าสีทองสวยดี แต่เด่นเกินไป จึงทำการขูดลอกทองบางส่วนออกใส่กระเป๋า เหลือเพียงเส้นทองบาง ๆ แล้วทาสีดำจนทั่วเกราะ ปิดท้ายด้วยการเคลือบน้ำยางไม้สีดำกันสนิม ทำให้มันเงางาม กลายเป็นชุดเกราะดำขลิบทอง ทั้งยังมีชื่อของเหนือภพ ที่เขียนขึ้นด้วยสีทองด้านหลังเกราะว่า ‘เหนือภพ’ เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ