บทที่ 30 เนื้อเรื่องที่แปรเปลี่ยน
บทที่ 30 เนื้อเรื่องที่แปรเปลี่ยน
การปรากฏตัวขึ้นของลูเซียสเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้สถานการณ์เริ่มเลวร้ายลง การปรากฏออกมาเปิดเผยตัวตนของแวนเฮลซิ่งส่งผลทำให้ชาวเมืองไม่สบายใจยิ่งกว่าเดิม
ไม่มีผู้ใดเต็มใจที่จะยอมรับอาชญากรซึ่งทางการต้องการตัวให้เข้ามาในเมืองของพวกเขา เพื่อความปลอดภัยของครอบครัวพวกเขาจะก้าวเท้าออกมาไม่ว่าจะเป็นตาขาวแค่ไหนก็ตาม
"จับเขาไว้!" ลูเซียสปลุกระดมฝูงชน
“ในนามของนายกเทศมนตรีข้าสั่งให้ทุกคนช่วยกันจับฆาตกรคนนี้! ข้าสัญญาว่าเงินรางวัลของเขาจะถูกใช้เพื่อสร้างเมืองนี้ขึ้นมาใหม่และเพื่อช่วยเหลือหญิงม่ายและเด็กกำพร้า!”
ผลกระทบของคำสัญญานั้นยอดเยี่ยมมาก! เมื่อได้ยินเช่นนี้ชายฉกรรจ์สองสามคนก็พุ่งเข้าใส่แวนเฮลซิงทันทีและพยายามที่จะจับตัวเขา
แวนเฮลซิงจะยอมแพ้ง่ายๆโดยไม่เกิดการต่อสู้กลับได้อย่างไร? เขาเป็นคนหยิ่งยโสมาตั้งแต่แรก แม้ว่าตัวเขาจะถูกฝูงชนที่โง่เขลาเหล่านี้ข่มขู่และต้องการจะสังหารตนแต่แวนเฮลซิ่งก็ไม่เคยใส่ใจที่จะอธิบายอะไรเลย เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพบว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ นักล่าปีศาจชักปืนพกออกมาจากด้านหลังและยิงปืนขึ้นฟ้าไปสองนัด!
เสียงปืนดังกึกก้องซึ่งมีอานุภาพข่มขู่อย่างชัดเจน เหล่าชาวเมืองล้วนแต่ถืออุปกรณ์ของชาวไร่เช่น ขวาน เคียว หรือส้อมตักมูลสัตว์เท่านั้นผู้คนล้วนเข้าใจถึงอานุภาพของปืนดังนั้นแน่นอนว่าพวกเขาจึงไม่กล้าที่จะพุ่งไปหาความตาย
ในอดีตน่าล่าปีศาจหนุ่มมักใช้วิธีนี้ในการแก้ปัญหาจากการถูกล้อมรอบและคิดว่าคราวนี้ก็คงไม่แตกต่างกัน ทว่าอย่างไรก็ตามเขาไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดเหตุร้ายในครั้งนี้ ลูเซียสนายกเทศมนตรีบัดซบนี้กลับกล้าชักปืนของมันออกมาและจ่อมาหาเขา!
“ข้าจะยิงถ้าเจ้ากล้าขัดขืน!” ลูเซียสกล่าวอย่างคุกคาม
แวนเฮลซิ่งอยู่ในตำแหน่งที่ยากลำบาก เขาจะต้องดวลปืนกับฝูงชนที่กำลังบ้าคลั่งเพื่อหาทางออกจริงๆใช่หรือไม่? ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาคงจะกลายเป็นฆาตกรอย่างแท้จริง!
เขามาที่นี่ในฐานะอัศวินแห่งภาคีศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับมอบหมายภารกิจจากของโบสถ์เพื่อสังหารแวมไพร์ แดร็กคิวล่า แล้วเขาจะทำงานให้เสร็จได้อย่างไรหากต้องถูกคนทั้งเมืองตามล่า
แวนเฮลซิ่งหมดคำพูดเกี่ยวกับสถานะการณ์ในตอนนี้ เขาไม่สามารถพึ่งพานักบวชคาร์ลได้เพราะเมื่อเผชิญหน้ากับฉากนี้คู่หูของเขาคาร์ลก็หลบไปนอนขดตัวด้วยความกลัว แวนเฮลซิ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยอมจำนน เขาวางปืนลงและยกมือทั้งสองข้างขึ้นและปล่อยให้ตัวเองเซไปมาตามแรงของคนตัวใหญ่ที่เข้ามาบิดมือของเขาไปด้านหลังและกดตัวเขาลงกับพื้น
“มัดเขาไว้!” ลูเซียสรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมากในขณะที่เขาออกคำสั่งด้วยความยินดี
อย่างไรก็ตามในขณะนี้แอนนาที่เงียบอยู่นานก็ก้าวออกมา
“เดี๋ยวก่อนคุณจับกุมเขาไม่ได้!”
แวนเฮลซิ่งรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยขณะที่เขาหันหน้าไปมองหญิงสาวผมบลอนด์เขาเดาไม่ถูกว่าทำไมเธอถึงพยายามพูดเพื่อช่วยเขา
ใบหน้าของลูเซียสเริ่มมืดลง "เพราะเหตุใด?"
แอนนาตอบ “ถ้าเขาเป็นอย่างที่คุณพูดและเขาคือแวนเฮลซิงตัวจริงเขาก็ไม่ควรเป็นแค่อาชญากธรรดา แต่เขาสมควรเป็นนักล่าปีศาจที่มีชื่อเสียงมาก! ฉันรู้จักชื่อเสียงของเขาว่ากันว่าเขาเคยฆ่าแวมไพร์เมื่อร้อยปีก่อน!”
เกิดความปั่นป่วนในหมู่ชาวเมืองนักล่าปีศาจ? นักล่าแวมไพร์?
ลูเซียสไม่สนใจแม้แต่น้อย แต่เขาจำสิ่งที่รอยเคยบอกก่อนหน้านี้ได้
“ถ้าเช่นนั้นมิสแอนนาคุณจะรับประกันเขาอย่างไร”
โดยไม่รอคำตอบจากเธอลูเซียสชิงพูดต่อ
“มิสแอนนาฉันเสียใจที่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ แต่ฉันแค่อยากจะกล่าวเตือนคุณ พวกเราชื่นชมคำสัตย์สาบานที่ครอบครัวของคุณกล่าวต่อพระเจ้า และค้นหาหนทางในการฆ่าแดร็กคูลาตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามคุณเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าครอบครัวของคุณไร้ความสามารถมากเพียงใดจนส่งผลให้แดร็กคูล่ายังคงมีชีวิตอยู่มาจนถึงปัจจุบัน และพวกเราชาวเมืองทรานซิลเวเนียต้องทนทุกข์ทรมานจากแวมไพร์มายาวนานหลายร้อยปี ทุกๆครอบครัวในเมืองนี้ล้วนแต่สูญเสียญาติพี่น้องให้กับแวมไพร์และนี่คือความรับผิดชอบทั้งหมดของครอบครัววิลลิสของคุณอย่างไม่อาจปฏิเสธได้!”
ภาษาเป็นศิลปะที่รอยชื่นชอบดังนั้นเขาจึงใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้และให้ลูเซียสจดจำและกล่าวมันออกมา ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในฐานะลูกหลานของตระกูลวิลลิสแอนนาและพี่ชายของเธอไวเคนนั้นได้รับการดูแลจากผู้คนในเมืองมาโดยตลอด นี่เป็นผลมาจากการที่ผู้คนชื่นชมความพยายามของตระกูลวิลลิสในการหาทางกำจัดแวมไพร์ แต่ทว่าต้นตอของภัยพิบัติทั้งหมดนี้ก็มาจากครอบครัววิลลิสของพวกเขาเช่นกัน
เมื่อลูเซียสกล่าวข้อเท็จจริงเหล่านี้ตามคำแนะนำของรอยผู้คนในเมืองก็หันไปมองแอนนาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์
คำพูดของลูเซียสได้สะกิดความทรงจำที่เจ็บปวดจากการสูญเสียคนที่พวกเขารัก หลายๆคนไม่เคยระบายเครียดและความผิดหวังออกมาเลยในตลอดช่วงเวลาที่ยาวนาน
“ห๊ะ!” จู่ๆผู้หญิงคนหนึ่งก็ถ่มน้ำลายลงกับพื้นและกล่าวโทษแอนนา
การกระทำที่หยาบคายเช่นนี้ส่งผลให้คนอื่นเริ่มชี้ไปทางแอนนาเช่นเดียวกัน
“บารอนลูเซียสพูดถูก ฝันร้ายจากแวมไพร์เกิดขึ้นจากครอบครัววิลลิส!”
“ฉันไม่เข้าใจเลย ทำไมวิญญาณของคนในครอบครัวของพวกเขาถึงจะได้ขึ้นสวรรค์หลังจากที่พวกเขาฆ่าแวมไพร์สำเร็จ?!”
"ถูกตัอง. แล้วพวกเราที่ถูกแวมไพร์ทำร้ายมาโดยตลอดล่ะ? สำหรับผู้ที่ถูกแวมไพร์สังหารวิญญาณของพวกเขาล้วนแต่ตกนรกไม่ใช่หรือ…”
"นี่มันไม่ยุติธรรม! พวกเราก็เป็นผู้ศรัทธาในพระองค์เช่นเดียวกัน!”
“แล้วทำไมพระเจ้าจึงให้สิทธิพิเศษแก่ครอบครัวที่เห็นแก่ตัวอย่างพวกเขา”
เสียงกระซิบค่อยๆกลายเป็นการชี้นิ้ว เมื่อเห็นถึงความเกลียดชังในแววตาของชาวเมืองแอนนาก็ไม่อาจเข้าใจว่าแค่เพียงประโยคธรรมดา ได้ส่งผลทำให้สถานการณ์เลวร้ายแบบนี้ได้อย่างไร??
แวนเฮลซิ่งรับฟังและรู้สึกว่าเรื่องนี้ชักจะกลายเป็นปัญหาใหญ่
เขาเข้าใจเรื่องราวบางส่วน เพราะก่อนที่จะเขามาทำภารกิจทางคริสตจักรได้บอกเขาว่าครอบครัว วิลลิสเคยช่วยปกป้องปีกซ้ายในยุโรปตะวันออกและช่วยให้คริสตจักรได้รับชัยชนะในสงครามแห่งศรัทธาดังนั้นจึงต้องทำให้แน่ใจว่าครอบครัววิลลิสจะไม่ล่มสลายลง
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเพราะครอบครัววิลลิสมีค่าต่อคริสตจักร
นั่นหมายความว่าคนธรรมดาที่ไม่มีบุญคุณไม่สมควรได้รับการอวยพรจากพระองค์?
แวนเฮลซิ่งไม่ทราบคำตอบสำหรับคำถามนี้ กฎบางอย่างไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผล
“เพราะฉะนั้นมิสแอนนา!” ลูเซียสหัวเราะเยาะขณะถือปืน
“ถ้าฉันเป็นคุณฉันจะคิดให้มากขึ้นว่าจะกำจัดแดร็กคูล่าลงได้อย่างไร และจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับกฎหมายของเมือง!”
“มัดเขาแล้วพาเขาไป!” ลูเซียสสั่งให้ชาวเมืองเคลื่อนไหวด้วยมือของเขา
แวนเฮลซิ่งไม่สามารถต้านทานได้และทำได้เพียงปล่อยให้ฝูงชนผลักเขา ชาวเมืองทรานซิลวาเนียหลายร้อยคนพาแวนเฮลซิงและคาร์ลไปยังเขตทุรกันดารนอกเมือง ที่นี่ไม่มีเรือนจำในเมืองดังนั้นพวกเขาจึงมักจะผูกนักโทษและทิ้งพวกเขาไว้กลางป่า
ขณะที่ถูกพาตัวไปแวนเฮลซิ่งหันกลับไปมองแอนนาอยู่หลายครั้ง ตอนนี้เขารู้จักตัวตนของเธอแล้วและเขากำลังคิดหาวิธีหลบหนีและจากนั้นค่อยมองหาแอนนาลูกหลานของตระกูลวิลลิสเพื่อพูดคุย
หญิงสาวมองไปทางร่างที่ห่างไปของแวนเฮลซิ่ง แอนนารู้ว่าครอบครัวของเธอสูญเสียรากฐานในเมืองนี้ไปเสียแล้ว
ในขณะที่แอนนารู้สึกเศร้าใจ ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ
“ฮิฮิฮิ แอนนาที่รักตอนนี้คุณกลายเป็นสาวน้อยตัวเล็กที่น่าสงสารไปเสียแล้ว!”
หัวใจของแอนนาเต้นผิดจังหวะเธอดึงกริชออกจากเอวขณะที่เธอหมุนตัว อย่างไรก็ตามมือของเธอถูกยับยั้งเอาไว้เสียก่อน แวมไพร์สาวคนหนึ่งของแดร็กคิวล่าซึ่งอยู่ในร่างมนุษย์ยืนอยู่ข้างหลังเธอ
แวมไพร์สาวในร่างมนุษย์ผลักมีดของอันนาลง เธอซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชนและได้เห็นกระบวนการทั้งหมดดังนั้นเธอจึงรู้สึกมีความสุข
“เธอรู้สึกอย่างไรบ้างที่สูญเสียการสนับสนุนจากชาวเมืองทั้งหมด” แวมไพร์สาวยิ้มขณะพูด
“ในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมาครอบครัววิลลิสของเธออยู่ในฐานะวีรบุรุษของเมืองนี้ แต่ตอนนี้คุณกลายเป็นผู้ร้ายแทนละครเรื่องนี้สนุกมาก!”
"คุณต้องการอะไร?" แอนนาถามด้วยความโกรธขณะที่เธอพยายามจะสลัดมีดให้หลุดจากการจับกุม
“ฉันมาที่นี่เพื่อแจ้งข่าวสำคัญให้เธอฟัง!” เจ้าสาวกล่าว “แอนนาที่รักพี่ชายของเธอยังไม่ตาย!”
“คุณว่าอะไรนะ!” แอนนาเบิกตากว้าง
“เธอไม่ได้ได้ยินผิดไปหรอก ฉันบอกว่าไวเคนเขายังไม่ตาย!” แวมไพร์สาวปล่อยมือและเดินไปรอบ ๆ ขณะที่เธอเดินเธอสูดดมกลิ่นเลือดของแอนนาอย่างสุขใจ
“แต่สถานการณ์ของไวเคนไม่ค่อยดีนักเขาถูกมนุษย์หมาป่ากัด!”
แอนนาเกือบจะล้มลงเมื่อเธอได้ยินสิ่งนี้ แต่ก่อนที่เธอจะทันได้ขยับตัวแวมไพร์สาวก็ได้กอดเธอจากด้านหลังและหัวเราะเบาๆข้างหูของเธอ
“แต่ไม่ต้องกังวล ตราบใดที่พิษของมนุษย์หมาป่าถูกรักษาก่อนคืนพระจันทร์เต็มดวงในครั้งแรก เขาจะไม่กลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดดุร้าย และยาแก้พิษนี้นายท่านแดร็กคูล่ามีเหลืออยู่เพียงขวดเดียวเท่านั้น ถ้าเธอต้องการละก็ให้มาที่ปราสาทแวมไพร์และเจรจากับนายท่านโดยตรง”
โดยไม่รอคอยคำตอบจากแอนนาแวมไพร์ภรรยาสาวของแดร็กคิวล่าก็ชิงจากไป เธอกลายเป็นร่างค้างคาวแวมไพร์และบินขึ้นไปบนท้องฟ้า ผู้คนที่พบเห็นสิ่งนี้ต่างหวาดกลัวขณะที่พวกเขาตะเกียกตะกายวิ่งหนีด้วยความตื่นตระหนก
"เจรจางั้นหรอ..?" แอนนากัดริมฝีปากอย่างร้อนรนในจิตใจ