บทที่ 29 การมาถึงของแวนเฮลซิ่ง
บทที่ 29 การมาถึงของแวนเฮลซิ่ง
รอยได้สะสมวิญญาณมาเป็นจำนวนมากส่วนใหญ่มาจากการล่าในอบีสโลกของปีศาจ และได้รับวิญญาณมนุษย์อีกสี่ดวงที่ลูเซียสเสนอให้แก่เขา สรุปแล้วตอนนี้รอยจึงมีวิญญาณคุณภาพต่ำรวมกันถึงห้าสิบสี่ดวง
และเนื่องจากรอยสันนิษฐานว่าดวงวิญญาณเป็นแหล่งพลังงานที่มีความพิเศษ เขาจึงใช้เวลาศึกษาและเริ่มสำรวจลึกลงไปว่าพลังเวทพัฒนาขึ้นมาจากการกลืนกินวิญญาณได้อย่างไร
รอยทราบว่าปีศาจกลืนกินวิญญาณเพื่อดูดซับพลังงานเชิงลบที่เป็นส่วนหนึ่งจากจิตวิญญาณ พลังงานเชิงลบหมายถึงอารมณ์ในความหมายเชิงลบเช่น ความกลัว ความเจ็บปวด ความโลภ ฯลฯ ที่เกิดขึ้นในขณะที่สิ่งมีชีวิตยังคงมีชีวิตอยู่ และเนื่องจากปีศาจเหมือนจะมีอารมณ์ที่ไม่ค่อยซับซ้อนมากนักอ้างอิงจากดวงวิญญาณที่รอยเก็บเกี่ยวมาจากหุบเหวไร้ก้นบึ้ง ดวงวิญญาณที่เกิดจากพวกมันมีขนาดเล็กและยังให้พลังงานเชิงลบที่ค่อนข้างน้อยจึงส่งผลต่อการเติบโตของพลังงานเวทที่ลดลงตามมา
ในทางตรงกันข้ามเนื่องจากมนุษย์อ่อนแอกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆพวกเขาจำเป็นต้องดิ้นรนเอาตัวรอด ทั้งยังมีอารมณ์ที่หลากหลายดังนั้นจึงสรุปได้ว่ามนุษย์มีแนวโน้มที่จะพัฒนาอารมณ์เชิงลบในระหว่างช่วงเวลาเป็นตายหรือจากเหตุการณ์พิเศษ ด้วยเหตุนี้เองวิญญาณของมนุษย์แม้จะเป็นวิญญาณธรรมดาเช่นเดียวกันแต่กลับมีขนาดที่ใหญ่กว่าของปีศาจหรือมอนเตอร์มาก
จากทฤษฎีข้างต้นรอยจึงนึกเกิดแนวคิดใหม่ๆ
เขารู้สึกว่าปีศาจเพียงแค่กลืนกินวิญญาณเพื่อเพิ่มพลังเวทในตัวและอาจจะไม่สามารถซึมซับพลังงานเชิงลบได้อย่างเต็มที่!
ดังนั้นในช่วงสองวันในห้องใต้ดินรอยจึงนำวิญญาณทั้งหมดที่เขามีออกมาและจัดหมวดหมู่ตามขนาด จากนั้นรอยก็เลือกเอาวิญญาณที่มีขนาดและความพลังงานใกล้เคียงกันหลายดวงออกมาและเริ่มทำการทดลอง
รอยแยกวิญญาณกลุ่มนี้ออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งมีไว้สำหรับให้รอยกลืนกินโดยตรง และอีกส่วนแบ่งไว้สำหรับทำการทดลองขั้นต่อไป
จากการกลืนกินวิญญาณส่วนแรกนั้นรอยได้และบันทึกคุณสมบัติพลังงานเวทของเขาในหน้าอินเทอร์เฟซของระบบ รอยพบว่าโดยทั่วไปอัตราการเติบโตอยู่ในช่วงประมาณ 0.3 ถึง 0.4 ต่อดวงวิญญาณหนึ่งดวง และมีเพียงวิญญาณสองสองเท่านั้นที่มีเพิ่มขึ้นประมาณ 0.5 หน่วย
หลังจากบันทึกข้อมูลไว้แล้ว รอยก็เริ่มวาดภาพในหน้าต่างของระบบ
รูปวาดของรอยยังคงเป็นขวดยา แต่คำอธิบายเกี่ยวกับคุณสมบัตินั้นต่างออกไป คำจำกัดความของมันคือ ยาเพิ่มพลังเวทย์ และ สกัดจากวิญญาณบริสุทธิ์!
และสำหรับการรับประกันความสำเร็จ รอยจึงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้งและตัดสินใจเพิ่มคำอธิบายว่า ประสิทธิภาพสูงสุด หลังจากตัดสินใจใช้คำอธิบายทั้งสามนี้แล้ว รอยก็เลือกใช้จิตวิญญาณที่เตรียมไว้ก่อนหน้าเพื่อเปรียบเทียบกับการแลกเปลี่ยนของระบบกับสิ่งที่เกิดขึ้นจากการกลืนกินวิญญาณโดยตรง
สิ่งไม่เหมือนกับวัตถุที่จำต้องได้ที่รอยเคยในช่วงเวลาที่ผ่านมา น้ำยาเพิ่มพลังเวทขวดนี้ถูกสร้างขึ้นมาด้วยสารสกัดจากจิตวิญญาณบริสุทธิ์ตามที่ระบุไว้ ด้วยวิธีการเช่นเดียวกันนี้รอยสามารถเปลี่ยนวิญญาณเพียงหนึ่งดวงเป็นน้ำยาเพิ่มพลังเวทหรือจะเปลี่ยนวิญญาณทั้งสิบดวงในคราวเดียวกันเลยก็ย่อมได้ ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือปริมาณของน้ำยากับจำนวนวิญญาณ
ทันใดนั้นขวดยาก็ปรากฏออกมา รอยยกยิ้มอย่างพอใจเขาเงยหน้าขึ้นมาดื่ม!
ก่อนหน้านี้เขาได้กินวิญญาณสิบสองดวงและได้รับคุณสมบัติพลังงานเวทย์เพิ่มขึ้น 4.2 อย่างไรก็ตามหลังจากดื่มน้ำยาเพิ่มพลังเวทที่ผลิตจากการสกัดวิญญาณกลุ่มที่สองเป็นจำนวนรวมกันสิบสองดวง รอยก็ค้นพบว่าคุณสมบัติพลังงานเวทย์มนตร์ของเขาเพิ่มขึ้นมากถึง 10 หน่อย
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือยาสกัดวิญญาณที่ผลิตโดยระบบสามารถเพิ่มพลังเวทย์ได้มากกว่าเป็นสองเท่าจากการกลืนกินดวงวิญญาณตามวิธีปกติ!
แผนเบื้องต้นของรอยได้ถูกกำหนดขึ้นแล้ว เขารู้สึกว่าตอนนี้เขาจำเป็นต้องควบคุมตวามต้องการของตัวเอง แม้ว่าการกินวิญญาณจะทำให้รอยเพลิดเพลินไปกับรสชาติหอมหวาน แต่มันก็จะลดประสิทธิภาพที่เขาสามารถเก็บเกี่ยวได้จากวิญญาณลดครึ่งหนึ่ง ดังนั้นหากเขาต้องการเพิ่มพลังงานเวทย์มนตร์ของเขาวิธีที่ดีที่สุดคือใช้ระบบเพื่อสร้างยาที่สกัดจากวิญญาณ
ตอนนี้จากในหน้าต่างของระบบพลังงานเวทมนตร์ของรอยได้เพิ่มขึ้นเป็น 23.5 หน่วยแล้ว และเขาพบว่าสามารถใช้งานทักษะพลังจิตได้นานเป็นสองเท่าจากเดิม
การเพิ่มขึ้นของและความแข็งแกร่งที่เกิดจากการพัฒนาของที-ไวรัสได้หยุดลงมาซักพักนึงแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารอยได้พัฒนาศักยภาพในปัจจุบันของร่างปีศาจของเขาได้อย่างเต็มที่ แม้เขาอยากจะปรุงยาเพื่อพัฒนาร่างกายให้ดียิ่งขึ้นแต่คุณสมบัติทั้งสองนี้ได้มาถึงขีดจำกัดสูงสุดแล้ว
คุณสมบัติทางกายภาพจะรับประกันความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดของรอยเท่านั้น ทว่าภายใต้หากเขาตกอยู่สถานการณ์ที่กดดันรอยจำเป็นต้องมองหาช่องทางอื่นๆเพิ่มเติม เราจึงเริ่มพัฒนาวิธีการโจมตีระยะไกลดฉพาะตัวขึ้นมาแต่วิธีการโจมตีระยะไกลที่เกี่ยวข้องกับพลังเวทจำเป็นต้องใช้วิญญาณชั้นสูงในการสร้างทักษะ รอยจึงทำอะไรไม่ได้มากเกี่ยวกับเรื่องนี้เขาจำเป็นต้องอดใจรอจนกว่าจะสามารถรับวิญญาณที่ล่วงหล่นจากลูเซียสเสียก่อน
ในระหว่างสองวันที่รอยกำลังค้นคว้าอยู่ในห้องใต้ดินมีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นภายในเมืองเล็กๆแห่งนี้
ภายในเมืองทรานซิลวาเนียจู่ๆในช่วงสองสามวันที่ผ่านมามีชาวเมืองหายตัวไปหลายคนอย่างลึกลับ และเมื่อเวลาผ่านไปเมื่อคนที่หายตัวไปถูกค้นพบพวกเขาก็กลายเป็นศพไปเสียแล้ว ในตอนแรกผู้คนคิดว่าเป็นฝีมือของแวมไพร์แต่ภายหลังพบว่าคนที่ตายส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนจรจัดแทบทั้งสิ้น
แวมไพร์ไม่ชอบคนจรจัดที่สกปรก เมื่อทราบความเช่นนี้ผู้คนต่างตื่นตระหนกและพูดคุยกันว่าใครคือฆาตกร ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมารอยรู้ว่านี่เป็นฝีมือของลูเซียสที่มุ่งเป้าไปหาคนจรจัดตามข้างถนนที่จัดการได้ง่ายกว่าชาวเมืองทั่วไป
แต่แล้วในช่วงเวลาแห่งความโกลาหล แวนเฮลซิ่งและนักบวชผู้ช่วยของเขาก็มาถึงเมืองในชนบทแห่งนี้
ถนนที่เป็นเส้นทางมาสู่ทรานซิลเวเนียถูกปิดไปนานหลายปีและผู้คนของเมืองนี้ก็ไม่ได้พบเห็นคนนอกมานานมากแล้ว เมื่อแวนเฮลซิงและคาร์ลมาถึงพวกเขาทั้งคู่ก็กลายเป็นคนแปลกหน้าโดยทัน มีคนต่างถิ่นอยู่ในหมู่พวกเขา!
ชาวเมืองยกอาวุธในมือพวกเขาออกมาแล้วพากันมาลุมล้อมคนมาใหม่ทั้งสองอย่างวุ่นวาย
ภายใต้ภัยคุกคามจากแวมไพร์มานานหลายรุ่นผู้คนจึงต่างหวาดระแวงคนแปลกหน้าอย่างมาก นี่เป็นเพราะนักล่าปีศาจจำนวนมากมายเคยประกาศตนว่าจะมากำจัดแวมไพร์เคานต์แดร็กคิวล่า ทว่าน่าเสียดายที่คนเหล่านี้มักประเมินความสามารถของตนสูงเกินไป จบลงที่สุดท้ายเคานต์แดรกคิวลาลงมือสังหารนักล่าอวดดีทั้งหลายจนหมดสิ้น ก่อนที่จะลากเอาชาวเมืองเข้าสู่หายนะจากการระบายความโกรธเมื่อแวมไพร์ถูกท้าทายโดยมนุษย์อยู่เสมอ
แน่นอนว่าแวนเฮลซิ่งกับคาร์ลไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแน่นอนดังนั้นพวกเขาจึงสับสนว่าเหตุใดชาวเมืองถึงแสดงตัวเป็นศัตรูและเข้ามาล้อมพวกเขา เมื่อมองไปที่ดวงตาที่เย็นชาและโกรธแค้นของชาวเมืองแวนเฮลซิ่งไม่สงสัยเลยว่าพวกเขาพร้อมจะเข้ามารุมฆ่าเขาได้ทุกเมื่อ นักล่าปีศาจหนุ่มเอื้อมมือไปด้านหลังพร้อมที่จะชักอาวุธออกมาเช่นกัน
“คุณรีบถอยออกมา!”
ในขณะที่แวนเฮลซิ่งได้ยินเสียงที่ดึงดูดใจของหญิงสาวจากข้างด้านหลัง เขาก็หันหน้าไปพบกับสาวสวยผมบลอนด์ในชุดของขุนนาง
แน่นอนว่าหญิงสาวคนนี้คือแอนนาหนึ่งในสองทายาทที่เหลืออยู่ของตระกูลวิลลิส แอนนาวิลลิส!
แม้ว่าเธอจะไม่มีตำแหน่งขุนนางอีกต่อไปแต่ครอบครัววิลลิสก็เคยร่ำรวยมากมาก่อนดังนั้นเสื้อผ้าของเธอจึงแตกต่างจากชาวเมืองทั่วไปโดยสิ้นเชิงโดยเฉพาะเธอเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้าที่งดงามและโดดเด่น แอนนาดูแพรวพราวมากเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นๆในฝูงชน
“ได้โปรดถอดหมวกออกและแสดงใบหน้าของคุณด้วย” แอนนาวางมือบนสะโพกก่อนจะออกคำสั่งกับแวนเฮลซิ่ง
"ทำไม?" แวนเฮลซิ่ง
“เพราะพวกเราไม่ไว้ใจคนแปลกหน้าเช่นคุณ!” แอนนาตอบ
“นอกจากนี้คุณสุภาพบุรุษคุณควรจะลดอาวุธของตัวเองลงเสียก่อน”
“ก็มาลองดูสิ!” แวนเฮลซิ่งไม่เห็นด้วยและยังคงจับปืนแน่น
บรรยากาศเริ่มตึงเครียดทันที ในขณะนั้นเองจู่ๆก็มีเสียงอื่นดังขึ้นมา
“ฉันรู้ว่าเขาเป็นใคร!”
ผู้คนต่างมองไปที่ต้นตอของเสียงและพบว่ามาจากนายกเทศมนตรีของเมืองที่หายหน้าหายตาไปนาน!
“เขาคือบารอนลูเซียสแน่หรือ!?”
“เขามักจะซ่อนตัวอยู่ในคฤหาสน์เพื่อหลบซ่อนจากแวมไพร์อยู่เสมอแล้วเขามาทำอะไรที่นี้กัน”
“ทำไมเขาถึงมาปรากฏตัวออกมาตอนนี้? และดูเหมือนว่าเขาจะน้ำหนักลดลงไปมากทีเดียว..”
ลูเซียสเดินออกจากฝูงชนเดินไปหาแวนเฮลซิ่งและพูดเสียงดังว่า
“สุภาพบุรุษฉันรู้ว่าคุณเป็นใคร! ในใบประกาศจับทั่วทั้งลอนดอนจนถึงปารีสใบหน้าของคุณกระจายไปทั่วทุกที่ไม่แปลกที่ฉันจะทราบถึงตัวตนของคุณใช่ไหม? แวนเฮลซิ่ง! อาชญากร! นี่คือสาเหตุที่คุณไม่กล้าถอดหมวกและเปิดเผยตัวตนแก่พวกเราใช่หรือไม่”
หลังจากได้ยินคำพูดของลูเซียสชาวเมืองก็อยู่ในความโกลาหล เขาถูกประกาศจับ?! ชายคนนี้เป็นฆาตกรหรือนี่?
เป็นผลทำให้ผู้คนเริ่มเชื่อมโยงแวนเฮลซิ่งกับการฆาตกรรมคนจรจัดตามตรอกมืดในเมืองที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาทันที!
“นี่หมายความว่าเขาฆ่าคนในเมืองของเราใช่หรือเปล่า”
“มันไม่ผิดแน่ แม้ว่าบารอนลูเซียสจะเป็นคนขี้ขลาด แต่เขาก็เป็นชนชั้นสูงและยังทราบข่าวที่แม่นยำ เขาพูดไม่ผิดแน่ๆ ถ้าเขามีรูปในใบประกาศจับเช่นนั้นแล้วผู้ชายคนนั้นคือฆาตกร!”
“ฆาตกร! เขาคือฆาตกร!”
"จับเขามัด! เผาเขาให้ตายทั้งเป็น!”
เมื่อมองไปที่ชาวเมืองที่ตกอยู่ในอารมณ์รุนแรงมากขึ้นแวนเฮลซิ่งก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มแข็งๆอย่างขมขื่น โปสเตอร์ใบประกาศจับเป็นเรื่องจริง แวนเฮลซิ่งได้สังหารสัตว์ประหลาดหลายตัวที่กลายร่างมาจากมนุษย์ และหลังจากที่พวกมันตายสัตว์ประหลาดเหล่านี้ก็ได้กลับคืนสู่ร่างมนุษย์ดังเดิม ไม่แปลกเลยที่ผู้คนจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และปฏิบัติกับเขาในฐานะฆาตกร ซึ่งมันเป็นสาเหตุที่ทำให้นักล่าปีศาจหนุ่มผู้นี้กลายเป็นที่ต้องการตัวในเมืองต่างๆ
เกี่ยวกับเรื่องนี้แวนเฮลซิ่งไม่มีโอกาสแก้ต่างให้ตัวเขาเองด้วยซ้ำ…