ตอนที่ 241 ข้าขอโทษ
นิลปัทม์ถูกเตะจนกลิ้งกระเด็นกระดอนไปอย่างแรง ก่อนจะหยุดลงเมื่อชนเข้ากับดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ควบคุมค่ายกลที่ เขาทำการปักไว้เพื่อกำหนดอาณาเขต ในตอนแรก
นิลปัทม์รวบรวมพลังปราณอาคมที่หลงเหลือภายในร่างขณะที่นอนราบอยู่กับพื้น จากนั้นจึงยื่นมือไปสัมผัสกับใบดาบถ่ายเทพลังปราณอาคมที่เขามีเสริมดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ปักอยู่เบื้องหน้า
กลิ่นอายความป่าเถื่อนของค่ายกลเทพสวรรค์โบราณเพิ่มพูนมากขึ้นเป็นทวีคูณ อากาศสั่นสะท้าน อาคารบ้านเรือนที่อยู่ในเขตค่ายกลถึงกับสั่นเครือ กระเบื้องมุมหลังคาดีดเต้นสั่นสะเทือน กระทั่งพากันดีดตกลงมากระทบพื้น กำแพงอาคารแตกร้าว น้ำภายในลำคลองสั่นไหวก่อเกิดระลอกคลื่นรุนแรง ทุกอย่างภายในค่ายกลแทบจะพังทลาย ยกเว้นแต่เพียงเหนือภพ หลังจากที่เขาสวมใส่ชุดเกราะทองของจอมทัพเขาก็อารมณ์ดี ทั้งยังคงกัดกินขนมไข่หงส์อย่างสบายอารมณ์ เพื่อเป็นการฉลองในความประสบความสำเร็จ
สายตาคมกริบจับจ้องการกระทำอันไร้ประโยชน์ของนิลปัทม์ แต่เขาก็ไม่ได้คิดมากอะไร ยังไงจอมทัพผู้นี้ก็ยินดียกเกราะอาคมทองคำระดับ 9 ให้แก่เขา ไม่ควรทำให้คนใจดีเช่นนี้ต้องลำบาก
เหนือภพเงยหน้าขึ้น เผยสายตาดูถูก เมื่อเห็นห่าธนูยังคงพุ่งมาไม่หยุด หนำซ้ำเริ่มมีการใช้ลงมือของผู้ใช้อาคมคนอื่น ๆ ทำให้ทั่วท้องฟ้าเริ่มประแสงสีเสียงที่แตกต่างกัน แต่กลับมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันสิ่งต่างล้วนมุ่งมาที่เขา
‘โล่ดารา’
ปรากฏภาพดวงดาราซ้อนทับร่างของเหนือภพ ขณะที่ลูกศร และพลังปราณอาคมที่พุ่งเข้ามาก็ถูกพลังของดวงดาราที่โคจรรอบกายของเหนือภพบิดเบือนเส้นทางของพวกมัน จนไม่มีพลังอาคม หรือธนูดอกใดสามารถทำร้ายหรือสะกิดเส้นผมของเขาได้
สถานการณ์เริ่มรุนแรงมากขึ้น เมื่อการโจมตีชุดแรกไม่ได้ผล ชุดต่อไปก็ตามมาติด ๆ เหนือภพนิ่วหน้าน้อย ๆ การใช้วิชาย่อมสิ้นเปลืองพลังปราณ หากเขาจะฝืนอยู่ต่อก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี ถ้าคิดฆ่าคนทั้งหมดนี้ย่อมง่าย แต่เขาไม่มีความคิดเช่นนั้น ดังนั้นการสู้แบบไม่เอาชีวิตอีกฝ่ายเขานี่ล่ะต้องลำบาก ถึงอย่างไรในตอนนี้ไอมารภายในร่างกายเขาก็ถูกสลายไปกว่าครึ่งแล้ว อีกครึ่งมันเกาะติดกับจิตวิญญาณของเขามากเกินไป จนยากที่จะขจัดออกได้โดยง่าย อยู่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้ไอมารก็ขจัดแล้ว ชุดเกราะทองคำก็ได้มาแล้ว จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องอยู่ต่อ และทำให้ตัวเองเดือดร้อนไปมากกว่านี้ การที่เขาเผยหน้าย่อมสร้างปัญหาตามไม่หยุดหย่อน ดูท่าเขาต้องออกเมืองไปสักพัก
‘หมัดดาราพิฆาต’
แขนขวาของเหนือภพแปรเปลี่ยนเป็นสีหมึกมืดมิดของจักรวาล และภายในนั้นมีดวงดาราเปล่งแสงประชันกันระยิบระยับ กลิ่นอายอันทรงพลังลี้ลับ ทำเอานิลปัทม์ที่อยู่ภายในเขตค่ายกลมีใบหน้าบิดเบี้ยว นิลปัทม์สามารถรับรู้ได้ทันทีว่าหมัดนั้นโจมตีออกมาย่อมทำลายค่ายกลเทพสวรรค์แน่
ตึง !! นิลปัทม์ถ่ายเทพลังปราณอาคมสีทองลงไปยังดาบศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นอีก ขณะที่กลิ่นอายของค่ายอาคมแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม
กลิ่นอายความเป็นปฏิปักษ์เริ่มทำให้เหนือภพรู้สึกกังวล แต่เขาก็ไม่หยุดรวบรวมพลังปราณ เพื่อใช้ทลายค่ายกลเทพสวรรค์โบราณนี้
‘พลังรวมศูนย์’
คลื่นพลังปราณพุ่งสูงขึ้นจนทำให้แขนขวาของเหนือภพ ที่มีลวดลายของจักรวาลและดวงดารา เกิดภาพห้วงจักรวาลเบื้องหลังของเหนือภพ
“พังไปซะ !!”
เหนือภพประกาศก้องขณะเหวี่ยงกำปั้นอัดอากาศ
ปึง !! ค่ายกลเทพสวรรค์ที่นิลปัทม์ภาคภูมิใจค่อย ๆ แตกร้าวออกอย่างรวดเร็วภายในชั่วพริบตา จนกระทั่งก่อเกิดเสียงเพล้ง !!! ราวกับแผ่นกระจกนับหมื่นแผ่นแตกพร้อมกัน กำแพงสีทองสลายหายไป
ขณะที่พลังหมัดของวิชาดาราพิฆาตยังสลายไปไม่หมด คลื่นพลังของดารากระจายออกไปทำลายบ้านเรือนที่อยู่เบื้องหน้าเหนือภพ เป็นคลื่นทรงกรวยกลืนกินพื้นที่กว่าห้าร้อยตารางเมตร จนราบเป็นหน้ากลอง
เหนือภพนิ่วหน้า อยู่ ๆ ในใจก็รู้สึกหวิว ๆ เขารู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น นัยน์ตาสีน้ำตาลแสดงความสำนึกผิดออกมายามจับจ้องไปยังนิลปัทม์ ที่ได้รับพลังสะท้อนกลับจนกระอักเลือด เมื่อไม่มีเกราะคอยคุ้มครอง ผลสะท้อนย่อมรุนแรงกว่าหลายเท่า
แววตาของเหนือภพที่สบตากับนิลปัทม์ดูเปลี่ยนไปจากก่อนหน้า
“ข้าขอโทษ” เหนือภพพูดจบ ก็รีบพลิ้วกายจากไปในทันที ทิ้งไว้เพียงปริศนาให้นิลปัทม์ได้ขบคิด
เขาย่อมมองไม่ผิด สายตาของชายผมม่วงเมื่อครู่ ไม่ใช่สายตาของฆาตกรหรือคนที่มีจิตใจชั่วร้าย หรือคนที่มีสายตาแห่งความโลภตอนแย่งชิ่งเกราะทองคำจากตัวเขา ท่าที การกระทำ คำพูด และแววตา ของเหนือภพแตกต่างจากคนก่อนหน้าที่เขากินขนมด้วยอย่างสิ้นเชิง สายตาของเหนือภพก่อนหน้านั้นค่อนข้างเย็นชา เป็นสายตาที่ไม่เห็นว่าชีวิตใครสำคัญไปมากกว่าตัวเอง
อึก !! ผลสะท้อนกลับจากการที่ค่ายกลถูกทำลายนั้นค่อนข้างรุนแรง แต่นิลปัทม์ก็ยังสามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง ใบหน้าของเขาค่อนข้างขาวซีด และดูอ่อนแรง ขณะเดียวกันองค์เจ้าแคว้นก็แสดงท่าทางตื่นตระหนก ระคนไม่พอใจ ยามทอดพระเนตรไปที่จอมทัพของแคว้น
‘นี่หรือ ผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ก็แค่ขยะ’
องค์อนุชาที่เฝ้ามองทุกการเปลี่ยนแปลงของพระเชษฐา ลอบยิ้มอย่างยินดี เขาเชื่อว่าต่อให้ พี่ชายของเขาไม่ชอบใจ และระแวงนิลปัทม์มากแค่ไหน แต่อีกไม่นานเพื่อที่จะปกป้องบัลลังก์ให้องค์ชาย พี่ชายคนนี้ย่อมต้องมอบสิทธิ์การควบคุมค่ายกลเมืองที่แท้จริงให้กับนิลปัทม์ เพราะไม่มีใครที่เป็นลูกหลานของผู้สร้างค่ายกลหลงเหลืออยู่แล้ว นอกจากจอมทัพผู้นี้
‘เมื่อนั้นท่านพี่จะเสียใจกับการกระทำในวันนี้’
ณ คุ้มเจ้ากรมสมุหกลาโหม
หลังจากนิลปัทม์กลับมายังเรือนพักตัวเอง เขาก็หมดสติไป ผู้เป็นพ่ออย่างเจ้ากรมสมุหกลาโหมก็เกิดร้อนใจ ยังดีที่องค์เจ้าแคว้นไม่ได้ทรงคิดเล็กคิดน้อย และรู้ว่านิลปัทม์ที่แข็งแกร่งที่สุดของแคว้นยังคงจำเป็นอยู่ พระองค์ประทานหมอหลวงมาตรวจรักษา อาการของนิลปัทม์จึงค่อย ๆ ทุเลาลง
ทางด้านพระมหาอุปราชก็ไม่ได้น้อยหน้า เพื่อที่จะเอาอกเอาใจนิลปัทม์ เขาก็ไม่ลังเลที่จะให้องค์หญิงบุษย์น้ำเพชรออกจากวัง มาคอยเฝ้าไข้นิลปัทม์ ถึงอย่างไรทั้งสองก็ถือว่าเป็นคู่หมั้น ไม่ใช่คนอื่นไกล
นิลปัทม์ลืมตาตื่นขึ้นมาหลังจากหลับไปสามวันเต็ม ก็พบว่าคนที่อยู่ข้างเตียงคือหญิงสาวสวยสง่า คนที่เขาเองก็ยังไม่คุ้นหน้า
“ท่านอาเจ้าส่งมาเหรอ”
“ใช่ค่ะ” บุษย์น้ำเพชรพยักหน้า
“ไหนท่านบอกว่าจะไม่กลับมาที่เมืองหลวงอีกไง แล้วทำไม...”
องค์หญิงพูดขณะช่วยประคองร่างนิลปัทม์ ให้ลุกนั่งเอนหลังติดกับพนักเตียง จอมทัพวัยกลางคนเหลือบมองหน้าองค์หญิงอย่างสำรวจ พลางถอนหายใจ
“หากไม่ใช่เรื่องของบ้านเมือง ข้าก็ไม่มีทางผิดคำสัญญา ข้าขอโทษ ที่ทำให้เจ้าต้องลำบาก”
“ช่างเถอะ ข้าเข้าใจ แล้วนางล่ะ ครั้งนี้ที่ท่านจากมา นางไม่เป็นอะไรงั้นหรือ”
บุษย์น้ำเพชรถาม เธอรู้มาตลอดถึงสาเหตุที่นิลปัทม์ไม่ยอมแต่งงานกับเธอ ก็เพราะเขารักสตรีนางหนึ่ง ซึ่งสตรีนางนั้นก็คือเพื่อนเก่าของเธอเอง และเพื่อที่จะทำให้เพื่อนสมหวังเธอจึงให้ทางเลือกกับนิลปัทม์ ให้เขาไปอยู่ชายแดนกับคนที่รัก แต่มีข้อแม้หนึ่งข้อ คืออย่าได้กลับมาอีก
ทว่าดูเหมือนโชคชะตาจะไม่ยอมให้คนเราอยู่อย่างสบายนัก
“นางตายแล้ว”
บุษย์น้ำเพชรจ้องลึกเข้าไปดวงตาแสนเศร้าของนิลปัทม์ ข่าวนี้ค่อนข้างน่าตกใจสำหรับเธอ แม้เวลาจะผ่านมานับยี่สิบปีแล้ว แต่ในสายตาของนิลปัทม์นอกจากนางคนนั้น ก็ไม่มีที่ว่างให้กับใครอีก
“ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมท่านไม่ส่งข่าวบอกข้าเลย ถึงอย่างไรนางก็เป็นเพื่อนรักข้า”
บุษย์น้ำเพชรตัดพ้อ พลางขยับผ้าห่มให้ชายหนุ่ม แม้น้ำเสียงของเธอจะฟังดูเหมือนเสียใจ แต่ท่าทางและแววตาของเธอกลับเยือกเย็น ไม่เปลี่ยนแปลง
“เมื่อเจ็ดปีก่อน นางตายเพราะคลอดลูกให้ข้า ความจริงหมอบอกว่านางจะรอดถ้ายอมสละลูกในท้อง แต่นางปฏิเสธที่จะมีชีวิตอยู่ ก็เพื่อให้ลูกของพวกเราเกิดมา”
“เขาชื่ออะไร”
“ปัทมา”
“ลูกผู้หญิงหรือ ทำไมท่านไม่พาลูกมาด้วย ข้าสามารถช่วยท่านลูกแลนางได้ มันจะดีกว่าที่นางจะได้อยู่สุขสบายในวัง”
บุษย์น้ำเพชรจ้องหน้าชายหนุ่มนิ่ง ตาสบตาอย่างค้นหาความจริง แม้ชายหนุ่มตรงหน้าจะมีอายุมากกว่าเธอเกือบสองเท่า แต่เธอก็ไม่เคยหวั่นเกรงเขาแม้แต่น้อย
“เจ้าก็รู้ดี หากพ่อของข้าและองค์อนุชารู้เข้า ก็ยากที่จะปกป้องนางได้ตลอดเวลา ดังนั้นก่อนมาข้าได้ให้คนพานางไปซ่อนตัว นี่เป็นสิ่งเดียวที่พ่ออย่างข้าจะทำได้”
“งั้นหรือ” บุษย์น้ำเพชรตอบสั้น ๆ แล้วก็เหม่อมองออกหน้าต่างอย่างครุ่นคิด ขณะที่จอมทัพจ้องหน้าของเธอไม่วางตา
“แล้วผู้ชายคนนั้นล่ะ เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
“ผู้ชาย ?” บุษย์น้ำเพชรหันมามองอย่างสงสัย
“ผู้ชายคนไหน ท่านพูดเรื่องอะไรข้าไม่เข้าใจ”
“เจ้าอย่าได้เฉไฉเลย ผู้ชายที่มีไอมารอยู่ในตัว ที่ชื่อว่าเหนือภพ หรือพิภพนั่น เขามีความสัมพันธ์อะไรกับเจ้า ถึงสามารถมีขนมหวานตำรับเฉพาะ สูตรของวังการเวก”
จอมทัพพูดด้วยใบหน้านิ่ง เขาไม่มีโทสะแม้แต่น้อย แม้ว่าเขาจะไม่ได้กลับมาเมืองหลวงนานโข แต่สำหรับชายชาตรีมากความสามารถเช่นเขานั้น เพียงแค่รสชาติขนมหวานสูตรพิเศษ มีหรือที่เขาจะจำไม่ได้ ภรรยาของเขาแต่ก่อนมักคลุกคลีกับองค์หญิงบุษย์น้ำเพชรเรียกได้ว่าตัวไม่ห่างกัน นางมักเอาขนมจากวังการเวกมาให้เขากินอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นแม้จะตายไปเขาก็ไม่มีทางหลงลืมความทรงจำนั้นไปได้
บุษย์น้ำเพชรนิ่งขรึมลงทันที ขณะที่ภายในใจกล่าวตำหนิเหนือภพมากมาย หากไม่เป็นเพราะเขาขโมยขนมไป มีหรือเธอจะถูกจับได้เช่นนี้
“ข้าไม่รู้จัก” หญิงสาวยังยืนกรานด้วยใบหน้าสัตย์ซื่อ แต่มีหรือที่จะปิดบังนิลปัทม์ได้ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่เปิดโปงนาง เขาเพียงแต่พูดเสียงเบาราวกระซิบ
“ข้ารู้สึกว่าเขาจะถูกครอบงำโดยไอมารที่น่ากลัว ไอมารภายในตัวเขาหากเทียบกับที่ข้าเคยเจอ มันต่างกันราวฟ้ากับเหว แม้เขาจะแข็งแกร่งสามารถต่อต้านมันได้ แต่ข้าเชื่อว่าอีกไม่นาน เมื่อเขาถูกจิตมารเข้าควบคุมโดยสมบูรณ์ เขาจะเป็นอันตรายต่อแผ่นดิน ข้าจะไม่ยุ่งเรื่องของเจ้า แต่เจ้าควรจะตัดสินใจด้วยตัวเอง ว่าจะกำจัดเขาหรือจะช่วยเขา”
เมื่อบุษย์น้ำเพชรยังคงนั่งฟังอยู่เงียบ ๆ นิลปัทม์จึงพูดต่อไปว่า
“ข้าได้ยินมาจากพ่อค้าต่างแดน ทางฝากโพ้นมหาสมุทรทางเหนือ มีดินแดนลับแลถูกเรียกว่า ‘แดนสิบสองดรุณธารา’ ที่นั่นมีศิลาพิเศษที่มีชื่อว่า ‘ศิลากลายทอง’ ศิลาศักดิ์สิทธิ์ที่มีไอสวรรค์เข้มข้น หากสามารถไปเยือนที่นั่นได้ แล้วมีโอกาสได้ซึมปราณสวรรค์จากมัน ก็ไม่ยากที่จะกำจัดไอมารในตัว”
พูดจบนิลปัทม์ก็หลับตาลง ส่วนบุษย์น้ำเพชรก็นิ่งเงียบเช่นกัน
นิลปัทม์หลับตาพักผ่อน ด้วยไม่อยากพูดคุยอะไรกับเธออีก ประจวบเหมาะกับที่ปัทมนันท์ น้องสาวของนิลปัทม์ ถือยาเข้ามา ทำให้การสนทนาของคู่หมั้นที่ไม่ได้พบกันนานจบลง
องค์หญิงบุษย์น้ำเพชรอยู่พูดคุยกับเพื่อนสาวตามมารยาทเพียงชั่วครู่ ก่อนจะลากลับวัง