ตอนที่ 112 ดาวเคราะห์คานาดี้ (Free)
ศูนย์พักพิงที่พวกเขาเพิ่งมาถึง กว้างใหญ่พอๆกับฐานทัพทหารที่พวกเขาจากมา ขนาดที่นี่คล้ายกับเมืองที่เคยมีอารยธรรมมนุษย์มาก่อน ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวที่เห็นได้ชัดก็คือ ไม่มีตึกสูงเสียดฟ้า และอาคารใหญ่สุดในศูนย์พักพิงแห่งนี้ คือที่พักของทหาร ซึ่งมีความสูงเพียงสามชั้นเท่านั้น
พื้นดินที่พวกเขายืนอยู่ แข็งและค่อนข้างหนา สีของมันคือสีส้ม ดูแห้งผากไร้ความชุ่มชื้นและไม่มีวี่แววของพืชพันธุ์สีเขียว มันยากมากที่จะจินตนาการได้ ว่ามีสิ่งใดเติบโตในดินแดนนี้บ้าง เห็นได้ชัดว่าแสงอาทิตย์ที่ร้อนระอุ ส่งผลให้ผืนดินทั้งหมดมีแต่ความแห้งแล้ง
นี่เป็นครั้งแรกที่นักเรียนส่วนใหญ่เดินทางมายังดาวเคราะห์ดวงอื่น แต่สำหรับควินน์ มันช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว เมื่อเทียบกับสถานที่ๆเขาอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้ ถนนทั้งสองข้างเต็มไปด้วยผู้คนและมีเด็กๆอยู่เต็มไปหมด
มีแผงลอยที่ขายของแทบทุกอย่าง เนื้อรมควันร้อนๆ รวมไปถึงผักและผลไม้อีกหลากหลายชนิด
“นี่มันดีกว่าสถานที่บางแห่งบนโลกซะอีก!” ควินน์พูด “ฉันสงสัยจริงๆ ว่าทำไมคนส่วนใหญ่ถึงไม่ย้ายมาอยู่ที่ศูนย์พักพิงนี่ซะเลย”
“พวกเขาถูกลอยแพยังไงล่ะ” เรย์ร่าเอ่ย “ถ้านายสังเกตรอบๆตัวให้ดี ผู้คนที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ไม่ใช่นักเดินทางหรือทำงานให้กับกองทัพทหาร เนื่องจากพวกเขามีเลเวลความสามารถที่ต่ำ จึงไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่บนโลกเดิมได้อีกต่อไป พวกเขาจึงถูกบังคับให้ย้ายมาอาศัยอยู่บนดาวดวงนี้ แต่ฉันพนันได้เลย ว่ามีไม่กี่คนหรอกที่จะทิ้งศูนย์พังพิงนี่และออกไปผจญภัยข้างนอกนั่น ซึ่งก็หมายความว่าพวกเขาคงจะใช้ชีวิตทั้งชีวิตอาศัยอยู่แต่ในศูนย์พักพิงแน่ๆ”
พอมีพลังอำนาจ ก็หมายความว่าคุณมีทางเลือกมากยิ่งขึ้น คนที่มีเลเวลสูงๆก็สามารถเลือกศูนย์พักพิงที่พวกเขาต้องการอาศัยได้ แม้ว่าเขาจะมีที่อยู่อาศัยบนดาวโลกอยู่แล้ว พวกเขาสามารถเดินทางไปกลับระหว่างดาวแต่ละดวงได้ โดยพวกเขาจะไม่ถูกสั่งห้ามหรือมีข้อจำกัดอะไรเลย อย่างไรก็ตาม มันแตกต่างกันสำหรับคนเหล่านี้ พวกเขาล้วนถูกเลือกสถานที่ให้ปักหลักและไม่เคยได้ออกไปไหนเลย
ศูนย์พักพิงหลายแห่งที่สร้างขึ้นมาเอง ส่วนใหญ่ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากเหล่าบริษัทเอกชน แต่ตอนนี้ ศูนย์พักพิงที่พวกเขายืนอยู่เป็นของรัฐบาล ดังนั้นพลเรือนทั้งหมดจึงต้องจ่ายเครดิตภาษี เพื่อให้ได้รับการคุ้มครองและใช้ชีวิตที่นี่ต่อไปได้
แม้แต่นักเดินทางที่ออกมาล่าสัตว์อสูร หากต้องการกลับสู่โลก ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายเช่นกัน
ในขณะที่ศูนย์พักพิงอื่นล้วนเป็นของบริษัทและกลุ่มอำนาจที่แบ่งออกเป็นฝักฝ่าย โดยผู้เป็นเจ้าของแหล่งอาศัยส่วนใหญ่ นั่นก็คือ สี่ตระกูลมหาอำนาจ พวกเขาเป็นผู้มีทักษะโดยกำเนิดที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งปกติแล้ว ศูนย์พักพิงของพวกเขาจัดอยู่ในเทียร์(Tier)ที่ดีกว่าที่อื่นเล็กน้อย ทั้งยังเลียนแบบเมืองหลวงที่สร้างอยู่บนดาวเคราะห์โลกได้คล้ายกันมากๆ
มันคือการจำแนกให้เป็นระบบระเบียบ ศูนย์พักพิงในแต่ละแห่งจะถูกแบ่งแยกออกอย่างเฉพาะเจาะจง เทียร์หนึ่ง คือระดับที่สูงที่สุดและเทียร์ห้า คือระดับที่ต่ำที่สุด ยิ่งสูงเท่าไหร่ก็มีการใช้จ่ายมากขึ้นและได้รับการคุ้มกันที่ดีกว่าเดิม หากเทียบกับเทียร์รากหญ้า
ศูนย์พักพิงที่พวกเขาอยู่ตอนนี้ คือศูนย์พักพิงเทียร์สี่
ระดับที่สูงขึ้นก็มีป้องกันจากสัตว์อสูรเลเวลสูงๆมากกว่า ดังนั้น ภาษีที่ต้องจ่ายในการดำรงชีวิตก็ต้องสูงตามไปเช่นกัน
เมื่อทั้งห้าคนเทเลพอร์ตมายังที่นี่ พวกเขาสังเกตเห็นว่ามีวงกลมบนผืนดิน ใต้เท้าที่พวกเขายืนอยู่ และเหล่าผู้คนที่เดินไปมาก็พยายามเดินหลีกเลี่ยงมันเป็นอย่างดี
“มาเถอะ เรารีบไปกันดีกว่า” วอร์เด็นเอ่ย
“คือ...ให้ฉัน….อะ” ควินน์พูดออกมาช้าๆ ขณะที่เหงื่อของเขาเรื่มแตกพลั่ก
“อ้า! ควินน์! ฉันขอโทษนะ” เรย์ร่าร้องขึ้นมา ก่อนที่เธอจะวิ่งไปหาและยื่นร่มให้กับควินน์
“เกิดอะไรขึ้นกับเขา?” เอรินเอ่ยถาม
“โอ้ จริงๆแล้ว เขารับมือกับความร้อนแบบนี้ไม่ได้น่ะ แถมยังเกลียดแสงแดดเข้าไส้เลย เขามาจากทางเหนือสุดๆ ฉันหมายถึง มันไกลมากๆเลยล่ะ”เรย์ร่าอธิบายราวกับคนช่างพูด
เอรินจ้องมองควินน์ตั้งแต่หัวจรดปรายเท้า ซึ่งขณะนี้กำลังมีร่มกางอยู่เหนือหัวของเขา “นายอาจจะไร้ประโยชน์กว่าปีเตอร์ก็ได้ สำหรับการเดินทางในครั้งนี้ นายจะต่อสู้ยังไงถ้าต้องถือร่มอยู่แบบนั้น?”
มันค่อนข้างเป็นปัญหาใหญ่ทีเดียว แม้ว่าตอนนี้ ควินน์จะมีทักษะแห่งเงาและเขาสามารถใช้มันแทนสกิลแวมไพร์ได้ แต่เขาก็ยังมีจุดอ่อนของแวมไพร์ นั่นก็คือ ดวงอาทิตย์
ถ้าเขาจะต้องต่อสู้ในตอนกลางวัน ดวงอาทิตย์ก็ยังส่งผลกระทบกับเขาอยู่ดี เว้นเสียแต่ว่าเขาจะใช้สกิลเงามือไร้ตัวตน แต่สกิลเงามืดไร้ตัวตน ก็ใช้แต้ม MC ที่เขามีไปตั้งครึ่งหนึ่ง แทบไม่เหลือให้เขาใช้สกิลอะไรไปได้มากกว่านี้
อีกทางเลือกหนึ่ง คือการใช้สกิลเสื้อคลุมเงา ซึ่งเขาได้กลับมาทดลองใช้สกิลนี้ตอนอยู่ที่ฐานทัพแล้ว มันสามารถป้องกันแสงอาทิตย์ได้เช่นกัน ปัญหาก็คือ เขาไม่สามารถใช้สกิลนี้เพื่อทำโจมตีใครได้ ในขณะที่สวมเสื้อคลุมอยู่ มันเป็นเพียงสกิลในการพรางตัวเท่านั้น เขาใช้สกิลของแวมไพร์ได้ก็จริง แต่นั่น มันอาจจะทำลายจุดประสงค์ที่เขาตั้งใจเอาไว้
ด้วยเหตุผลที่ว่า ควินน์คงต้องซ่อนทักษะแห่งเงามืดให้นานกว่านี้อีกสักนิด จนกว่าเขาจะค้นพบวิธีแก้ปัญหาเกี่ยวกับแสงอาทิตย์ได้จริงๆ
ทั้งห้าคนทำตามที่วอร์เด็นบอกและหลังจากนั้นไม่กี่นาที กลุ่มนักเรียนอีกห้าคนก็ถูกเทเลพอร์ตมาอยู่ในพื้นวงกลมเดียวกันกับที่พวกเขาเคยยืน
“นายรู้ได้ยังไง?” ควินน์ถาม
“ถึงแม้ว่าเทเลพอร์ตจะสุ่มก็เถอะ แต่มันก็ไม่ได้เป๊ะขนาดนั้นหรอก” วอร์เด็นพูด “คิดซะว่ามันเป็นเกมที่มีการสุ่มจุดเกิด แต่ไม่มีใครรู้ว่าจะไปเกิดตรงจุดไหน ทั้งที่จริงๆ เราก็รู้จุดเกิดทั้งหมดอยู่แล้ว”
“แล้วเราจะไปที่ไหนกันดีล่ะ?” เรย์ร่าถาม
“ไปที่หอประชุมของนักเดินทางกัน มันเป็นสถานที่ๆพวกเขามีข้อมูลสำหรับนักเดินทางอยู่ เธอยังสามารถแลกเปลี่ยนคริสตัลของเธอเป็นเครดิต หรือขายสินค้าได้อีกด้วย”
พวกเขาเดินผ่านศูนย์พักพิงนั้น จนในที่สุดก็มาถึงโถงอาคารขนาดใหญ่ มันเป็นพื้นที่เปิดโล่ง ไม่มีทางเข้าเจาะจง ผู้คนมากมายจึงเดินเข้า เดินออกได้อย่างอิสระตามสะดวก
บริเวณข้างหน้าเต็มไปด้วยเคาน์เตอร์ที่มีคนงานประจำอยู่ เช่นเดียวกับที่วอร์เด็นพูดไว้ ที่นี่มีช่างตีเหล็กที่สามารถสร้างอุปกรณ์ได้ ร้านค้าขายไอเท็มเล็กๆน้อยๆ และของต่างๆเช่นเหยื่อของสัตว์อสูรร้าย หรือแม้แต่ภารกิจมากมายที่ปักไว้อยู่บนกระดานประกาศ
กระดานภารกิจส่วนใหญ่ มักเต็มไปด้วยเหล่านักเดินทางที่ต้องการจับกลุ่มและทำงานร่วมกัน บางครั้ง พลเรือนที่อยู่ที่นั่นก็ขอให้เหล่านักเดินทางช่วยคุ้มครองพวกเขาให้ปลอดภัย ในขณะที่พวกเขาจะออกเดินทางจากศูนย์พักพิงหนึ่งไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง
“ดูเหมือนเราจะไม่ใช่พวกเดียวที่มาที่นี่” เอรินพูดขณะที่เธอมองไปยังกลุ่มอื่น
การที่จะเจอกับพวกนักเรียนนั้นเป็นเรื่องง่ายมาก เพราะพวกเขาต้องสวมเครื่องแบบทหาร แม้ว่าบางคนจะมีไอเท็มสัตว์อสูรมาด้วยก็ตาม แต่ก็แทบจะไม่มีใครมีไอเท็มสัตว์อสูรติดตัวมาตั้งแต่ปีแรกๆ
“พวกนั้นกำลังทำอะไร?” เรย์ร่าถามเมื่อเธอเห็นว่า นักเรียนกลุ่มอื่นๆมุ่งตรงไปที่กระดานภารกิจ
“ดูเหมือนว่าพวกนั้นอยากจะได้คนช่วย” วอร์เด็นเอ่ย “พวกที่มาจากครอบครัวร่ำรวย คงจะจ้างนักเดินทางเพื่อล่าสัตว์อสูรให้นั่นแหละ”
"แต่ว่ามันจะยุติธรรมได้ยังไงกันล่ะ?” เรย์ร่าท้วง
“แล้วพวกมันสนเรื่องความยุติธรรมตั้งแต่เมื่อไหร่?” วอร์เด็นตอบ “เธอก็รู้ไม่ใช่รึไง ว่าพวกที่มีความสัมพันธ์สนิทสนมกับทหาร หรือพวกจงรักภักดีอยู่แล้ว ก็มักจะได้รับการช่วยเหลือจากกองทัพแบบนี้แหละ”
“โอเค นั่นไม่ใช่ประเด็นที่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น” ควินน์พูดขึ้น “สิ่งที่เราทำได้คือโฟกัสที่พวกเราและทำทุกอย่างให้ดีที่สุด”
“คำพูดจากคนไร้ประโยชน์” เอรินเสริมเสียงราบเรียบ
กลุ่มของพวกเขาเดินไปจนถึงแผงขายของร้านหนึ่งที่ขายสินค้าแทบทุกชนิด ในการช่วยจับสัตว์อสูรหรือแม้แต่ฆ่าพวกมัน ด้านหลังแผงสินค้านั้น มีชายชราคนหนึ่ง สวมแว่นตาดิจิทัลอยู่เลนส์เดียว
“ให้ฉันช่วยนายยังไงดีล่ะทหารหนุ่ม ถ้าให้ฉันเดานะ คงถึงคราวที่คนพวกนั้น ส่งพวกเธอทั้งหมด ออกไปล่าสัตว์อสูรครั้งแรกใช่ไหม?”
“เราสงสัยว่าคุณ สามารถหาแผนที่เกี่ยวกับบริเวณในการล่าสัตว์อสูรทั้งหมดให้เราได้หรือเปล่า?” วอร์เด็นถาม
“แน่นอนว่าฉันหาได้ ราคารวมคือหนึ่งร้อยเครดิต”
“หนึ่งร้อย?” เรย์ร่าพูดขึ้น “คุณแน่ใจเหรอ ไม่ใช่ว่าคุณพยายามจะขูดรีดเราหรอกนะ”
ชายชราเริ่มหัวเราะออกมา
“ตอนนี้ เพิ่มเป็นร้อยห้าสิบแล้ว เพราะความหยาบคายของเธอไงแม่หนู”
วอร์เด็นนำการ์ดใบเดียวที่เป็นสีทองออกมา เนื่องจากนาฬิกาข้อมือใช้งานไม่ได้บนดาวเคราะห์ดวงอื่น นักเรียนแต่ละคนจึงต้องนำบัตรเครดิตของตัวเองมาใช้ อย่างไรก็ตาม คนอื่นๆค่อนข้างประหลาดใจเมื่อเห็นสีของบัตรเครดิตที่วอร์เด็นถือ เพราะมันแตกต่างจากบัตรอื่นอย่างสิ้นเชิง สีที่แตกต่างกัน จะระบุจำนวนเงินที่สามารถเก็บไว้ได้ในการ์ดแต่ละใบ
ปิ๊บ
“ขอบคุณที่ทำธุรกิจร่วมกัน” ชายชรากล่าว
“แหงล่ะ นายมันลูกคนรวย” เรย์ร่าพูดพร้อมกับจ้องไปที่โกลด์การ์ด
“ฉันไม่อยากได้ยินเธอพล่ามอะไรอีก ฉันมีโกลด์การ์ดก็จริง แต่ฉันได้เงินแค่สองร้อยเครดิตต่อเดือน เธอทำให้ฉันเสียเงินที่มีเกือบทั้งหมด!”
“พวก ใจเย็น ฉันจะช่วยนายดูแผนที่ให้เองวอร์เด็น เพราะงั้นไม่ต้องห่วงนะ” ควินน์ห้ามศึก
เมื่อวอร์เด็นได้ยินคำพูดเหลานั้น เขาก็ยิ้มตอบ เขาคิดว่าควินน์ช่างเป็นคนดี ไม่มีทางเลยที่ควินน์จะมีบัตรเครดิตเหมือนเขา เพราะเด็กหนุ่มได้รับเพียงสิบเครดิตต่อวัน ในตอนที่อยู่โรงเรียน
ทั้งกลุ่มทำการเปิดแผนที่ขึ้นดู ซึ่งมันเป็นกระดาษดิจิทัลบางประเภท บนแผนที่ระบุว่าพวกเขากำลังอยู่ที่ไหนและบริเวณรอบๆตัวพวกเขาจะมีสัญลักษณ์บ่งบอกสียังไงบ้าง มันเริ่มจากสีเขียว สีส้มและสีแดง ยิ่งใกล้สีแดงมากเท่าไหร่ บริเวณนั้นก็จะมีสัตว์อสูรที่ดุร้ายมากขึ้น
แต่แล้วก็มีบางอย่างสะดุดตาควินน์เข้าให้ ด้านบนของแผนที่ มันคือชื่อดาวเคราะห์ที่พวกเขายืนอยู่ นั่นคือคาลาดี้ ภายในเกม VR ในตอนที่เขาต่อสู้กับเนทไม่นานมานี้ เขาได้ถามเนทไปว่าเสื้อคลุมที่มีความยืนหยุ่นและแข็งแรงนั้น เขาหาชิ้นส่วนวัสดุมาจากที่ไหน
และชื่อของดาวเคราะห์ที่เนทบอกก็คือ คาลาดี้ พวกเขาได้สร้างมันขึ้นมาจากสิ่งมีชีวิตที่มีปีกบินในทะเลทราย หากเป็นแบบนั้นจริงๆละก็ เขาอาจจะค้นพบวิธีแก้ปัญหาเกี่ยวกับดวงอาทิตย์แล้วก็ได้
แจ้งจากผู้แปล : สวัสดีปีใหม่ค่ะทุกท่าน ห่างหายไปนานมากแล้วสำหรับการแปลเรื่องนี้ เนื่องจากทางผู้แปลติดธุระส่วนตัว ไม่สามารถแบ่งเวลามาแปลต่อได้เลยค่ะ ต้องขออภัยจริงๆ
จากนี้ ผู้แปลจะพยายามกลับมาอัพให้ได้ อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3-4 ตอน ขอบพระคุณนักอ่านทุกท่านที่ยังคอยติดตามเรื่องนี้นะคะ