ย้อนชีวิตพิชิตเซียน - บทที่ 101 : ซูป๋าเซียน
บทที่ 101 : ซูป๋าเซียน
ขณะที่ซูอานยังคงคุยโทรศัพ์กับจินจื่อหยา ซันกูก็นั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ทั้งคู่ไม่มีใครสนใจเด็กหนุ่มผมยาวเลยแม้แต่น้อย
เด็กหนุ่มผมยาวถูกคนทั้งคู่เมินเฉยใส่เช่นนี้ เขาจึงรู้สึกเหมือนถูกเย้ยหยัน และได้แต่ร้องตะโกนออกมาด้วยความโมโห
“ในเมื่อพวกแกสองคนอวดดีนัก ก็อย่าหาว่าฉันใจร้ายก็แล้วกัน!”
จากนั้นเด็กหนุ่มผมยาวก็กระโดดลอยตัว และเตะเข้าใส่ร่างของซันกูที่นั่งเหม่อ คิ้วของซันกูขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังกลับมาสาดไวน์ในแก้วเข้าใส่เด็กหนุ่มผมยาว จากนั้นมือทั้งสองข้างก็คว้าโต๊ะตรงหน้ากระแทกเข้าใส่ร่างของเด็กหนุ่มผมยาวทันที
ร่างของเด็กหนุ่มผมยาวกระแทกกับโต๊ะ แล้วจึงร่วงกรูดลงไปกองกับพื้นอย่างไม่ทันตั้งตัว..
“เจ้าหนู ไม่ฉลาดเลยนะที่จะทำตัวเป็นเด็กขี้โมโหทั้งที่ยังไม่หย่านมด้วยซ้ำไป!”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดเย้ยหยันของซันกู เสี่ยวฉีก็ลุกขึ้น แล้วพุ่งเข้าใส่ซันกูอีกครั้ง เมื่อซันกูเห็นเสี่ยวฉียังคงไม่ยอมหยุด เขาก็เริ่มโมโหบ้างแล้ว จึงร้องตะโกนบอกไปว่า
“เจ้าหนู ในเมื่อยังไม่ยอมหยุด ฉันคงต้องสั่งสอนเธอให้รู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่บ้าง!”
“นึกว่าฉันกลัวแกหรือยังไง? เข้ามาเลย..”
เสี่ยวฉีร้องตะโกนเสียงดังในขณะที่พุ่งกำปั้นทั้งสองตรงเข้าใส่หน้าอกของซันกูทันที และพลังหมัดของเด็กหนุ่มผมยาวผู้นี้นั้น หากกระแทกเข้ากับหัวใจโดยตรง อีกฝ่ายคงต้องเสียชีวิตเป็นแน่
แต่ซันกูกลับไม่ปกป้อง เขาชกกำปั้นทั้งสองข้างของตนเข้าที่หน้าอกของเด็กหนุ่มผมยาวเช่นกัน..
ในวินาทีนั้นเสี่ยวฉีสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของพลังหมัดจากอีกฝ่าย ความรู้สึกหวาดกลัวผุดขึ้นภายในใจทันที แต่ก็ไม่สามารถถอยกลับได้ทันแล้ว
หมัดทั้งสองของคนทั้งคู่ ต่างก็ปะทะเข้ากับหน้าอกของฝ่ายตรงข้าม จนร่างของทั้งสองคนต่างก็สั่นสะท้านไปพร้อมกัน
ร่างที่สั่นสะท้านของซันกูสงบลงอย่างรวดเร็ว และที่หน้าอกของเขาก็มีรอยสีแดงของหมัดทั้งสองประทับอยู่ ในขณะที่ร่างของเด็กหนุ่มผมยาวกระเด็นถอยหลังออกไปไกลหลายเมตร พร้อมกับกระอักออกมาเป็นเลือด ก่อนจะร่วงลงไปกองกับพื้น
กลุ่มของเด็กหนุ่มที่มาด้วยกันถึงกับมีสีหน้าตกใจ เมื่อครู่ซันกูเตะเด็กหนุ่มคนหนึ่งจนลอยละลิ่วออกไปนั้น ไม่ได้ทำให้พวกเขาตกใจอะไรมากนัก แต่การที่ซันกูชกเด็กหนุ่มผมยาวจนกระอักเลือดออกมาเช่นนี้ ทำให้พวกเขาต่างก็ถึงกับช็อคไปตามๆกัน..
เด็กหนุ่มผมสีฟ้าเดินตรงเข้าไปหาเสี่ยวฉี แววตาของเขาเป็นประกายดุดันขึ้นมาทันที หากเมื่อครู่เสี่ยวฉีเป็นฝ่ายรับหมัดของซันกูเพียงอย่างเดียว เวลานี้เขาต้องเสียชีวิตแล้วอย่างแน่นอน นับว่าหมัดทั้งสองที่ชกเข้าใส่หน้าอกของซันกูเมื่อครู่นี้ได้ช่วยชีวิตของเขาไว้..
“แกกล้าทำร้ายน้องชายของฉัน งั้นแกก็เตรียมตัวตายได้เลย!”
เด็กหนุ่มผมสีฟ้าพุ่งเข้าจู่โจมซันกูด้วยความรวดเร็วและรุนแรง และทุกการจู่โจมของเด็กหนุ่มผมสีฟ้านั้น หากไม่แข็งแกร่งพอก็ยากนักที่จะต้านทานไว้ได้ แม้แต่ซันกูเองยังรับมือเด็กหนุ่มผู้นี้ได้อย่างยากลำบาก
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะรู้วรยุทธเช่นกัน มิน่าเจ้าถึงได้ทำร้ายเสี่ยวฉีได้!”
ในระหว่างนั้น ผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ในเจียงโจวที่ได้พ่ายแพ้ให้เด็กหนุ่มผมยาวไปก่อนหน้านั้น ก็พากันส่งเสียงเชียร์ดังสนั่นไปทั่วทั้งบริเวณ
“ฆ่ามันเลย.. มันดูถูกนักยุทธเจียงโจวของเรา!”
ซันกูยังคงอยู่ในระหว่างประมือกับเด็กหนุ่มผมสีฟ้า จึงไม่มีโอกาสได้ร้องตะโกนบอกคนพวกนั้นว่า เขาไม่ใช่คนเจียงโจว!
การจู่โจมของเด็กหนุ่มผมสีฟ้าดุดันมากขึ้นเรื่อยๆ และด้วยวัยที่ต่างกัน ทำให้ซันกูดูเหมือนจะอ่อนล้าได้เร็วกว่า แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ร้องขอให้ซูอานช่วย เพราะรู้ว่าการต่อสู้ย่อมเท่ากับการฝึกฝน และยิ่งพบเจอคู่ต่อสู้ที่เหนือกว่า เขาก็จะยิ่งมีโอกาสฝึกฝนฝีมือของตนให้ก้าวหน้าตามได้ด้วย
เด็กหนุ่มผมสีฟ้าผู้นี้ไม่เพียงจู่โจมได้อย่างรุนแรง แต่ยังสามารถตั้งรับได้อย่างคล่องแคล่วด้วย แม้ซันกูจะสามารถหาช่องจู่โจมกลับไปได้ แต่ก็ไม่สามารถทำร้ายเด็กหนุ่มผู้นี้ได้ เพราะเขาสามารถตั้งรับไว้ได้ทุกครั้งไป
“ตาเฒ่า.. ฝีมือของแกไม่ธรรมดาเลยทีเดียว!”
เด็กหนุ่มผมสีฟ้าเอ่ยชมพร้อมกับพุ่งร่างของตนเข้าไปใกล้ร่างของซันกู จากนั้นจึงฟันศอกเข้าไปที่ใบหน้าของเขา และนั่นทำให้หน้าผากของซันกูถึงกับแตก และมีเลือดไหลออกมา ซันกูถึงกับมึนงงไปชั่วขณะ..
ทุกคนที่พากันมุงดูอยู่นั้นถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความหมดหวัง ในระหว่างนั้นซูอานก็เพิ่งวางสายจากจินจื่อหยาพอดี และหันไปมองซันกูด้วยสีหน้าเย้ยหยัน พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“เฮ้อเฒ่าซัน.. เจ้าทำให้ข้าขายหน้าจริงๆ!”
ในระหว่างที่ซันกูกำลังมึนงงอยู่นั้น เขาก็ได้ถูกเด็กหนุ่มผมสีฟ้าเตะเข้าใส่ร่างจนล้มกระแทกกับเก้าอี้ ซันกูหอบหนักในขณะที่ร้องตอบซูอานกลับไปว่า
“คุณชาย.. นอกจากเขาจะเป็นวรยุทธแล้ว ยังหนุ่มกว่าผมอีกนะครับ!”
“เอาล่ะ.. เจ้าไปพักก่อน!”
ซันกูได้ยินเช่นนั้นถึงกับยิ้มออกมาด้วยความดีใจ เขารีบลุกขึ้น และเดินออกไปนอกบริเวณต่อสู้ทันที
ซูอานลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วจึงหันกลับไปมองเด็กหนุ่มผมสีฟ้าด้วยสีหน้าแววตานิ่งเฉย ไม่มีแม้แต่ความโมโห เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“เจ้ามาจากหนานฉีงั้นรึ?”
“ทำไม?! ไอ้หนู.. ถ้าแกกลัวก็รีบคุกเข่าร้องขอความเมตตาจากลูกพี่ได้เลย อาจารย์ของแกแพ้ให้ลูกพี่ของพวกฉันแล้ว!”
หนึ่งในกลุ่มเด็กหนุ่มร้องตะโกนออกมา และคิดว่าซันกูนั้นเป็นอาจารย์ของซูอาน..
แต่เด็กหนุ่มผมสีฟ้ากลับมีสีหน้าเปลี่ยนไป เขารู้สึกหนาวๆร้อนๆกับสายตาที่สงบนิ่งของซูอานอย่างมาก เพราะมันสามารถกดข่ม และทำให้ความกลัวปรากฏขึ้นในจิตใจของเขาได้
เด็กหนุ่มคนนี้ต่างหากที่เป็นคู่ต่อสู้ที่แท้จริง!
เด็กหนุ่มผมสีฟ้าได้แต่แอบคิดอยู่ภายในใจ ในขณะที่เด็กหนุ่มคนอื่นๆ ก็พากันส่งเสียงเชียร์กันไม่หยุด
“พี่สุ่ย.. จัดการมันเลย ให้มันเห็นความน่ากลัวของพี่!”
แต่เสียงเชียร์ของคนในกลุ่มก็ได้สร้างความฮึกเหิมให้กับเด็กหนุ่มผมสีฟ้าเป็นอย่างมาก เขามั่นใจว่าต่อให้ตนเองไม่สามารถฆ่าซูอานได้ แต่อย่างน้อยหากเขาประเคนทั้งหมัดและเท้าใส่อย่างไม่หยุดยั้ง อย่างน้อยๆซูอานก็ต้องไปนอนโรงพยาบาลถึงครึ่งปีเลยทีเดียว
เด็กหนุ่มผมสีฟ้าไม่สนใจสายตาสงบนิ่งแต่แฝงไว้ด้วยพลังของซูอานอีก เขาพุ่งหมัดเข้าใส่ร่างของซูอานเพื่อเป็นการหยั่งเชิงเสียก่อน..
แต่ซูอานที่ยังคงยืนเอามือไขว้หลังนิ่งนั้น จู่ๆมือซ้ายของเขาก็สะบัดออกมา และซัดใส่ร่างของเด็กหนุ่มผมสีฟ้าอย่างรวดเร็วจนไม่มีผู้ใดสามารถมองได้ทัน ร่างของเด็กหนุ่มลอยละลิ่วถอยหลังออกไปไกล ก่อนจะกระแทกลงกับโต๊ะอีกสองตัว และใบหน้าเปลี่ยนเป็นเหยเกทันที..
ทุกคนในที่นั้นได้แต่ยืนงงกับการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ของซูอาน ไม่มีใครเห็นว่าซูอานซัดฝ่ามือออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่?
กลุ่มเด็กหนุ่มเกือบทั้งหมดกรูเข้าไปช่วยพยุงร่างของเด็กหนุ่มผมสีฟ้า พร้อมกับร้องถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย..
“พี่สุ่ย.. พี่เป็นไงบ้าง?”
แต่เด็กหนุ่มผมสีฟ้าได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา สายตาที่จ้องมองซูอานอยู่เวลานี้บ่งบอกถึงความหวาดกลัว เขารู้ดีว่าเมื่อครู่นั้นหากเขาไม่เดินพลังปราณปกป้องร่างกายไว้ เขาคงต้องเจ็บหนักกว่านี้แน่!
และครั้งนี้เขาก็ไม่กล้าประมาทซูอานอีกเลย เด็กหนุ่มผมสีฟ้าร้องบอกซูอานว่า “ฉันจะให้แกได้รู้จักพลังของเพลงมวยสิงอี้!”
เพลงมวยสิงอี้นั้น ชื่อเต็มว่าสิงอี้เฉวียน เป็นหนึ่งในศิลปะต่อสู้ป้องกันตัวของบู๊ตึ๊ง คำว่า สิง (形) แปลว่า รูปลักษณ์ ส่วนคำว่า อี้ (意) หมายถึง จิต เมื่อรวมกันจึงเข้าใจได้ว่า มวยสิงอี้ให้ความสำคัญแก่การฝึกจิตสำนึกและรูปลักษณ์ ลักษณะของมวยสิงอี้คือการโจมตีเป็นเส้นตรงอย่างรุนแรงและทรงพลังในระยะสั้น ผู้ฝึกฝนมวยสิงอี้ใช้การเคลื่อนไหวประสานเพื่อสร้างพลังงานที่ใช้ในการเอาชนะคู่ต่อสู้ ในขณะนั้นก็ป้องกันตัวพร้อมกับที่โจมตี
เด็กหนุ่มผมสีฟ้าผู้นี้ฝึกเพลงมวยสิงอี้มานานนับสิบปี จึงสามารถเข้าใจและใช้เพลงมวยนี้ได้อย่างคล่องแคล่ว หมัดของเขานั้นพริ้วไหวกลมกลืนไปกับจิตใจที่สงบนิ่ง และพุ่งตรงเข้าใส่ร่างของซูอานอย่างเฉียบคมและแม่นยำ
สำหรับคนธรรมดาทั่วไปนั้น อาจรู้สึกตื่นตาตื่นใจ แต่ในสายตาของซูอานนั้น แม้คนผู้นี้จะสามารถผสานกายและใจรวมเป็นหนึ่งได้ แต่พลังภายในกลับอ่อนบางยิ่งนัก
ซูอานยังคงยืนนิ่งให้ร่างของเด็กหนุ่มผมสีฟ้าเคลื่อนเข้ามาใกล้ จากนั้นจึงยกเท้าขึ้นเตะเข้าใส่ร่างของเขาจนลอยละลิ่วออกไปอีกครั้ง และครั้งนี้ร่างของเขาลอยไปกระแทกกับกำแพงอย่างแรงก่อนจะค่อยๆร่วงลงไปกับพื้น
กลุ่มนักยุทธเจียงโจวต่างก็ร้องตะโกนออกมาด้วยความดีอกดีใจ ในขณะที่กลุ่มของเด็กหนุ่มต่างก็มีสีหน้าหวาดผวา เพราะแม้แต่ลูกพี่ของพวกมันยังไม่สามารถต้านทานซูอานได้!
แต่ซูอานไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้น ยังไม่ทันที่ร่างของเด็กหนุ่มผมสีฟ้าจะร่วงลงสูพื้น เขาก็กระโดดเข้าไปเตะร่างของมันลอยขึ้นไปบนอากาศอีกครั้ง และทำเช่นนี้อยู่ราวหกครั้ง จนกระทั่งเด็กหนุ่มอาเจียนออกมาเป็นเลือด และไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีก
ซูอานหันไปมองกลุ่มเด็กหนุ่มจากหนานฉี พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน “พวกเจ้าออกไปจากที่นี่ได้แล้ว เจียงโจวไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าจะทำอะไรป่าเถื่อนตามใจชอบได้!”
เด็กหนุ่มจากหนานฉีตกใจและหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ทั้งหมดรีบตรงเข้าไปประคองร่างของเด็กหนุ่มผมสีฟ้า และกำลังจะเดินออกไปจากร้าน..
แต่ในวินาทีนั้นเอง ชายชราร่างผอมบางแทบเห็นกระดูกผู้หนึ่งก็เดินเข้ามา ดวงตาที่ลึกลงไปในเบ้านั้นจ้องมองซูอานด้วยสายตาที่เย็นยะเยือก
“แกโอหังมากนะเจ้าหนู ที่กล้าข่มเหงศิษย์ของฉัน!
ชายชราร่างผอมผู้นี้เป็นอาจารย์สอนเพลงมวยสิงอี้ และเป็นหนึ่งในยอดฝีมือของหนานฉี..
“ห๊ะ?! เขาคือเหลียงอู่ชาง ปรมาจารย์เพลงมวยสิงอี้แห่งหนานฉีนี่!”
“จริงด้วย!”
กลุ่มนักยุทธเจียงโจวต่างก็พากันร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ พวกเขายังจำได้ว่า ครั้งก่อนนั้นเหลียงอู่ชางกับหลิวเตาได้เคยประลองกันห้ายก แต่หลิวเตากลับพ่ายแพ้ให้กับเหลียงอู่ชางทั้งห้ายก ทำให้นักยุทธหนานฉีเริ่มมีชื่อเสียงมากกว่านักยุทธเจียงโจว
และทุกคนก็คิดไม่ถึงว่า เพียงไม่กี่ไปจะได้พบกับเขาอีกครั้ง และดูเหมือนครั้งนี้เขาจะแข็ง แกร่งขึ้นกว่าเดิมด้วย
เหลียอู่ชางเดินลูบไล้หนวดเคราของตนเข้าไปหาซูอาน แต่กลับไม่ปรายตามองเหล่านักยุทธเจียงโจวเลยแม้แต่น้อย
“อาจารย์.. ท่านต้องแก้แค้นให้กับพี่ใหญ่แล้วก็คนอื่นๆด้วย!”
เด็กหนุ่มจากหนานฉีต่างก็ร้องบอกเหลียงอู่ชางด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย..
“แกทำร้ายลูกศิษย์ของฉันงั้นรึ?!”
เหลียงอู่ชางเหลือบมองเด็กหนุ่มผมสีฟ้าที่นอนบาดเจ็บอยู่ จากนั้นจึงหันไปถามซูอานด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธ
แต่ซูอานกลับยังคงสงบนิ่ง สีหน้าท่าทาง และแววตาของเขายังคงไร้ซึ่งความหวาดกลัว และถามกลับไปอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ถูกต้อง.. แล้วทำไมรึ?”
เหล่านักยุทธเจียงโจวได้แต่วิพากษ์วิจารณ์กันด้วยความแปลกใจ..
“เขาเป็นใครกันแน่? แม้แต่เหลียงอู่ชางยังไม่กลัว!”
“ในเจียงโจวของเรา มีคนแบบนี้ด้วยเหรอ?”
แต่เด็กหนุ่มจากหนานฉีกับโกรธมาก ที่ซูอานแดงกิริยาวาจาเช่นนั้นต่อเหลียงอู่ชาง..
“อาจารย์.. ฆ่ามันเลย มันบังอาจดูถูกท่านอาจารย์!”
เหลียงอู่ชางโมโหอย่างมาก เขาร้องตะโกนออกไปว่า “ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสฝ่ามือของข้า..”
จากนั้นเหลียงอู่ชางก็ซัดฝ่ามือเข้าใส่ร่างของซูอานหมายสังหารให้ตายในฝ่ามือเดียว ซูอานเองก็รวบรวมพลังปราณในร่างซัดเข้าใส่ฝ่ามือของเหลียงอู่ชางเช่นกัน และนั่นทำให้เหลียงอู่ชางถึงกับมีสีหน้าตกใจ เพราะพลังภายในของซูอานนั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก
และมีหรือที่พลังภายในของเหลียงอู่ชางจะสามารถต้านทานพลังภายในของซูอานได้ ร่างของเขาถูกพลังปราณของซูอานซัดออกไปจนร่างกระแทกเข้ากับเคาน์เตอร์บาร์ ก่อนจะร่วงลงพร้อมกับเลือดสีแดงที่ไหลออกมาจากริมฝีปาก
ทุกคนในบริเวณนั้นถึงกับนิ่งเงียบไปด้วยความตกตะลึง จนกระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ เหลียงอู่ชางจึงค่อยๆลุกขึ้น แล้วจึงหันหน้าไปทางซูอานพร้อมกับคุกเข่าลงทำการคาราวะเขาในฐานะนักยุทธขั้นปรมาจารย์
“ข้าน้อยเหลียงอู่ชางบังอาจล่วงเกินอาวุโส ขออาวุโสได้โปรดอภัยให้ด้วย!”
กลุ่มเด็กหนุ่มต่างพากันงุนงง และคิดไม่ถึงว่าอาจารย์ของตนจะคุกเข่าให้กับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง และกำลังร้องขอความเมตตาจากเขา..
ซูอานเหลือบมองเหลียงอู่ชาง แววตาสังหารเมื่อครู่มลายหายไปทันที และคิดว่าการสังหารเหลียงอู่ชาง อาจนำปัญหาใหม่อีกมากมายมาให้กับตนเองก็เป็นได้ เมื่อคิดได้เช่นนั้น ซันกูกับซูอานจึงเดินจากไปทันที
เหล่านักยุทธเจียงโจวต่างก็พากันมองตามด้วยความชื่นชม แต่แล้วใครคนหนึ่งก็ร้องตะโกนออกมาว่า
“ฉันจำได้แล้ว.. เขาก็คือซูป๋าเซียน!”
*****
[ฝากนิยายแปลอีกเรื่องของทีมงานนะคะ: จักรพรรดิ์เทพมังกร ]
จักรพรรดิเทพมังกร
(Dragon Emperor - Martial God)
ความเป็นอมตะของหลิงหยุนได้มลายหายไป.. ทำให้เขาตกลงมาสู่โลกมนุษย์ ในยุคที่เต็มไปด้วยความเสื่อมทรามอย่างที่สุด
จากนั้น.. หลิงหยุนจะค่อยๆ บ่มเพาะพลังในตัวเองทีละขั้น ทีละขั้น และไต่ลำดับขึ้นไปต่อกรกับสวรรค์ได้อย่างไร..
******