ตอนที่แล้วบทที่ 113 เผยไต๋!!!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 115 การบันทึกหลักฐาน

บทที่ 114 การปรากฏตัวของ?


บทที่ 114 การปรากฏตัวของ?

“จี้ช่าวหยิน?”

จี้เฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆและพูดอย่างไม่แยแส “เหตุผลที่ฉันยังไม่ฆ่าแกในวันนี้ก็เป็นเพราะฉันจะให้แกคาบข่าวไปบอกจี้ช่าวหยินให้เขารู้และเห็นสภาพของแก ว่าถ้ายังปล่อยให้หมามากัดคนไปทั่วโดยไม่เลือกแบบนี้ เขาจะต้องเจอกับอะไร และถ้ายังปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก ครั้งต่อไปมันจะไม่ใช่แค่หมาของเขาที่จะมีสภาพเช่นนี้ แต่จะรวมถึงคนที่เป็นเจ้าของหมาตัวนั้นด้วย!”

คำพูดของจี้เฟิงแม้จะพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา แต่ก็เต็มไปด้วยพลังที่น่าเกรงขามและทำให้ผู้ฟังได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ แม้แต่อู๋เฉียนที่ก่อนหน้านี้ยังหยิ่งผยองก็ถึงกับหยุดชะงักไปพักหนึ่งและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะตอบโต้บทสนทนานี้ไปว่าอย่างไร

เขาพึ่งพาชื่อเสียงและอำนาจของจี้ช่าวหยินมาโดยตลอด และไม่เคยมีครั้งไหน ที่จะมีคนไม่เกรงกลัวชื่อเสียงและอำนาจของจี้ช่าวหยิน แต่ในเวลานี้คนที่อยู่ตรงหน้าเขา นอกจากจะไม่เกรงกลัวเมื่อได้ยินเขาอ้างถึงชื่อของจี้ช่าวหยินแล้ว แต่เขายังกล้าท้าทายจี้ช่าวหยินกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว เรื่องแบบนี้มันไม่น่าเกิดขึ้นได้ มันจะมีคนแบบนี้อยู่ได้ยังไง?

แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นพวกที่บ้าบิ่นและไม่เกรงกลัวอำนาจตระกูลของจี้ช่าวหยินเลยแม้แต่น้อย หรือเบื้องหลังของพวกมันจะยิ่งใหญ่กว่าตระกูลของจี้ช่าวหยิน?!

เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้หัวใจของอู๋เฉียนก็เต้นรัวอย่างรุนแรงราวกับว่ามันสามารถกระโดดออกมาจากอกของเขาได้ทุกเมื่อ

แต่ในไม่ช้าอู๋เฉียนก็ปฏิเสธการคาดเดาของเขาเองในเรื่องนี้ เพราะมันแทบจะไม่มีทางเป็นไปได้ที่จี้ช่าวหยิน ผู้ที่อยู่ในตระกูลจี้แห่งหยานจิง จะมีอำนาจด้อยกว่าใคร เพราะในประเทศจีนแม้คนส่วนใหญ่จะมีต้นกำเนิดคล้ายกันกับเขา แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีใครมีที่มีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าเขา

เห็นได้ชัดว่าไอ้พวกนี้มันเสแสร้ง พวกมันก็แค่แกล้งทำเหมือนว่ามีคนที่ยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลังพวกมัน!

ด้วยการคาดเดาเช่นนี้ อู๋เฉียนจึงรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นกว่าเดิม วันนี้คนพวกนี้ไม่เพียงแต่จะทำร้ายร่างกายเขาอย่างรุนแรงแต่ยังกล้าเพิกเฉยเมื่อได้ยินชื่อของจี้ช่าวหยินด้วย เขาต้องบอกเรื่องนี้ให้จี้ช่าวหยินรู้ แล้วเมื่อถึงตอนนั้นเขาจะได้ระบายความโกรธกับคนพวกนี้ด้วยตัวของเขาเองได้อย่างเต็มที่!

อย่างไรก็ตามอู๋เฉียนรู้ตัวดีว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นเพียงแค่คนที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรเมื่ออยู่ต่อหน้าจี้ช่าวหยิน และถ้าเขาต้องการให้จี้ช่าวหยินยื่นมือเข้าช่วยเหลือเขาในเรื่องนี้ เขาก็ไม่สามารถที่จะบอกความจริงทั้งหมดออกไปได้ เขาต้องพูดอะไรบางอย่างที่จะทำให้จี้ช่าวหยินรู้สึกไม่พอใจคนพวกนี้ให้มากพอ เพราะถึงแม้ว่าจี้ช่าวหยินจะเป็นแค่เด็ก แต่มันก็ไม่ง่ายเลยที่จะหลอกเขา

เมื่อคิดได้แบบนี้อู๋เฉียนก็ตะคอกขึ้น “ในเมื่อปากดีและหยิ่งผยองขนาดนี้ ก็จัดการตำรวจให้หมดทุกคนและรื้อถอนสถานีตำรวจไปด้วยเลยสิ แล้วจะได้รู้กันว่ากูหรือมึงใครที่จะต้องตายก่อนกัน!”

จี้เฟิงยิ้มจางๆและไม่ได้สนใจเขา

แต่นั่นไม่ใช่กับคนอารมณ์ร้อนอย่างตู้เส้าเฟิงและจางเล่ย เมื่อฟังอู๋เฉียนที่ได้แต่นอนไม่สามารถขยับไปไหนได้แต่ยังคงปากดีท้าทายไม่เลิก พวกเขาจึงก้าวไปข้างหน้าในเวลาเดียวกันและรุมกระทืบอู๋เฉียนอย่างดุเดือด

“ผั้วะ!! ตุ้บ!! พลั่ก!!!”

อู๋เฉียนไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดเขาสลบไปแทบจะในทันที

ทันใดนั้นผู้กองหวังที่เห็นอู๋เฉียนถูกรุมกระทืบก็แทบจะหยุดหายใจ และสร่างเมาทันที และได้แต่นึกในใจ ‘ไอ้สองคนนั้นมันรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่? ที่นี่มันสถานีตำรวจนะเว้ย คนปกติทั่วไปเวลาเขามาสถานีตำรวจกันอย่าว่าแต่ทำตัวแบบนี้เลย แม้แต่พูดคุยเสียงดังก็ยังไม่มีกล้า แต่ไอ้สองคนนี้ไม่เพียงแต่กล้าทำร้ายตำรวจแต่ยังทำร้ายประชาชนอย่างเปิดเผยอีกด้วย! นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกันขึ้น!’

แต่เมื่อผู้กองหวังเห็นดวงตาที่ดุร้ายของตู้เส้าเฟิงและจางเล่ย เขาก็หลับตาและแสร้งทำเป็นว่าสลบในทันที แต่ในขณะเดียวกันเขาแอบกดโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของเขาและกดหมายเลขเพื่อขอความช่วยเหลือจากตำรวจคนอื่นๆที่อยู่นอกห้องสอบสวน

“ให้ตายเหอะ! คนเราสมัยนี้ไม่รู้จริงๆหรือว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด!” จางเล่ยพูดอย่างเหยียดหยาม

ตู้เส้าเฟิงยกนิ้วให้และพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่ชาย เตะได้สวย!!”

แต่ฮั่นจงและจ้าวไคที่ยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่เบื้องหลังได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นอยู่ในใจ พวกนายเล่นสนุกกันอย่างมีความสุข แต่ผลที่ตามมามันจะไม่สนุกอย่างที่คิดหรอกนะ พวกนายทำเรื่องบานปลายกันขนาดนี้จะรับผิดชอบกันยังไงไหวล่ะทีนี้!

ฮั่นจงได้แต่หวังอยู่ในใจลึกๆว่าพ่อของเขาจะมาช่วยประกันตัวและปล่อยพวกเขาออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นถ้าตำรวจที่อยู่ข้างนอกแห่กันเข้ามาและเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ คงเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะได้รับการประกันตัวและรอดออกไปจากที่นี่ได้

ในขณะที่เขากำลังคิดอยู่นั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอก

ใบหน้าของฮั่นจงหมองลงทันที เขาได้แต่คิดกับตัวเองว่า ก็คงจะแปลกมากถ้าเกิดเรื่องขนาดนี้แล้วตำรวจข้างนอกยังไม่ได้ยินหรือเอะใจอะไร

“ปัง!”

ประตูของห้องสอบสวนถูกเปิดออก จากนั้นตำรวจสิบกว่านายก็รีบวิ่งเข้ามา และเมื่อพวกเขาเห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า พวกเขาก็ตกใจและรีบหยิบปืนพกออกมาและเล็งไปที่จี้เฟิงและคนอื่นๆ

“ทั้งหมดหมอบลงแล้วเอามือจับที่หลังศีรษะ ถ้าไม่เช่นนั้นพวกเราจะยิง!!” ตำรวจหลายสิบนายที่เพิ่งพังประตูห้องสอบสวนเข้ามาต่างรู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ที่พวกเขาเห็นอยู่ตรงหน้านี้มาก พวกเขาคิดไม่ถึงว่าเด็กพวกนี้จะกล้าจนถึงขนาดทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มียศเป็นถึงผู้กอง

“ทำตามที่เขาบอก” จี้เฟิงพูดเบาๆพร้อมกับดึงมือเล็กๆของถงเล่ยและนั่งยองๆ แม้ว่าเขาจะมั่นใจว่าเขาสามารถทำให้ตำรวจเหล่านี้ล้มลงได้ก่อนที่พวกเขาจะทันได้ลั่นไก แต่เขาก็ยังคงกลัวว่าอาจจะเกิดความผิดพลาดและทำให้ถงเล่ยได้รับอันตราย

ยิ่งไปกว่านั้นคนที่พวกเขารออยู่ยังไม่มาจึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนลงมือทำอะไรด้วยความรุนแรง

หลังจากที่จี้เฟิงและคนอื่นๆทั้งหมดนั่งยองๆ เหล่าเจ้าหน้าที่ตำรวจต่างก็รู้สึกโล่งใจ ในขณะที่พวกเขากำลังจะเดินเข้าไปใส่กุญแจมือจี้เฟิงและคนอื่นๆ แต่ทันใดเขาก็ถูกเสียงของผู้ชายคนหนึ่งพูดขัดขึ้น

“หยุดเดี๋ยวนี้!”

เสียงที่ดุดันสง่าผ่าเผยดังขึ้นมาจากด้านนอกใกล้กับห้องสอบสวน จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสามนายก็เดินเข้าไปหาชายที่พูดขึ้นเมื่อครู่ ชายคนนี้มีอายุประมาณสี่สิบปีบุคลิกลักษณะดูสง่างามน่าเกรงขาม

“พวกคุณกำลังจะทำอะไร?” ชายผู้สง่างามตะคอกถามเมื่อเขาเดินเข้ามาในห้องสอบสวนและเห็นตำรวจหลายสิบนายกำลังถือปืนเล็งไปทางเหล่านักเรียน

เมื่อตำรวจคนอื่นๆเห็นใบหน้าของชายผู้นี้อย่างชัดเจนพวกเขาก็ถึงกับตัวสั่นด้วยความตกใจและรีบถอนกำลังออกไปทันที

ตำรวจนายหนึ่งตอบอย่างตะกุกตะกัก “ทะ..ท่านรองผู้บัญชาการเจิ้ง คนพวกนี้ทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ พวกเขาทำร้ายผู้กองหวังจนได้รับบาดเจ็บสาหัส!”

ชายคนที่มีบุคลิกท่าทางอันสง่างามที่ตำรวจชั้นผู้น้อยเรียกเขาว่ารองผู้บัญชาการเจิ้ง เมื่อเขามองไปยังสภาพของห้องสอบสวนในตอนนี้ เขาได้แต่ส่ายหัวและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม“ความภาคภูมิใจอันยิ่งใหญ่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้รักษากฎหมายบ้านเมืองคือการใช้อาวุธอย่างกระบองไฟฟ้าและปืนพกเพื่อทำร้ายและข่มขู่นักเรียนกลุ่มหนึ่งโดยที่ไม่ได้มีการต่อต้านขัดขืนใดๆงั้นหรือ?!”

“คือ...” ตำรวจหลายสิบคนได้แต่อึ้งกิมกี่ พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะตอบออกไปว่าอย่างไร บางคนถึงกับมีเหงื่อเย็นๆผุดขึ้นเต็มใบหน้าของพวกเขา เพราะผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าของพวกเขานั้นคือรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งเทศบาลนครเจียงโจวผู้มีอำนาจอย่างแท้จริงเพราะแม้แต่หัวหน้าเขตพัฒนาเศรษฐกิจของเมืองหากพบกับเขายังต้องพูดคุยอย่างสุภาพ แล้วนับประสาอะไรกับตำรวจชั้นผู้น้อยเหล่านี้ พวกเขาจะกล้าพูดคุยกับคนระดับนี้ได้อย่างไร?

ในวันธรรมดามันก็เป็นเรื่องยากมากที่จะได้เห็นรองผู้บัญชาการเจิ้งคนนี้ และแน่นอนว่าคงไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะได้พบกับบุคคลระดับนี้ในสถานการณ์เช่นนี้ มันจึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้หากตำรวจชั้นผู้น้อยเหล่านี้จะรู้สึกประหม่าอยู่ในใจ พวกเขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าการได้พบกับหัวหน้าระดับสูงของกรมตำรวจในเวลานี้จะเป็นเรื่องโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่

ตำรวจทุกนายในที่นี้ต่างระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะขยับเพียงเล็กน้อย เพราะพวกเขากลัวว่าอาจจะทำให้เกิดกระแสลมไปสัมผัสโดนคิ้วของรองผู้บัญชาการเจิ้งและมันจะทำให้พวกเขาต้องเจอกับปัญหาได้

“เกิดอะไรขึ้น?” รองผู้บัญชาการเจิ้งขมวดคิ้วเมื่อเห็นผู้กองหวังและอู๋เฉียนนอนหมดสติอยู่ที่พื้นและถามอย่างเย็นชา

ตำรวจคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆเขากระซิบ “ผู้กองหวังได้พาผู้ต้องสงสัยมาสอบปากคำในห้องนี้และคาดว่าน่าจะเกิดการต่อสู้ขึ้น เพราะเมื่อพวกเราเข้ามาในห้องมันก็เป็นแบบนี้แล้วครับ พวกเราก็ยังไม่รู้รายละเอียดแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น!”

ผู้บัญชาการเจิ้งโบกมือและพูดว่า “ปลุกพวกเขาขึ้นมา!” เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายรีบก้าวไปข้างหน้าและเขย่าตัวเรียกผู้กองหวังและอู๋เฉียน หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ได้สติ

“หือ.. อะไร?  ทะ..ท่านรองผู้บัญชาการ?!” ทันทีที่ผู้กองหวังลืมตาขึ้นมา สิ่งแรกที่เขาเห็นคือรองผู้บัญชาการเจิ้งผู้สง่างามกำลังยืนจ้องเขาอยู่ ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขารีบดิ้นรนพยายามอย่างที่สุดเพื่อที่จะลุกขึ้นยืน และถามด้วยความระมัดระวัง “ท่านรองผู้บัญชาการเจิ้ง ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ตอนนี้ได้?!”

รองผู้บัญชาการตะคอกด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ถ้าฉันไม่มานักเรียนเหล่านี้ก็คงตายด้วยมือของคุณไปแล้วใช่มั้ย ในฐานะเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้รักษากฎหมาย ไม่เพียงแต่คุณจะไม่ทำหน้าที่ผู้นำที่ดีในฐานะหัวหน้าตำรวจแล้ว คุณยังไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบวินัยอีก ทำไมคุณถึงกล้าใช้ความรุนแรงกับนักเรียนเหล่านี้?” ในประโยคท้ายรองผู้บัญชาการเจิ้งถามด้วยน้ำเสียงที่ดุดันและน่ากลัวและเมื่อเขาพูดจบรองผู้บัญชาการเจิ้งก็นิ่งไปและจ้องไปที่ผู้กองหวังอย่างเย็นชา

ด้วยความกลัว ผู้กองหวังถึงกับขาอ่อนแรงและนั่งลงไปกับพื้น

ในตอนนี้อู๋เฉียนที่เคยหยิ่งผยองก็ได้แต่นั่งหุบปากเงียบและมีสีหน้าที่ย่ำแย่ไม่แพ้ผู้กองหวัง เขาเคยได้ยินชื่อเสียงและรับรู้ถึงอำนาจของผู้บัญชาการเจิ้งมาบ้าง และแม้แต่จี้ช่าวหยินเองก็ยังคงเกรงใจเขาผู้นี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอย่างเขาที่มีบทบาทเล็กๆเท่านั้น

เขาคิดที่จะโทรหาจี้ช่าวหยินเพื่อให้ช่วยเขาในเรื่องนี้แต่ในขณะที่กำลังจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา อู๋เฉียนก็รู้สึกกังวลว่าถ้าโทรไปแล้วจี้ช่าวหยินไม่สนใจไยดีเขาขึ้นมาเขาจะทำอย่างไรต่อไป เขาจึงได้แต่เก็บโทรศัพท์ลงไปเงียบๆ

แม้อู๋เฉียนจะเป็นที่รู้จักภายในนามของจี้ช่าวหยิน แต่ในความเป็นจริงเขาเคยพบกับจี้ช่าวหยินเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น  เหตุผลที่อู๋เฉียนกล้าอวดเบ่งอำนาจและอาละวาดไปทั่วได้ขนาดนี้นั่นเพราะว่าเขาเล่นบทบาทสุนัขรับใช้ที่สนิทกับจี้ช่าวหยินมาโดยตลอด จุดเริ่มต้นเป็นเพียงแค่เจ้าของบริษัทที่เขาทำงานอยู่นั้นมีมิตรภาพเล็กน้อยกับจี้ช่าวหยิน เขาเหมือนกับแกะที่ห่มหนังเสือหลอกคนอื่นๆให้เกรงกลัว

แต่ตอนนี้ผู้มีอำนาจอย่างแท้จริงอยู่ที่นี่แล้ว แล้วเขาจะกล้าเล่นเป็นเสือต่อหน้าเสือจริงๆได้อย่างไร เขาจึงได้แค่นั่งหุบปากเงียบอยู่เฉยๆไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว

ผู้กองหวังรู้สึกวิตกกังวลอย่างหนัก แต่เขาก็ยังไม่กล้าบอกความจริงออกไป เพราะเขาไม่รู้ว่าถ้ารองผู้บัญชาการรู้เรื่องทั้งหมดชีวิตเขาจะจบลงอย่างไร

เขาพูดอย่างระมัดระวัง “ท่านรองผู้บัญชาการเจิ้ง ที่เรื่องเป็นเช่นนี้เพราะทีแรกพวกเราได้รับแจ้งว่ามีคนขโมยโทรศัพท์มือถือของผู้อื่นไป และเมื่อพวกเราไปถึงที่เกิดเหตุเพื่อทำการสอบถาม ปรากฏว่าคนเหล่านี้ทำร้ายร่างกายผู้ที่แจ้งเรื่องเข้ามา ผมเลยสั่งให้จับกุมตัวพวกเขาทั้งหมดมาที่สถานีตำรวจเพื่อสอบปากคำ!”

“ถ้าคุณพาเขามาเพื่อสอบปากคำ แล้วมีเหตุผลอะไรถึงต้องใช้อาวุธอย่างกระบองและกระบองไฟฟ้ามาสอบปากคำนักเรียนเหล่านี้” รองผู้บัญชาการเจิ้งถามอย่างเย็นชา

“ท่านรองผู้บัญชาการ เมื่อสักครู่คุณบอกว่าพวกเขาเป็นนักเรียนหรือ?”

ผู้กองหวังจงใจแสร้งทำเป็นไม่รู้แล้วพูดว่า “ท่านรองผู้บัญชาการเจิ้ง พวกเขาดูไม่เหมือนนักเรียน ตอนที่พวกเราพาตัวพวกเขามา พวกเราจึงไม่รู้และเริ่มทำการสอบสวนไปตามขั้นตอน แต่จู่ๆนักเรียนเหล่านี้ก็เกิดคลุ้มคลั่งทำร้ายร่างกายผมและเจ้าของโทรศัพท์ที่ถูกขโมย จากนั้นผมก็หมดสติไป รู้ตัวอีกทีก็พบว่าคุณอยู่ที่นี่แล้ว!”

“เรื่องจริงงั้นหรือ?” สีหน้าของรองผู้บัญชาการเจิ้งยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่สายตาของเขาหันไปทางจางเล่ย

…จบบทที่ 114~❤️

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด