ตอนที่ 2 สร้อยข้อมือทองแดง
เวลาเปิดร้านปกติของหลินหยวนก็คือไม่กี่นาทีก่อน 7 โมงเช้านั่นเอง
ในตอนนี้หลินหยวนก็กำลังยืนอยู่ข้างชั้นวางดอกไม้ เขารู้สึกเหนื่อยมากกว่าปกติ และนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาดูอ่อนแอมาก
เขารู้สึกเหนื่อยล้าเมื่อต้องเปิดร้านทุกวันเป็นแม้มันจะสิ่งที่หลินหยวนคุ้นเคยอยู่แล้วก็ตาม แต่เขารู้สึกได้ถึงความมึนงงในส่วนลึกในหัวของเขาและดูเหมือนว่ามันจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
“เหมียว~ ท่านหยวนไปที่เก้าอี้แล้วนั่งพักสักครู่ก่อนเถอะ”
แมวขี้เถ้าดำเริ่มเดินบนกางเกงและเสื้อของหลินหยวนทันทีก่อนจะปีนขึ้นไปที่คอของเขา จากนั้นเจ้าแมวก็ตัวสั่นในขณะที่มันพยายามยืนสองขาขึ้นและใช้อุ้งเท้านุ่มๆของมันนวดศีรษะของหลินหยวนอย่างอ่อนโยน
เจ้านกดนตรีเองก็บินไปรอบๆ อย่างกระวนกระวายราวกับว่ามันกำลังจะถามว่าทำไมหลินหยวนถึงดูอ่อนแอกว่าปกติกันนะ
จากนั้นหลินหยวนก็ฮึดขึ้นทำให้ตัวเองรู้สึกกระปี้กระเปร่าก่อนที่จะกอดเจ้าสัตว์ร้อยคำถามของเขาไว้ในอ้อมแขน พลางลูบมือไปตามขนของมัน
“จีเนียส ฉีมี่ พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก เมื่อวานฉันคงนอนหลับไม่สนิทเอง” ในขณะที่หลินหยวนกำลังพูดอยู่นั้น เขาก็เริ่มคิดว่าเขาจะเป็นหวัดอีกแล้วหรือไม่นะ
สถานะการเงินตอนนี้ของเขาในการดูแลร้านค้าของครอบครัวนั้นฝืดมาก และแทบจะไม่เพียงพอที่จะช่วยจ่ายค่าเล่าเรียนของน้องสาวของเขาได้เลย ดังนั้นในช่วงเวลาปกติเขาก็จะประหยัดค่าอาหารของตัวเอง
คนยากจนนั้นกลัวการล้มป่วยมากที่สุด
หนึ่งร้อยปีให้หลังนับตั้งแต่พลังปราณวิญญาณได้ตื่นขึ้น ความเจ็บป่วยโรคร้ายทั้งหมดสามารถรักษาได้อย่างง่ายดาย ตราบเท่าที่เราสามารถหาผู้เชี่ยวชาญด้านพลังปราณวิญญาณที่ทำสัญญากับสิ่งวิเศษประเภทการรักษาระดับสูง ผู้ป่วยทั้งหลายจะหายเป็นปลิดทิ้งด้วยการเข้ารักษาเพียงรอบเดียว
อย่างไรก็ตามค่าธรรมเนียมในการจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านปราณวิญญาณของสิ่งวิเศษระดับสูงนั้นก็สูงตามไปด้วย พอๆกับรายได้ถึงสามเดือนของร้านหลินหยวนเลยทีเดียว
แม้หลินหยวนพูดอย่างนั้นออกไป แต่ความเป็นห่วงกังวลของจีเนียสและฉีมี่ไม่ได้ลดลงเลย ดูราวกับว่าพวกมันกลัวที่จะสูญเสียสมบัติล้ำค่าที่สุดไป
สำหรับจีเนียสและฉีมี่ พวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงดูแลบ้านสองตัวที่ถูกทอดทิ้งและไม่เป็นที่ต้องการ แล้วหลินหยวบก็คือโลกทั้งใบของพวกมัน
เมื่อถึงเวลา 7.00 น. เสียงฝีเท้าที่โผงผางและดูเต็มไปด้วยอารมณ์ก็ดังขึ้นที่ประตูทางเข้าอย่างตรงเวลาเป๊ะ
“หยวนน้อย ฉันบอกเธอหลายครั้งแล้วว่าอย่าเปิดร้านเร็วเกินไป เธอต้องเปิดหลัง 8.00น.โน่นแหละ เธอจะได้พักผ่อนได้มากๆไง”
ที่พูดอยู่นั้นคือหญิงวัยกลางคนที่วางกล่องข้าวไม้ไว้บนเคาน์เตอร์ต้อนรับของหลินหยวน จากนั้นเธอก็มองไปที่หลินหยวนด้วยความอ่อนโยนก่อนที่จะพูดว่า "เหมือนเดิม ขอเห็ดเถาวัลย์ให้ฉันสิบอันนะ”
เมื่อหลินหยวนได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง ใบหน้าของเขาก็มีรอยยิ้มที่อบอุ่นขึ้นทันที ใบหน้าของหลินหยวนช่างดูเป็นมิตรอย่างมากเมื่อเขายิ้มแบบนี้ ราวกับสายลมในฤดูร้อน
“ป้าจางครับ ผมบอกป้าหลายครั้งแล้วว่าไม่ต้องเอาอาหารเช้ามาให้ผมเวลาป้ามาซื้อของ!” หลินหยวนพูดพลางเดินได้ไปเก็บเห็ดเถาวัลย์อย่างรวดเร็วและคล่องแคล่ว
หนึ่งกระถาง จะปลูกเห็ดเถาวัลย์ได้ประมาณ 13 ถึง 14 เถา ซึ่งมันจะงอกยาวขึ้นประมาณ 1.5 เมตรต่อวัน
หลินหยวนตัดเห็ดเถาวัลย์สิบอันซึ่งมีความยาว1.5เมตรเท่ากันหมด จากนั้นเขาก็ใช้ผ้าห่อแล้วมัดเห็ดเถาวัลย์ทั้งสิบอันให้แน่น
หลินหยวนได้ห่อเห็ดเถาวัลย์ที่งามและสดใหม่ให้อย่างดี
ในขณะที่ป้าจางกำลังเฝ้ามองหลินหยวนก้มลงและเก็บเห็ดเถาวัลย์อย่างชำนาญดวงตาของเธอก็เปล่งประกายด้วยความเอ็นดูเด็กหนุ่มพลางรู้สึกใจสลาย
ในฐานะเพื่อนบ้านเก่าป้าจางเฝ้าดูหลินหยวนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องอยู่คนเดียวตั้งแต่อายุ 12 ปี ดูแลร้านนี้เพื่อหาเลี้ยงตัวเองและน้องสาวของเขา เขาแทบจะไม่สามารถช่วยเหลือน้องสาวของเขาให้ได้เรียนดีๆได้ และป้าจางจำไม่ได้ว่านี่ผ่านมาหกหรือเจ็ดปีแล้ว
เมื่อหลินหยวนนำเห็ดเถาวัลย์ไปที่เคาน์เตอร์คิดเงิน เขาก็บังเอิญเห็นป้าจางมองมาที่เขา
“นี่ป้าจาง ถ้าผมเปิดร้านตอน 8 โมงเช้า ป้าก็จะไม่ได้ซื้อเห็ดเถาวัลย์สดๆแบบนี้ จริงไหมครับ” เขาถาม
ป้าจางรีบถอนสายตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ของเธอและหัวเราะขณะที่พูดว่า "ก็จริงนะ ว่าแต่ทำไมเธอไม่ทำอย่างร้านค้าร้านอื่นบ้างล่ะ นี่มันก็แค่เห็ดเถาวัลย์ แต่เธอก็ยังใส่แร่ธาตุบำรุงเพิ่มเข้าไปให้พวกมัน แล้วนี่เธอจะได้กำไรสักเท่าไรกัน?”
หลินหยวนยิ้มและส่ายหัวโดยไม่พูดอะไรในขณะที่เขาฟังคำแนะนำของป้าจาง ในเวลานั้นเองหลินหยวนกำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อพยุงร่างกายของเขาไว้เนื่องจากอาการวิงเวียนศีรษะที่รุนแรงมาก ทำให้เขารู้สึกว่าเขาอาจจะทรุดลงได้ทุกเมื่อ
ป้าจางเข้าใจว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีอุดมการณ์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดร้านในเวลา 7.00 น.ในทุกๆวัน หรือการที่เขายืนกรานดื้อดึงที่จะใส่แร่ธาตุลงในดินของต้นเห็ดเถาวัลย์
ในขณะที่รู้สึกเวทนา ป้าจางยังคงรู้สึกชื่นชมเด็กคนนี้ที่เธอเฝ้าดูเขาเติบโตขึ้น รู้สึกเหมือนกับว่ารุ่นพี่เฝ้าดูรุ่นน้องเติบโตเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ
ป้าจางทิ้งเงิน 75 เหรียญดอลลาร์สหพันธรัฐไว้ ก่อนจะหันหลังและเดินกลับไป เธอกล่าวก่อนจากไปว่า“หยวนน้อย ลุงหลี่ของเธออบขนมปังงาและเตรียมนมถั่วเขียวไว้ให้เธอเป็นพิเศษเลย ถ้าไม่อยากให้ลุงหลี่เสียใจก็รีบมากินนะ”
เมื่อหลินหยวนเห็นเงินที่เกินมา 25 เหรียญ เขาก็หยิบเงินและกำลังจะร้องเรียกป้าจาง ทันใดนั้นอาการวิงเวียนศีรษะของเขาก็รุนแรงขึ้น ดวงตาของเขาพร่ามัวก่อนที่เขาจะเป็นลมไป
ป้าจางที่กำลังเดินจากไปด้วยความรู้สึกพึงพอใจมาก เพราะในทุกครั้งเมื่อเธอต้องการจะให้เงินหลินหยวนเพิ่มเขาก็จะไม่ยอมรับมัน คราวนี้คงเพราะเธอเดินออกไปเร็วมากหยวนน้อยก็น่าจะยอมรับเงินได้สักทีสินะ
อย่างไรก็ตามในขณะที่ป้าจางอยู่ที่หน้าทางเข้าร้าน เธอก็ได้ยินเสียงดังราวกับว่ามีบางอย่างตกลงมาที่พื้น เจ้านกดนตรีกับสัตว์ร้อยคำถามก็ส่งเสียงร้องอย่างตกใจตามมา
ป้าจางรีบหันกลับมาดูและเห็นว่าหลินหยวนทรุดลงกับพื้นพร้อมกับเงิน 25 เหรียญในมือของเขา ดวงตาของเขาค่อยๆปิดลง ใบหน้าของเขาดูแน่นิ่งราวกับว่าเขากำลังนอนหลับอยู่
ป้าจางรีบเข้าไปด้วยความกังวลเพื่อช่วยหลินหยวน
ในช่วงเวลาก่อนที่หลินหยวนจะหลับตาและเป็นลมไป หูของเขาก็ได้ยินเสียงร้องของ จีเนียส ฉีมี่ และป้าจาง หลังจากนั้นเขาก็หมดสติไป
ในสภาพที่มืดครึ้มนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนหนองน้ำโคลนที่ขังเท้าของคนทำให้เคลื่อนไหวได้ยาก มันหนืดและทำให้ถึงตายได้เลย
หลังจากเป็นลมหลินหยวนก็ค่อยๆตื่นขึ้นในสภาพแวดล้อมที่แปลกและไม่คุ้นเคย พร้อมกับเห็นใบหน้าน้องสาวของเขา เจ้าจีเนียส และเจ้าฉีมี่
ทั้งสามเป็นเหมือนครอบครัวของเขาและก็เป็นผู้ที่เป็นห่วงเขามากที่สุด ถ้าหลินหยวนตายขึ้นมาเขาก็ไม่รู้ว่าน้องสาวของเขาจะทำใจได้ไหม และคงไม่มีใครดูแลเจ้าจีเนียส และฉีมี่เป็นแน่
โชคยังดีที่ตอนนี้เขามีเงินเก็บพอที่จะจ่ายค่าเล่าเรียนของน้องสาวของเขาในปีหน้าได้แล้ว
ในจิตใต้สำนึกของหลินหยวนเขาเริ่มเดินไปรอบๆในสถานที่ที่สับสนวุ่นวาย เขาไม่รู้เลยว่าเขาเดินมานานแค่ไหนแล้ว ทันใดนั้นเองในตอนท้ายสุดของสถานที่ที่วุ่นวายนี้ หลินหยวนก็เห็นอะไรบางอย่างที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างมาก
มันก็คือสร้อยข้อมือสีทองแดงเรียบๆและไม่มีการตกแต่งใดๆ
สร้อยข้อมือนี้เป็นความลับของหลินหยวนมาตลอด ความจริงแล้วชีวิตนี้เป็นชีวิตที่สองของเขา
ชีวิตก่อนหน้านี้เขามีความกระตือรือร้นสูงและเคยอยู่ในช่วงเวลาที่ดีที่สุด แต่น่าเสียดายที่เขาเสียชีวิตตั้งแต่ 30 ปี และเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาเขาก็เป็นทารกที่เพิ่งเกิดใหม่ในหนึ่งร้อยปีหลังจากที่พลังปราณวิญญาณตื่นขึ้น และสร้อยข้อมือนี้ก็ติดตัวเขามาตั้งแต่เกิด
ตั้งแต่นั้นมาเขาก็สวมสร้อยข้อมือนี้มาตลอด จนเมื่อเขาอายุได้แปดขวบมันได้เปื้อนเลือดของเขาเองโดยไม่ได้ตั้งใจ และมันก็หายไปอย่างลึกลับ
เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะได้พบมันในส่วนลึกสุดของสถานที่แห่งนี้ สร้อยข้อมือทองแดงอันนี้กำลังส่งแสงกระพริบจางๆ มันทำให้ส่วนลึกในจิตสำนึกของเขาเปี่ยมไปด้วยพลังที่มีความแวววาวเหมือนหยกชั้นดี
สร้อยข้อมือนี้เองก็เหมือนกับประตูที่รอดึงสติหลินหยวนให้ก้าวผ่านมันไป