Chapter 5: สาวน้อยขอทาน
เท้าขวาของ เสี่ยวหลัว กระหน่ำเตะใส่จุดศูนย์กลางของหน้าอกของ ฮัว ไห่เฟิง อย่างรุนแรง
“อ๊ากก~”
เสียงกรีดร้องดังโหยหวนโหยหวนและร่างกายที่มีน้ำหนักกว่า 130 กิโลกรัม ของ ฮัว ไห่เฟิง ราวกับถูกหัวรถจักรบินพุ่งเข้าชนร่างของเขาลอยกระเด็นออกไปสี่ถึงห้าเมตร
เลือดไหลออกมาจากมุมปากของ ฮัว ไห่เฟิง อวัยวะทั้งห้าและอวัยวะทั้งสี่ของเขาราวกับถูกเข็มทิ่มแทง ฮัว ไห่เฟิง นอนแผ่หลาอยู่ที่พื้นและร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด
ฝ่าเท้าของ เสี่ยวหลัว ราวกับการโจมตีของมังกรเหมือนดั่งลมบ้าหมูที่พัดผ่านด้วยลมหายใจเดียว มันมั่นคงและว่องไว!
จ้าว เหมิ่งชี ยืนนิ่งอยู่กับที่อยู่ตรงจุดนั้นโดยที่ดวงตาของเธอเบิกกว้าง ตอนนี้ร่างกายของ เสี่ยวหลัว ราวกับมีบรรยากาศรอบตัวที่กดขี่ เธอยังไม่อยากจะเชื่อด้วยว่าการเตะของ เสี่ยวหลิว จะทำให้คนตัวโตขึ้นบินไปได้ไกลถึงสี่ถึงห้าเมตร
“ติ้ง ขอแสดงความยินดีกับชัยชนะ ได้รับ 50 แต้ม!” เสียงระบบดังขึ้น
“ห้าสิบ? มันจะเป็นแค่ห้าสิบแต้มได้อย่างไร?”
เสี่ยวหลัว มองไปรอบๆ และพบว่ามีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกสี่คนที่ประตูที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ด้วย ในไม่ช้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสี่คนก็วิ่งเข้ามา
“คุณฮัว!”
ชายทั้งสี่คนกับ จ้าว เหมิ่งชี รีบวิ่งเข้าไปช่วย ฮัว ไห่เฟิง
ฮัว ไห่เฟิง รู้สึกโมโหมาก เขาชี้ไปที่ เสี่ยวหลัว แล้วคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว:“ทุบตีมันให้ตาย ฉันไม่ต้องการที่จะให้มันสามารถเดินออกจาก ฮัว ไห่กรุ๊ป ได้ครบ32 !”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสี่คนไม่กล้าที่จะไม่เชื่อฟังคำสั่งนอกจากนี้ นี่ยังเป็นโอกาสที่ดีที่พวกเขาจะได้รับรางวัล แม้ว่าพวกเขาจะเห็น เสี่ยวหลัว เตะ ฮัวเฟิง จนตัวกระเด็นปลิวก็เถอะ แต่พวกเขาก็ยังคงดึงกระบองที่ห้อยอยู่ที่เอวออกมา พวกเขาพุ่งเข้าไปหา เสี่ยวหลัว อย่างดุเดือด
เสี่ยวหลัว เขาจะกลัวคนทั้งสี่คนนี้ได้อย่างไร? การเตะแต่ละทีของ เสี่ยวหลัว นั้นแม่นยำมากเขาเตะลงตรงกลางหน้าอกของเป้าหมายทุกครั้ง ตอนนี้ เสี่ยวหลัว เขาได้ยินเพียงแต่เสียงกรีดร้องของคนทั้งสี่เท่านั้น กระบองตกลงบนพื้นเมื่อร่างของพวกเขาถูกเตะปลัวไป
ฮัว ไห่เฟิง ที่ยืนอยู่ที่ด้านข้างของ เสี่ยวหลัว ตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ราวกับว่าเขาเห็นผีในตอนกลางวันแสกๆ เมื่อสายตาของ เสี่ยวหลัว มองมาที่เขา ตัวของเขาก็ยิ่งสั่นกลัวมากยิ่งขึ้น เหงื่อเย็นแตกในร่างกายของเขาทันที เขาไม่อยากจะเชื่อว่า เสี่ยวหลิว จะมีทักษะที่ผิดปกติและยอดเยี่ยมขนาดนี้
จ้าว เหมิ่งชี ไม่ได้ดีไปกว่าเขามากนัก เธอรู้สึกแปลกๆ ขณะที่มองไปที่ เสี่ยวหลัว ราวกับว่า เขาในตอนนี้ไม่ใช่ เสี่ยวหลัว ที่เธอเคยรู้จักราวกับว่าเขาเป็นคนแปลกหน้ากับเธอไปแล้ว
เมื่อ เสี่ยวหลัว ก้าวเดินไปยัง ฮัว ไห่เฟิง เธอก็มายืนอยู่ที่ด้านหน้าของ ฮัว ไห่เฟิง โดยไม่รู้ตัวและจ้องไปที่เสี่ยวหลัว อย่างหงุดหงิด:“เสี่ยวหลัว คุณทำอะไร…คุณต้องการจะทำอะไร”
เสี่ยวหลัว ไม่สนใจเธอ เขายิ้มให้กับ ฮัว ไห่เฟิง ผู้ซึ่งกำลังรู้สึกหวาดกลัวเขาอย่างมากและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“ฮัว ไห่เฟิง คุณเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก! ทีหลังอย่าดึงปกคอเสื้อของคนอื่น มันไม่สุภาพเป็นอย่างมาก ฉันเตือนคุณแล้ว แต่คุณก็ไม่ปล่อย คุณไม่ควรจะมีความมั่นใจมากขนาดนั้น ถ้าคุณยังไม่เคยโดนลูกเตะจากฉัน” จากนั้นเขาก็จ้องมองไปที่ จ้าว เหมิ่งชี“ฉันสงสัยว่าเธอคงอยากจะเป็นเจ้าหญิง แต่เธอจะยึดสถานะนี้ได้นานเท่าไหร่กัน? สามเดือนหรือหกเดือน”
ร่างกายของ จ้าว เหมิ่งชี สั่นเทา ด้วยคำพูดของ เสี่ยวหลัว มันทำให้เธอรู้สึกกังวล
ใช่แม้ว่าตอนนี้เธอจะเป็นแฟนของ ฮัว ไฟ่เฟิง แต่เธอก็ไม่รู้สึกปลอดภัย เธอมักจะรู้สึกว่าเธอจะถูก ฮัว ไห่เฟิง ทอดทิ้งได้ตลอดเวลา นี่เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เธอมาหา เสี่ยวหลัว ในวันนี้ ลึกลงไปเธอยังหวังว่าจะมี เสี่ยวหลัว เป็นตัวสำรองเพื่อทำให้เธอรู้สึกมั่นคง
“แน่นอนนี่เป็นเพียงแค่คำแนะนำ คุณเลือกที่จะปล่อยผ่านมันไปก็ได้”
เมื่อพูดประโยคของเขาเสร็จ เสี่ยวหลัว ก็หันหลังจากไป
จ้าว เหมิ่งชี ตอนนี้ราวกับว่าจะสูญเสียจิตวิญญาณของเธอไปและล้มลงไปแต่ที่จริงแล้วเธอกลับยืนอยู่กับที่เฉยๆ เธอคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วที่เลิกกับเสี่ยวหลัว แต่เมื่อชายคนนั้นหันหลังและจากไปจริงๆ เธอก็รู้สึกถึงการสูญเสียและมันก็มีความรู้สึกเศร้าและความเหงาก่อตัวขึ้นในหัวใจของเธออย่างไม่รู้จบ
เป็นเวลากว่าสี่ปีที่ใช้ชีวิตที่น่าเบื่อหน่ายกับผู้ชายคนนั้น มีภาพความทรงจำที่ปรากฏขึ้นมาในใจของเธอในตลอดช่วงเวลาในขณะนั้นโดยฉากความทรงจำที่ปรากฏขึ้นมามันเป็นเรื่องธรรมดาในหมู่คนธรรมดา แต่มันก็เป็นเหมือนกับคำทรงจำที่ล้ำค่า
เธอยังคงจำข้าวผัดที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของ เสี่ยวหลัว ที่ทำให้เธอทานเมื่อตอนที่เธอล้มป่วยได้มันเต็มไปด้วยความอบอุ่น เธอยอมรับว่าความรักเป็นเวลากว่าสี่ปีของเธอกับเสี่ยวหลัว นั้นเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดตั้งแต่ที่เธอเกิดมา แค่เมื่อนึกถึงมันเธอก็รู้สึกเจ็บแปร๊บๆที่หน้าอก
ในตอนนี้เมื่อมองไปที่ด้านหลังของเสี่ยวหลัว สายตาของเธอก็พร่ามัวด้วยน้ำตาและอารมณ์ของเธอก็ซับซ้อนจนเธอไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ มันเหมือนกับว่าเธอกำลังสูญเสียสิ่งที่สำคัญอย่างมากสำหรับเธอไป!
********
เสี่ยวหลัว เดินไปตามถนนที่มีผู้จอแจและรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำไมเขาถึงมีอารมณ์เช่นนี้ได้เขาก็ไม่สามารถบอกได้เหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะว่าเขาเห็นใบหน้าที่แท้จริงของ จ้าว เหมิ่งชี หรือในที่สุดเขาก็หลุดพ้นออกจากพันธนาการของ ฮัวไห่กรุ๊ป กันแน่
ในไม่ช้าเขาก็เดินมาถึงที่ประตูของห้างสรรพสินค้าและดวงตาของเขาก็เหลือบมองไปที่มุมหนึ่งของจัตุรัส
ที่นั่นมีเด็กผู้หญิงตัวเล็กอายุราวเจ็ดหรือแปดปี กำลังร้องขอเงินจากนักท่องเที่ยวอยู่
เด็กผู้หญิงตัวเล็กมีผมยาวสีดำที่ยุ่งเหยิงและเสื้อผ้าของเธอก็สกปรกมาก ขาของเธองอไม่ได้ น่าจะเป็นที่กล้ามเนื้อในขาของเธอเกิดความเสื่อมถอยอย่างรุนแรง เธอเดินไม่ได้และเธอทำได้เพียงแค่เพิ่งมือคู่เล็กๆ ทั้งสองข้างของเธอเท่านั้น เด็กน้อยที่น่าสงสารทำได้เพียงผลักชามใบเล็กๆ ไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
กางเกงขายาวของเธอถูกลากไปรอบๆ บนพื้นมันปกคลุมไปด้วยฝุ่นและดูเหมือนเศษผ้าขี้ริ้วที่สกปรก ครู่ต่อมาเด็กสาวขอทานตัวน้อยก็ยกชามเล็กๆ โทรมโบกมือโบกมืออย่างเบาๆ และมันก็มีเสียงของเหรียญดังขึ้นจากการกระทบขอบชามดังขึ้น
เสี่ยวหลัว ก้มศีรษะลงแล้วมองลงไปที่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก แม้ว่าเด็กหญิงตัวเล็ก จะสกปรกไปทั่วทั้งตัวและมีกลิ่นฉุนอยู่บนร่างกายของเธอ แต่ดวงตาของเธอก็สดใสราวกับดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
“พี่ใหญ่ที่ใจดี หนูขอสักสองสามหยวนได้ไหม!” เด็กผู้หญิงตัวเล็ก พูดออกมาอย่างน่าสงสาร
เสี่ยวหลัว เมื่อได้เห็นสภาพของเธอจากนั้นเขาวางกล่องที่เขาถืออยู่ และก็หยิบกระเป๋าตังออกมาแล้วใส่แบงค์ยี่สิบลงในชาม
“ขอบคุณพี่ใหญ่ ขอให้พระเจ้าประทานพรให้แก่คุณ!” เด็กผู้หญิงตัวเล็ก เงยหน้าขึ้นมาขอบคุณ และเก็บมือที่ยื่นออกมาของเธอกลับ
คนเจียงนั้นเชื่อในพระพุทธศาสนาและไม่มีอะไรผิดปกติกับคำขอบคุณของสาวน้อย
เสี่ยวหลัว คิดว่าเธอฉลาดและมีไหวพริบมากทีเดียว เขาจึงหยิบธนบัตรสองร้อยหยวนออกมาแล้วยัดมันเข้าไปในกระเป๋าของเด็กผู้หญิงตัวเล็ก “กลับบ้านเร็วๆ แล้วให้ครอบครัวซื้ออาหารอร่อยๆ ให้กินน่ะ”
เขารู้สึกว่าจริงๆ แล้วเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้น่าสงสารมากในขณะที่เป็นเพียงแค่เด็ก แต่เธอกลับได้รับความทุกข์ทรมานเช่นนี้แล้ว
"บ้าน?"
ร่างเล็กๆ ของเด็กผู้หญิงตัวน้อยสั่นเล็กน้อยและดวงตาที่สดใสของเธอก็ตกลงไปในความเศร้าในเวลาอันสั้น เธอพึมพำกับตัวเองก่อนจะบอกเขาว่า“หนูไม่มีบ้าน”
เมื่ออายุยังน้อยเธอก็มีความโศกเศร้าแล้วและด้วยความเงียบงันมันทำให้ดวงตาของเธอแดงก่ำ ประสบการณ์ในชีวิตของเธอแม้แต่คนที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นก็อาจจะเทียบเท่ากับเธอไม่ได้
เสี่ยวหลัว งุนงง:“ทุกคนก็มีครอบครัวและผู้ปกครอง ทำไมหนูถึงไม่มีครอบครัวหละ?”
เด็กหญิงตัวเล็กส่ายหัวจากนั้นเธอก็ยิ้มและเปลี่ยนหัวข้อ:“พี่ชายเป็นคนดีมาก ขอบคุณนะคะ”
เมื่อจบคำพูด เธอก็เริ่มขยับร่างที่เล็กกระทัดรัดและพยายามเคลื่อนไหวออกไปด้วยความยากลำบาก
เสี่ยวหลัว คิดว่าเด็กหญิงตัวเล็กคนนี้แปลกมากเขารู้สึกเหมือนกับว่ามันจะต้องมีเรื่องราวอะไรบางอย่างอยู่เบื้องหลังแน่ๆ หลังจากคิดใคร่ครวญเขาจึงตัดสินใจติดตามเธอไปอย่างเงียบๆ ...
ในที่สุดเด็กหญิงตัวเล็ก ก็เข้ามาในตรอกซอยมืดที่มีผู้ชายที่มีใบหน้าเย็นชากำลังรออยู่
เมื่อเขาเห็นเธอกลับมาชายคนนั้นก็เอามีดพับเก็บไว้ในกระเป๋าของเขาจากนั้นเขาก็เดินเข้าไปหาเด็กหญิงตัวเล็ก แล้วมองลงไปในชามที่ทรุดโทรมของเด็กหญิงขอทาน เขารู้สึกโกรธขึ้นมาในทันทีและเตะเด็กหญิงตัวเล็กกระเด็นลอยออกไป “ไอแม่เย**ด แกทำงานยังไงให้ได้เงินเพียงเท่านี้? วันนี้แกไม่อยากกินข้าวใช่ไหม?”
“ถ้าแก ไม่รู้จักวิธีขอเงินจากนักท่องเที่ยวเหล่านั้น ฉันจะสอนบทเรียนให้กับแกเองในวันนี้!”
ชายที่กำลังโกรธมีใบหน้าดุร้าย เขายกแขนเสื้อของเขาขึ้นและเดินเข้าไปคว้า ร่างของเด็กหญิงตัวเล็กแล้วยกเธอขึ้นกลางอากาศ
“มันเจ็บ…เจ็บ…”
เท้าของเด็กหญิงตัวเล็ก ที่ถูกยกขึ้นจากพื้นอย่างกระทันหันมันทำให้เกิดความเจ็บปวดอย่างรุนแรงและมันทำให้เธอร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด
" ร้องไห้งั้นเหรอ! อะไรคือการร้องไห้ถ้าแกร้องไห้อีกครั้งให้ฉันสอนบทเรียนให้กับแกเอง!”
ชายผู้นั้นตบเด็กหญิงตัวเล็กอย่างแรงเสียงดัง“เปี้ย” ก่อนที่เขาจะส่งลูกตบลงไปบนหน้าของเด็กหญิงตัวเล็กอีกครั้ง
เด็กหญิงตัวเล็ก ทำได้เพียงทนความเจ็บปวดของเธอและขบฟันของเธอแน่นเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมาเสียงดัง แต่น้ำตาของเธอก็ยังคงไหลรินและใบหน้าของเธอก็บวมขึ้นมาอย่างรวดเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า