บทที่ 112 ใครหยิ่งยโสกว่ากัน?
บทที่ 112 ใครหยิ่งยโสกว่ากัน?
“ขอบคุณนะ ฮั่นจง!” จี้เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มและตบไหล่ฮั่นจงเบาๆ
ไม่ว่าเหตุผลที่ฮั่นจงให้ครอบครัวของเขายื่นมือเข้าช่วยเหลือในครั้งนี้จะเป็นเพราะเขาต้องการช่วยเหลือจริงๆหรือห่วงหน้าตาทางสังคมที่เขาดันไปมีส่วนเกี่ยวข้องมันก็ไม่สำคัญเพราะอย่างน้อยเขาก็ยังมีแก่ใจพูดถึงและเป็นห่วงคนอื่นๆ ในความคิดของจี้เฟิงตอนนี้เขาเริ่มที่จะมองฮั่นจงเป็นเพื่อนขึ้นมาจริงๆ
ฮั่นจงโบกมือและยิ้มอย่างขมขื่น “จี้เฟิง ฉันเองก็ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นในวันแรกที่พวกเราได้รู้จักกัน” ฮั่นจงหันหน้าที่เศร้าหมองไปทางตู้เส้าเฟิง “แล้วเรื่องที่พี่ตู้ต่อยเจ้าอู๋เฉียนอีก พี่ตู้นายใจร้อนเกินไป ฉันไม่กล้าบอกพ่อเรื่องนี้ เพราะถ้าพ่อรู้เข้าว่าเราเป็นฝ่ายลงมือทำร้ายอู๋เฉียนก่อน... ฉันไม่อยากนึกเลยจริงๆ เพราะสุดท้ายแล้วอะไรจะเกิดขึ้นฉันก็คงจะบอกไม่ได้เหมือนกัน!”
“ไม่ว่าผลสุดท้ายมันจะออกมาเป็นแบบไหน ฉันก็ต้องขอบคุณนายด้วยเหมือนกัน ฮั่นจง!” จางเล่ยที่อยู่ข้างๆพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ “ฉันก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่า จี้ช่าวหยินจะบ้าอำนาจขนาดนี้ในเจียงโจว!”
“มันมากกว่าความบ้าอำนาจ เขาเป็นคนที่หยิ่งผยองและไม่เกรงกลัวกฎหมาย!” ฮั่นจงส่ายหัวด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น
สายตาของจ้าวไค ตู้เส้าเฟิงและคนอื่นๆ มองไปยังจี้เฟิงที่ขมวดคิ้วพูดขึ้นว่า “แล้วเรื่องที่จี้ช่าวหยินทำตัวแบบนี้ ไม่มีใครสนใจที่จะมาจัดการสั่งสอนเขาบ้างเลยหรือ? คนในตระกูลอย่างพ่อหรือญาติพี่น้องคนอื่นๆของเขาล่ะ ไม่สนใจเลยเหรอว่าเขาจะทำตัวยังไง!?”
ฮั่นจงเหลือบมองไปที่ตำรวจหลายคนที่อยู่ในรถ และเมื่อเห็นว่าพวกเขาทั้งหมดดูมึนเมาเล็กน้อยและไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่พวกเขาพูดคุยกัน เขาจึงพูดด้วยเสียงกระซิบ “ฉันขอบอกตามตรงว่าเอาจริงๆ ฉันก็รู้เรื่องเกี่ยวกับตระกูลจี้ไม่มากเท่าไหร่ ถ้าไม่ใช่เพราะเลขาจี้ที่มาดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการพรรคในเจียงโจว ฉันก็คงจะไม่รู้จักตระกูลจี้ด้วยซ้ำ!”
หลังจากหยุดไปสักพัก ฮั่นจงก็กล่าวต่อว่า “ฉันไม่มีความรู้ที่ลึกซึ้งมากนักเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าตระกูลจี้มีอำนาจมากแค่ไหน แต่มีอีกคนหนึ่งที่ฉันมั่นใจว่าเขาเป็นคนที่พวกนายทุกคนต้องรู้จักหรืออย่างน้อยก็ต้องเคยได้ยินชื่อ...” ฮั่นจงเอ่ยชื่อของชายคนนั้นขึ้นมาเบาๆ จากนั้นทุกคนในรถก็ประหลาดใจ คนที่เขาพูดถึงคือคนที่มักจะปรากฏตัวในข่าวเป็นประจำ ผู้ชายคนที่ว่านี้ก็คือปู่ของจี้เฟิง
“แล้วลองนึกดูสิว่าบุคคลที่ยิ่งใหญ่คนนั้นเขาจะมีอำนาจมากมายขนาดไหน?” ฮั่นจงกล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความขมขื่น “เท่าที่ฉันรู้ ตระกูลจี้มีลูกชายทั้งหมดสามคน จี้ช่าวหยินคนนี้เป็นลูกชายคนที่สามของจี้เจิ้นกั๋วซึ่งเป็นลูกชายคนที่สองของตระกูลจี้ ในขณะนี้เขาดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการพรรคของเจียงโจวและมีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะได้เข้าสู่ตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลกลางของจีนในอนาคต แล้วแบบนี้จะมีใครในเจียงโจวกล้าไปแตะต้องเขาอีก?”
คนอื่นๆ ต่างนั่งเงียบ พลังอำนาจใหญ่โตขนาดนี้ไม่มีใครกล้าตอแยแน่นอน
“อันที่จริงมันมีอะไรมากกว่านั้น” ฮั่นจงส่ายหัวและถอนหายใจ “บางทีมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตระกูลจี้สองรุ่นแรกจะเป็นบุคคลที่มีอำนาจรุ่งเรืองขนาดนี้ เพราะแต่ละคนต่างคานอำนาจต่างๆทั่วประเทศ แต่ฉันก็ไม่ได้รู้รายละเอียดลูกคนอื่นๆของบุคคลคนนั้นมากนัก แต่พอมาถึงจี้ช่าวหยินที่เป็นรุ่นที่สามของตระกูลจี้ อะไรหลายๆอย่างก็ดูจะเละเทะขึ้นเล็กน้อยโดยเฉพาะจี้ช่าวหยินเขาและพวกบ้าอำนาจอีกหลายคน พวกเขาเป็นที่รู้จักกันในชื่อ 4 ปีศาจที่ยิ่งใหญ่แห่งเจียงโจว ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาทำเรื่องเลวร้ายมากี่ครั้งแล้ว แต่ที่ฉันรู้คือยังไม่มีใครกล้าไปยุ่งกับพวกเขา จนกระทั่งวันนี้.. ที่มีคนไม่กลัวตายไปยั่วโมโหคนแบบนี้เข้าจริงๆ เอาเป็นว่าฉันเองก็ทำใจไว้ในระดับนึงแล้ว เพราะมันไม่ใช่เรื่องยากถ้าเขาอยากจะจัดการกับพวกเราให้หายไปอย่างเงียบๆ!”
“ปีนี้ จี้ช่าวหยินอายุเท่าไหร่?” จี้เฟิงถามขึ้น
“น่าจะประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี เขาเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้นแต่น่าจะจบการศึกษาปีนี้แหละ” ฮั่นจงกล่าว “ฉันก็เคยได้ยินเรื่องของเขามาบ้างเล็กน้อย แม้เขาจะอายุน้อยกว่า แต่เขานั้นอยู่คนละระดับกับฉันเลย เขาไม่ใช่อะไรที่คนอย่างฉันจะสามารถติดต่อคุยด้วยได้ง่ายๆ!”
“เขาก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่งไม่ใช่เหรอ? เขาจะอยู่ระดับไหนกันเชียว!” จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและยิ้ม
ฮั่นจงสะดุ้งทันทีและรีบพูดว่า “จี้เฟิงนายอย่าได้พูดแบบนี้ให้ใครได้ยินเชียวนะ ถ้ามันไปถึงหูของจี้ช่าวหยิน ฉันเกรงว่าต่อให้นายมีสิบชีวิตก็คงจะไม่พอ แม้นายจะมีสกุลจี้และอาจเป็นไปได้ว่านายกับจี้ช่าวหยินคงจะมีต้นตระกูลร่วมกันเมื่อห้าร้อยปีก่อน และเมื่อถึงตอนนั้นนายก็อธิษฐานรอได้เลยว่าขอให้เขาเอะใจในสกุลของนายและจำได้ว่านายอาจจะเป็นหนึ่งในครอบครัวของเขา ไม่เช่นนั้นนายจะต้องเจอกับปัญหาใหญ่อย่างแน่นอน!”
จี้เฟิงโบกมือและยิ้มเล็กน้อย “ฉันไม่ใช่คนในครอบครัวของเขา!”
“ถ้าอย่างนั้นนายก็ต้องหัดเรียนรู้ไว้ว่ามีบุคคลไหนบ้างที่นายไม่ควรจะไปยุ่งโดยเด็ดขาด!” ฮั่นจงแนะนำจี้เฟิง “นายมาจากที่อื่น นายไม่มีรากฐานหรือคนรู้จักเป็นคนที่นี่ หากมีอะไรเกิดขึ้นก็คงจะเป็นเรื่องยากที่จะหามีใครมาช่วยเหลือนายได้ ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นนายก็อย่าไปยั่วโมโหคนเหล่านี้เป็นอันขาด ถ้าจะให้ดีนายควรระวังตัวและอยู่ให้ห่างพวกเขาไว้จะดีที่สุด!”
เมื่อจี้เฟิงรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่ห่วงใยอย่างจริงใจของฮั่นจง จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มและตบไหล่เขาเบาๆ “ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่ยุ่งแน่นอน!”
“กระซิบกระซาบอะไรกัน หุบปากแล้วนั่งเงียบๆไป!” เมื่อตำรวจที่นั่งข้างหน้าตะคอกให้พวกเขาหุบปากหลังจากที่ได้ยินพวกเขากระซิบกระซาบกัน พวกเขาจึงหยุดชะงักทันที
จี้เฟิงและจางเล่ยมองหน้ากันและอดไม่ได้ที่จะยิ้ม และพวกเขาก็หยุดพูด
“♫ สายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิพัดมาพร้อมเสียงกลอง..? .. ฉันคือศัตรูที่น่ากลัว.. ♪”
หลังจากที่พวกเขาเงียบได้ไม่นาน เสียงโทรศัพท์มือถือของจางเล่ยก็ดังขึ้น แต่เสียงเรียกเข้าของเขาทำให้ทุกคนถึงกับหัวเราะ จางเล่ยยิ้มและกดรับโทรศัพท์ภายใต้สายตาของตำรวจที่จ้องมองมาที่เขา
“ครับลุง ตอนนี้พวกเราอยู่ในรถตำรวจแล้ว กำลังไปที่สถานีตำรวจใกล้กับตัวเมือง คนที่เป็นหัวหน้าเหรอ? เขาสกุลหวัง... ตกลง พวกเราจะรออยู่ที่สถานีตำรวจ” หลังจากจางเล่ยพูดจบเขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มและพูดขึ้นอีกครั้ง “ลุงไม่ต้องรีบมาก็ได้นะ เพราะตอนนี้เล่ยเล่ยกับจี้เฟิงก็อยู่กับผมด้วย!”
“ห๊ะ! อะไรนะ?” มีเสียงคนตะโกนด้วยความตกใจดังมากจากโทรศัพท์ของจางเล่ย จากนั้นเขาก็พูดว่า “ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ!”
หลังจากวางสายจางเล่ยมองไปที่ฮั่นจง จ้าวไคและตู้เส้าเฟิงที่กำลังทำหน้างงๆ เขายิ้มให้ทั้งสามคนแล้วพูดว่า “ลุงรองของฉันเอง เขากำลังรีบมารับพวกเราน่ะ!”
เจ้าหน้าที่ตำรวจสองคนที่ได้ยินก็พูดคุยกันด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “เด็กพวกนี้ไม่รู้จะเรียกว่าบ้าหรือโง่ดี ถึงได้ไปมีเรื่องกับคนอย่างอู๋เฉียน คิดหรือว่าจะได้ออกจากสถานีตำรวจอย่างปลอดภัย? ตลกสิ้นดี! เด็กโง่พวกนี้คงไม่รู้ใช่มั้ยว่า ผู้กองหวังและอู๋เฉียนต่างเปรียบเสมือนพี่น้องของจี้ช่าวหยิน!”
……….
ในเวลาเดียวกัน ในรถตำรวจอีกคันที่ขับตามมาอยู่ด้านหลัง อู๋เฉียนกำลังคุยกับผู้กองหวัง
จมูกของอู๋เฉียนได้รับการรักษาเบื้องต้นจากคลินิก ใกล้ๆเรียบร้อยแล้ว นอกจากนั้นก็ไม่มีอาการบาดเจ็บอะไรที่น่าเป็นห่วง นอกเสียจากเขายังคงรู้สึกปวดตุ้บๆตรงจมูกที่ถูกต่อยจนหักด้วยฝีมือของตู้เส้าเฟิงอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้นทุกครั้งที่เขาพยายามจะยิ้มใบหน้าเขาจึงดูน่าเกลียดมากเพราะเขาจะรู้สึกเจ็บทุกครั้ง นั่นจึงทำให้เขายิ่งรู้สึกโกรธเกลียดจี้เฟิงรวมถึงคนอื่นๆ มากยิ่งขึ้น!
“พี่หวัง ผมขอร้องพี่อย่างหนึ่งได้ไหม ขอผมจัดการไอ้พวกเวรนั้นด้วยมือของผมเอง ถ้าผมไม่ฆ่าพวกมันภายในวันนี้ ผมคงอกแตกตายแน่ๆ!” อู๋เฉียนกัดฟันพูดด้วยความเกลียดชัง “และผมก็จะจัดการผู้หญิงของมันให้สาแก่ใจ!”
อู๋จุ้นเจี๋ยที่อยู่ข้างๆเขาถึงกับสะดุ้ง และพูดอย่างรีบร้อน “พี่! พี่บอกว่าจะยกผู้หญิงคนนั้นให้ผมแล้วนี่!”
อู๋เฉียนโบกมืออย่างไม่แยแส “นายจะกังวลอะไร เราเป็นลูกพี่ลูกน้องกันมีของดีก็ต้องแบ่งกันชมแบ่งกันใช้สิ ฮ่าๆๆ!!”
อู๋จุ้นเจี๋ยรู้สึกกระอักกระอ่วน แต่เมื่อเห็นท่าทางที่อยากจะชำระบัญชีแค้นอย่างไม่ลืมหูลืมตา อู๋จุ้นเจี๋ยจึงไม่กล้าคัดค้านและทำได้แค่เงียบ
“เอาหน่า ก็แค่ผู้หญิงคนเดียว ถ้าจมูกของฉันหายดีเมื่อไหร่ฉันจะพานายไปดูผู้หญิงที่สวยกว่านี้หลายเท่า ตราบเท่าที่พวกเราร่ำรวยและมีอำนาจไม่ว่านายจะอยากได้ผู้หญิงที่สวยขนาดไหนก็ไม่ใช่ปัญหา! ฮ่าฮ่า!!” อู๋เฉียนหัวเราะอย่างชั่วร้าย
อู๋จุ้นเจี๋ยก็หัวเราะเช่นกัน เมื่อเห็นลูกพี่ลูกน้องของเขามีอำนาจมากในเจียงโจว เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นอยู่ในใจ
……….
“ปัง!”
เสียงผลักประตูอย่างแรงของห้องสอบสวนดังขึ้นและปรากฏร่างของผู้กองหวัง เขาชี้ไปที่ตู้เส้าเฟิงที่ยืนอยู่กับพวกของจี้เฟิงในห้องสอบสวนและพูดขึ้นว่า “แก ออกมา!”
“อย่าออกไป!” ฮั่นจง คว้าแขนของตู้เส้าเฟิงไว้และพูดว่า “พวกเขาต้องเรียกนายไปที่ห้องสอบสวนคนเดียวและพวกเขาจะต้องรุมทำร้ายนายที่นั่นอย่างแน่นอน นายอยู่ที่นี่แหละอดทนอีกนิด รอให้ครอบครัวของฉันมาก่อน พวกเขาจะมาช่วยประกันตัวพวกเรา!”
“พี่ชายหวัง ทำไมพี่ถึงปล่อยให้คนพวกนี้ยืนแพร่มอะไรไร้สาระอยู่ได้ ถ้ามันไม่ยอมออกมาเราก็ไม่จำเป็นต้องไปฝืนใจพวกมัน เราก็แค่จัดการพวกมันพร้อมกันที่นี่ไปเลยให้รู้แล้วรู้รอด” อู๋เฉียนที่เดินเข้ามาอย่างรวดเร็วพูดขึ้นทั้งๆที่ยังมีผ้าก๊อซแปะอยู่ที่จมูก เขาถือกระบองไฟฟ้าอยู่ที่มือและพูดอย่างเคร่งขรึม “ฉันได้เห็นแล้วว่าวันนี้พวกนายใจกล้าแค่ไหน แต่ฉันคงต้องจัดการพวกนายทั้งหมด!”
“พูดจาข่มขู่และกำลังจะทำร้ายร่างกายคนอื่นอย่างเปิดเผยแถมยังเป็นในสถานีตำรวจแบบนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะไม่ทำหน้าที่สักหน่อยเหรอครับ?” จี้เฟิงพูดพร้อมกับมองไปที่ผู้กองหวังที่ยืนอยู่ตรงประตู
ใครจะรู้แทนที่ผู้กองหวังจะคิดได้ แต่เขากลับตะคอกด้วยความโมโห “ยโสโอหังดีจริงๆ ถือว่ากล้ามากที่มาพูดกับฉันแบบนี้!” ทันใดนั้นเขาก็ดึงกระบองออกจากเอวและเดินเข้าไปในห้องสอบสวนอย่างช้าๆ “ฉันล่ะชอบจริงๆ พวกที่ชอบทำตัวหยิ่งผยองแถมยังปากดี มันค่อยสนุกหน่อยที่จะได้ลงไม้ลงมือกับคนแบบนี้!”
…จบบทที่ 112~❤️