บทที่ 111 ใครใหญ่กว่ากัน!
บทที่ 111 ใครใหญ่กว่ากัน!
ตู้เส้าเฟิงไม่สนใจเขายังคงพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโมโห “ฉันไม่สนใจว่าเจ้านายของมันจะเป็นใคร ฉันสนใจแค่ว่ามันเป็นใครและทำอะไร อู๋เฉียนคนนี้มีปัญหากับพวกเรา และฉันนี่แหละที่จะเป็นคนจัดการกับมันเอง!”
“เตะหมายังต้องดูนาย!” ฮั่นจงส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น “คนที่อยู่เบื้องหลังและเป็นเจ้าของสุนัขรับใช้อย่างอู๋เฉียนคือจี้ช่าวหยินลูกชายคนเล็กของเลขาธิการคณะกรรมการพรรคแห่งเทศบาลนครเจียงโจว ฉันหวังว่านายคงจะเคยได้ยินชื่อตระกูลจี้แห่งหยานจิงอยู่บ้างนะ?”
จ้าวไคขมวดคิ้ว “ฮั่นจง คุณจะบอกว่า อู๋เฉียนคนนี้เป็นคนของตระกูลจี้?”
เขาเคยได้ยินชื่อเสียงของตระกูลจี้อยู่บ้าง อันที่จริงแล้วถึงแม้ว่าตระกูลจี้จะมีความโดดเด่นและอำนาจที่ใหญ่โตมาก แต่ตระกูลจี้ค่อนข้างจะถ่อมตัวพวกเขาจะไม่ใช้อำนาจในที่สาธารณะอย่างไม่เหมาะสม ผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศจีนจึงไม่ค่อยรู้รายละเอียดถึงอำนาจที่แท้จริงภายในตระกูลของพวกเขามากนัก แต่จ้าวไคเคยได้ยินเรื่องของตระกูลจี้จากครอบครัวของเขามาบ้าง ถ้าจะให้พูดถึงชื่อเสียงของตระกูลจี้ก็คงจะเหมือนกับ *ฟ้าร้องก้องหู
แล้วถ้าอู๋เฉียนเป็นคนของตระกูลจี้จริงๆ เกรงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้คงจะเป็นปัญหาใหญ่มากกว่าที่คิด
ฮั่นจงยิ้มอย่างขมขื่น “ตอนนี้นายเข้าใจแล้วใช่มั้ยว่าทำไมฉันถึงต้องยอมอู๋เฉียนคนนี้ เพราะอันที่จริงลำพังแค่ตัวเขา อย่าว่าแต่กลัวเลยเพราะคนแบบนี้ไม่มีค่าแม้แต่จะให้ใส่ใจเลยด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ฉันกลัวจริงๆคือบุคคลที่อยู่เบื้องหลังเขาต่างหาก!”
จ้าวไคพยักหน้าเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วและคิดอย่างหนัก หากเรื่องนี้ไม่ได้รับการจัดการโดยเร็วและถูกต้องมันจะต้องเป็นปัญหาใหญ่จริงๆ อย่างน้อยตัวเขาและคนเหล่านี้ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตระกูลจี้อย่างแน่นอน
“แม่งเอ๊ย!!”
อู๋เฉียนที่ถูกเตะโดยตู้เส้าเฟิงก่นด่าพร้อมกับตะเกียกตะกายขึ้นจากพื้นด้วยความยากลำบากยังคงมีรอยเลือดอยู่ที่มุมปากรวมถึงดั้งจมูกของเขาก็หักเอียงจนเห็นได้ชัด ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเลือดผสมปนเปกับน้ำตา มันช่างดูน่าสยดสยองมากจริงๆ
“ไอ้ชั่ว! แก.. แกกล้ามาก!” อู๋เฉียนยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม “แกเป็นคนแรกที่กล้าทำกับฉันแบบนี้! ในเจียงโจวไม่เคยมีใครกล้าแตะต้องคนของตระกูลจี้! ถ้าวันนี้แกยังรอดไปได้ อู๋เฉียนคนนี้จะยอมไปใช้สกุลของแก!”
อู๋จุ้นเจี๋ยที่ยืนอยู่ข้างๆมองไปที่ตู้เส้าเฟิงและจี้เฟิงอย่างโกรธแค้น แต่ก็ไม่กล้าที่จะก้าวออกไปข้างหน้า เพราะเขารู้ดีว่าชายผิวดำร่างใหญ่คนนี้ ไม่ใช่คนที่เขาจะสามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง
อู๋จุ้นเจี๋ยรีบไปช่วยพยุงอู๋เฉียนลูกพี่ลูกน้องของเขาและถามด้วยความเป็นห่วง “พี่เป็นยังไงบ้าง!”
ในตอนนี้จางเล่ยที่เพิ่งวางสายไปหันกลับมาดูสถานการณ์ตรงหน้า
เขาหันหน้าไปมองลูกพี่ลูกน้องสองคนนั้น อู๋เฉียนและอู๋จุ้นเจี๋ย เขาหัวเราะอย่างเหยียดหยามและพูดขึ้น “อู๋เฉียนใช่มั้ย? แกอย่าคิดว่ามีจี้ช่าวหยินปกป้องแล้วแกจะทำเรื่องชั่วแค่ไหนก็ได้ วันนี้ฉันก็อยากเห็นเหมือนกันว่าแกจะทำอะไรพวกเราได้?”
อู๋เฉียนหัวเราะอย่างชั่วร้าย “ฮ่าฮ่า!! ในที่สุดฉันก็ได้เห็นคนโง่ที่กล้ายั่วโมโหจี้ช่าวหยิน นายรอรับชะตากรรมของพวกนายได้เลย!”
ทันทีที่เสียงของอู๋เฉียนลดลงพวกเขาก็ได้ยินเสียงไซเรนของรถตำรวจดังมาจากด้านนอก
ทันใดนั้นใบหน้าของอู๋เฉียนก็แสดงรอยยิ้มที่น่ากลัว “หึหึ! ถ้าพวกแกอยากจะคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนตอนนี้ก็คงจะไม่ทันแล้วล่ะนะ แล้วก็อย่าคิดที่จะหนีโดยเด็ดขาด เพราะคนของฉันมาถึงที่นี่แล้ว แต่ถ้าปอดแหกไม่เก่งได้เท่าปาก จะลองวิ่งหนีหางจุกตูดดูก็ได้!”
จี้เฟิงยิ้มจางๆและนั่งอยู่เงียบๆโดยไม่พูดอะไร แต่นั่นไม่ใช่กับจางเล่ยที่เป็นคนอารมณ์ร้อนเขากระแทกถ้วยน้ำชาลงอย่างแรงบนโต๊ะและกำลังจะลุกขึ้น แต่เขาก็ถูกจี้เฟิงรั้งเอาไว้
“ถ้านายลงมือกับคนพวกนี้ มีแต่จะทำให้มือนายสกปรกเปล่าๆ” จี้เฟิงพูดห้ามจางเล่ยด้วยรอยยิ้ม
“แม่งเอ๊ย! ถือว่าพวกแกโชคดีนะวันนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงทำให้พวกแกต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มไปแล้วป่านนี้!” จางเล่ยตะคอกอย่างดูถูกเหยียดหยาม
เมื่อได้ยินคำสบถของจางเล่ยถงเล่ยก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเธอเหลือบมองไปที่จางเล่ยและพูดว่า “อย่าพูดคำหยาบสิ มันไม่ดี!”
อู๋เฉียนเห็นพวกของจี้เฟิงยังคงพูดคุยและหัวเราะกันในเวลาแบบนี้ เขาถึงกับยั๊วะจนอกแทบจะระเบิด เขากัดฟันและพูดขึ้น “พวกแกนี่ใจกล้ากันดีจริงๆ ทำแบบนี้ให้ได้ตลอดนะ!!”
ไม่มีใครให้ความสนใจอู๋เฉียนอีก แม้ว่าฮั่นจงและจ้าวไคจะมีความกังวลอยู่มาก แต่เมื่อเห็นจี้เฟิงและคนอื่นๆดูเฉยเมยกับสถานการณ์ตรงหน้ารวมถึงที่พวกเขาจำบทสนทนาระหว่างจี้เฟิงและจางเล่ยก่อนหน้านี้ได้ จึงทำให้พวกเขาเข้าใจได้ว่า ภูมิหลังของจางเล่ยก็ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอนพวกเขาถึงได้ไม่เกรงกลัวในอำนาจของตระกูลจี้
เนื่องจากคนในกลุ่มมีอำนาจที่ใหญ่โต ฮั่นจงจึงไม่คิดที่จะอ้อนวอนขอร้องอู๋เฉียนอีก เพราะโดยปกติพวกเขาต่างก็ไม่ค่อยจะถูกกันอยู่แล้ว
ในไม่ช้าก็มีเสียงฝีเท้าที่หนักแน่นตรงเข้ามายังห้องอาหารที่พวกเขาอยู่ พวกเขาคือนายตำรวจกลุ่มหนึ่ง คนที่เดินนำหน้าเข้ามาเป็นชายวัยสามสิบที่อยู่ในเครื่องแบบตำรวจเขาเป็นคนที่มีรูปร่างสูงมาก แต่เมื่อพวกของจี้เฟิงได้กลิ่นของแอลกอฮอล์มาจากตัวเขาก็พากันขมวดคิ้ว
ตำรวจในเครื่องแบบที่ออกไปดื่มของมึนเมาในขณะที่อยู่ในเวลางาน ดูท่าแล้วยังไงก็คงไม่ใช่ตำรวจที่ดี นี่คือความประทับใจแรกของจ้าวไคและฮั่นจงรวมถึงคนอื่นๆที่มีต่อนายตำรวจคนนี้
แน่นอนว่าเมื่อตำรวจมาถึง อู๋เฉียนก็ทักทายเขาด้วยน้ำเสียงที่น่าสมเพช “ผู้กองหวัง ถ้าคุณมาที่นี่ช้ากว่านี้อีกนิดเดียวเกรงว่าผมและลูกพี่ลูกน้องของผมคงจะถูกคนพวกนี้ฆ่าตายไปแล้ว!”
เมื่อตำรวจที่ถูกอู๋เฉียนเรียกว่าผู้กองหวังเห็นเลือดที่เปรอะเปื้อนเต็มใบหน้ารวมถึงดั้งจมูกที่หักของอู๋เฉียนเขาตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด“ใครทำ?! มันเป็นการทำร้ายร่างกาย มันผิดกฎหมาย!”
อู๋เฉียนชี้ไปทางโต๊ะอาหารที่พวกจี้เฟิงนั่งอยู่และพูดว่า “ผู้ชายผิวดำตัวใหญ่คนนั้นเป็นคนลงมือ แต่คนอื่นๆทุกคนต่างก็เป็นผู้ต้องสงสัย พวกเขาขโมยโทรศัพท์มือถือของผม แต่พวกเขาปฏิเสธไม่ยอมรับ ผู้กองหวังต้องจับคนพวกนี้ไปที่สถานีตำรวจและสอบปากคำพวกเขาให้ยอมรับสารภาพออกมาให้ได้!”
ผู้กองหวังหันไปมองและพบเข้ากับความงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ของถงเล่ยที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะอาหาร ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้น เขาตะโกนขึ้นทันที “ไป! จับคนพวกนี้แล้วนำตัวไปสอบสวนที่โรงพัก!”
“ช้าก่อน!”
ตู้เส้าเฟิงที่ยืนเงียบมาพักหนึ่งก็พูดขึ้นด้วยเสียงที่ดังและเจือไปด้วยความเย้ยหยัน “ผู้กองหวัง? ในฐานะที่คุณเป็นตำรวจ คุณควรที่จะต้องทำตามขั้นตอนก่อนไม่ใช่หรือ แต่ตอนนี้นอกจากคุณจะไม่ทำตามขั้นตอนที่ถูกต้องแล้ว คุณยังไม่มีการสอบถามใดๆเลย แต่กลับสั่งการให้นำตัวพวกเราไปยังสถานีตำรวจทันที นี่คือสิ่งที่ตำรวจดีๆควรทำงั้นหรือ? มาตรฐานการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจอยู่ตรงไหน?”
“แล้วแกเป็นใครถึงกล้ามาสั่งสอนตำรวจอย่างพวกฉันว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ!” ผู้กองหวังโกรธสุดขีดเมื่อถูกใครก็ไม่รู้มาสั่งสอนหน้าที่ของตำรวจ
“เหอะ! ตำรวจอย่างคุณไม่มีคุณสมบัติพอที่จะรู้ว่าพวกเราเป็นใคร ถ้าอยากรู้ก็โทรหาหัวหน้าของคุณเดี๋ยวนี้ แล้วฉันจะบอกให้เขาฟังเอง!” จางเล่ยลุกขึ้นยืนและพูดด้วยความหยิ่งทระนง
“อวดดีกันเกินไปแล้ว พวกแกเป็นแค่นักเรียนที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม แค่ฉันลดตัวมาคุยกับพวกแกก็มากเกินพอแล้วยังจะปากดีกล้าถามถึงหัวหน้าของพวกฉันอีกงั้นรึ!” ผู้กองหวังพูดอย่างเหยียดหยามแล้วโบกมือให้กับตำรวจคนอื่นๆทันที “ไปจับตัวพวกมันเดี๋ยวนี้!”
จ้าวไคพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คุณจะพาพวกเราไปก็ได้ แล้วสามคนนั้น?”
จ้าวไคชี้ไปยังลูกพี่ลูกน้องสองคนนั้นรวมถึงผู้ชายอีกคนที่มาด้วยกันกับพวกเขาและพูดว่า “ถ้าจะจับไปแต่พวกเรา มันย่อมไม่ยุติธรรมอย่างแน่นอน หรือพวกคุณไม่ได้คิดที่จะพาพวกเขาไปด้วยตั้งแต่แรกแล้ว?”
“แน่นอน ฉันจะพาพวกเขาสามคนไป!” ผู้กองหวังมีประสบการณ์ในการจัดการเรื่องแบบนี้เป็นอย่างดี เขาตะคอก “พาพวกเขาทั้งหมดออกไปและสอบปากคำพวกเขาโดยละเอียด จนกว่าจะได้คำตอบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นี่!”
ตำรวจหลายนายเดินเข้าไปหาพวกของจี้เฟิงพร้อมกับหยิบกุญแจมือขึ้นมาและกำลังจะใส่กุญแจมือให้กับพวกเขา จางเล่ยผลักตำรวจตรงหน้าแล้วหัวเราะเยาะ “เหอะๆ พวกเราไม่ใช่นักโทษ คุณจะมาใส่กุญแจมือพวกเราได้ยังไง?”
“เอาตัวพวกเขาออกไป!” ผู้กองหวังขมวดคิ้วแน่นและโบกมือ
ตำรวจเหล่านั้นไม่รู้จะทำอย่างไรจึงทำได้แค่พาตัวพวกเขาออกไปจากห้องอาหารของโรงแรมโดยที่ไม่ได้ใส่กุญแจมือ
จี้เฟิงตบมือเล็กๆของถงเล่ยเบาๆและยิ้ม “ไม่เป็นไร ไม่ต้องเป็นห่วง!”
จากนั้นเขาก็หันศีรษะไปทางผู้กองหวังแล้วพูดว่า “คุณคือผู้กองหวังใช่มั้ย? ผมหวังว่าคุณจะจัดการเรื่องนี้อย่างยุติธรรม แต่ถ้าคุณกล้าที่จะปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ผมสัญญากับคุณได้เลยว่า คุณจะต้องเสียใจที่คุณทำแบบนั้น!”
“แกกล้าพูดขู่ฉันงั้นรึ?!” ผู้กองหวังโกรธสุดขีดเมื่อได้ยินคำพูดของจี้เฟิง แต่เมื่อเขาเห็นแววตาที่เย็นชาของจี้เฟิง เขาก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นและเลือกที่ไม่พูดอะไรอีก
“ไอ้เด็กเวรกล้าจ้องหน้าและพูดจาข่มขู่ฉัน ฉันจะทำให้แกต้องรู้สำนึก!” ผู้กองหวังรู้สึกอับอายและก่นด่าจี้เฟิงอยู่ภายในใจ
………….
ทันทีที่พวกเขาขึ้นรถตำรวจ ฮั่นจงก็กดโทรศัพท์ต่อสายไปยังที่บ้านของเขาทันที เพื่อขอร้องให้ครอบครัวของเขายื่นมือเข้าช่วยเหลือในเรื่องนี้ แม้ว่าฮั่นกรุ๊ปจะไม่กล้าแตะต้องจี้ช่าวหยิน แต่ครอบครัวของเขาก็คงจะไม่ปล่อยให้เขาตายเพื่อฮั่นกรุ๊ปอย่างแน่นอน
ในตอนนี้มีเสียงตำหนิอย่างโกรธเกรี้ยวดังมาจากโทรศัพท์ของฮั่นจงอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าฮั่นจงถูกครอบครัวของเขาตำหนิว่าทำไมถึงได้ไปยั่วโมโหอู๋เฉียนจนทำให้เกิดเรื่องราวบานปลายใหญ่โต
แต่อย่างไรก็ตามฮั่นจงก็เป็นลูกของพวกเขา พวกเขาไม่สามารถเพิกเฉยต่อลูกชายของเขาได้ หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก พ่อแม่ของฮั่นจงก็พูดขึ้นว่า “ฮั่นจง ตอนนี้ลูกทำตัวดีๆแล้วตามตำรวจไปที่สถานีตำรวจก่อน พ่อพอจะมีสัมพันธไมตรีที่ดีกับพวกตำรวจอยู่บ้าง อย่างน้อยก็พอจะขอให้ลูกได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม แม้เราจะไม่สามารถต่อกรกับจี้ช่าวหยินได้ แต่เราไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวคนอย่างอู๋เฉียนเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนของจี้ช่าวหยินก็ตาม แต่พ่อไม่เชื่อว่าเขาจะถึงขนาดยกเลิกการร่วมมือกับฮั่นกรุ๊ปเพียงเพื่อจะเข้าข้างอู๋เฉียนโดยไม่สนใจผลประโยชน์ทางธุรกิจอย่างแน่นอน!”
ฮั่นจงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังมีเพื่อนๆ ที่อยู่ข้างๆเขาอีกหลายคนเขาก็พูดขึ้นว่า “พ่อ ไม่ใช่แค่ผม ยังมีเพื่อนของผมอีกสามสี่คนด้วย ถ้าเป็นไปได้พ่อพอจะช่วยพวกเขาด้วยได้ไหม?!”
“พ่อจะทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็แล้วกัน อย่างไรก็ตามอำนาจของอีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก พ่อจึงไม่สามารถรับประกันได้ว่าเราจะสามารถช่วยเพื่อนๆของลูกได้ทั้งหมด!” พ่อของฮั่นจงถอนหายใจและพูดต่อว่า “อย่าทำอะไรโดยไม่คิดหน้าคิดหลังแบบนี้อีก! ลูกก็น่าจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าไปยั่วโมโหลูกคนเล็กของคนที่มีอำนาจมากในเจียงโจว!”
ฮั่นจงวางสายโทรศัพท์ด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น “ใครจะอยู่ดีๆแล้วอยากหาเรื่องใส่ตัวโดยไปยั่วโมโหคนของตระกูลจี้ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าคนของเขาเองต่างหากที่จงใจมาหาเรื่องพวกเราก่อน แล้วถ้าชีวิตนี้มัวแต่เกรงกลัวอำนาจของทุกคนแล้วปล่อยให้ถูกรังแกอยู่ฝ่ายเดียว ป่านนี้ก็ไม่รู้ว่าชีวิตจะเป็นยังไง!”
อย่างไรก็ตามฮั่นจงก็ไม่กล้าพูดกับพ่อของเขาออกไปแบบนี้อยู่ดี เพราะเขารู้ดีว่าการกระทำของเขานั้นส่งผลต่อฮั่นกรุ๊ปอย่างไรบ้าง หากเขายังกล้าที่จะใช้ชีวิตอย่างไม่กลัวตายไปยั่วโมโหคนมีอำนาจใหญ่โตแบบนี้ เขาก็คงจะได้ตายเข้าจริงๆ แต่ไม่ใช่เพราะฝีมือของคนอื่น แต่ด้วยน้ำมือของคนในครอบครัวของเขาเองเสียมากกว่า
…จบบทที่ 111~❤️
สำนวน *ฟ้าร้องก้องหู หมายถึงชื่อเสียงโด่งดังจนเหมือนมีเสียงฟ้าร้องอยู่ใกล้ๆหู