ตอนที่ 233 คลังเสบียงถูกโจมตี
ณ หอคอยสังเกตการณ์
หอคอยสังเกตการณ์คือสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ ที่มีไว้เพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับชุมชนต่าง ๆ ซึ่งภายในเมืองอมตะก็มีหอสังเกตการณ์ทั้งหมดหนึ่งร้อยหอ แต่ละหอสูงสามร้อยเมตร สามารถสังเกตการณ์ได้ไกลถึงหนึ่งกิโลเมตร แต่ละหอจะมีการส่งสัญญาณไฟสำหรับการติดต่อสื่อสารกัน
สมุทร เฮงเฮงและไร้ชื่อนั่งรออยู่บนหอสังเกตการณ์ ที่อยู่ใกล้เขตพระราชวัง ทั้งยังใกล้กับคลังเสบียงที่ใช้หล่อเลี้ยงชาวเมืองในยามฉุกเฉิน สมุทรคาดว่าเป้าหมายคงไม่ใช่สัตว์อสูร แต่เป็นศัตรูที่ต้องการโจมตีไร่นา ซึ่งสาเหตุก็คงต้องการตัดเสบียงหล่อเลี้ยงเมือง ดังนั้นมันย่อมไม่ละเว้นคลังเสบียงที่ใหญ่ที่สุดภายในเมืองหลวงแน่
“นี่ เจ้าบอกว่าจะมาหาลูกพี่ ไหนล่ะลูกพี่” ไร้ชื่อบ่นพึมพำ และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาบ่นเช่นนี้
“เจ้ารู้หรือไงว่าลูกพี่เจ้าอยู่ที่ไหน อย่าลืมสิตอนนี้พวกเราเป็นเจ้าหน้าที่”
เฮงเฮงเอ่ยบอก ขณะที่กำลังผูกเชือกรัดเอวไว้กับหอสังเกตการณ์ เพื่อกันตก
สมุทรมองไปรอบด้วยกล้องส่องทางไกล เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติจึงหันกลับมาหาสหาย
“ใช่ว่าข้าไม่อยากเจอเหนือภพสักหน่อย แต่ข้าไม่รู้ว่าจะหาเขาได้ที่ไหน แถมตอนนี้พวกเราก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้จดหมายอาคม ข้าคิดว่าเราต้องทนไปก่อน”
ตูม !!
“มันเริ่มแล้ว ไปเร็ว !!”
สมุทรดึงธนูอาคมที่สะพายไว้ด้านหลังมาถือไว้ ก่อนจะกระโดดทะยานลงจากหอสังเกตการณ์ แล้วร่อนไปตามลมด้วยอุปกรณ์พิเศษของมือปราบ ที่ถูกปรับแต่งมาเพื่อช่วยไล่จับผู้ร้ายทางอากาศ
ไร้ชื่อเป็นคนเดียวที่รู้สึกว่าปีกร่อนลมมันเกะกะ อีกทั้งยังยืดหยาด เขาจึงฉีกกระชากมันออกแล้วกระโดดลงไปเบื้องล่าง จากนั้นก็วิ่งไปบนพื้นด้วยความเร็วที่เหนือกว่าปีกร่อน
ส่วนเฮงเฮงนั้นกำลังค่อย ๆ บรรจงแกะเชือกผูกเอวที่เขาผูกไว้กับหอสังเกตการณ์ ขณะเดียวกันเขาก็ยังหวาดระแวงกับทุกสิ่งรอบตัว เมื่อแกะเชือกได้สำเร็จเขาก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก โดยไม่ลืมที่จะตรวจความเรียบร้อยกับทหารยามสังเกตการณ์
“นี่เจ้า !”
“ขอรับใต้เท้า”
“เจ้าแน่ใจนะเจ้าปีกร่อนลมนี่ไม่ชำรุด”
“โธ่ ใต้เท้า ท่านวางใจเถอะ ปีกร่อนลมรุ่นของพวกท่านล้วนเป็นรุ่นใหม่ ที่ผ่านการพัฒนามาแล้วหลายร้อยครั้ง มั่นใจหายห่วง”
เฮงเฮงได้ยินเช่นนั้นก็โล่งใจ เขาคงไม่ซวยขนาดนั้นหรอกมั้ง ชายหนุ่มได้แต่ปลอบใจตัวเองขณะทะยานออกไป ก่อนจะกางแขนกางขาเพื่อใช้ต้านลมบนในการร่อน ซึ่งผลลัพธ์มันแปลกประหลาดจนชายหนุ่มดวงซวยแปลกใจ มันไม่มีปัญหาอะไรเลย เขาร่อนลมตามสมุทรไปได้ด้วยอย่างดี แถมยังเป็นไปอย่างสวัสดิภาพมากด้วย
“ยะฮู้ว บางทีข้าอาจถูกโฉลกกับการต่อสู้ทางอากาศ”
ทางด้านคลังเสบียง
“นั่นมันตัวบ้าอะไรวะ”
เสียงทหารตะโกนดังขึ้น หลังจากใช้ปราณอาคมโจมตีระยะไกล แต่ทันใดนั้นเขาก็ถูกชายสวมหน้ากากดำปัดออกราวกับปัดแมลง
กลิ่นอายระดับฝึกฝนเหนือกายมนุษย์ช่วงปลาย ถูกปลดปล่อยออกมาจนขีดสุด เหล่าทหารผู้ใช้อาคม แรงค์ D ที่เทียบเท่ากับผู้ฝึกฝนครึ่งก้าวสู่รากฐานอาคมต่ำ ถึงกับกระอักเลือดออกมาล้มลงกับพื้น ใครที่แข็งแกร่งหน่อย เมื่อต่อต้านก็ถูกหมัดกระแทกอากาศซัดใส่ จนร่างกายแหลกเหลวอย่างไร้ความปรานี
‘ปราณศรไตรลักษณ์ เคล็ดการยิงธนูขั้นที่ 3 ศรพรหมาสตร์ ’
คำอาคมถูกร่ายจบภายในใจสมุทร ขณะที่เขาร่อนอยู่บนฟ้า เหนือหัวสิ่งมีชีวิตปริศนาที่เต็มไปกลิ่นอายกระหายเลือด ออร่าปราณสีดำเข้มข้นดูชั่วร้าย จนทำให้แท่นคบเพลิงส่องสว่างขนาดใหญ่ดูหม่นหมอง
ศรแสงสีทองเจิดจ้าดังดวงอาทิตย์ขนาดใหญ่ ถูกปล่อยจากคันธนูบนอากาศ มันหมุนบิดเป็นเกลียวหมุนคว้าง แล้วขยายใหญ่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับเพิ่มความเร็วสูงขึ้น มันมุ่งตรงเข้าหาร่างกระหายเลือด แต่พอศรเข้าใกล้ ก็ถูกชายปริศนาหมุนตัวพลิกกลับมาตบมันด้วยหลังมือ
บรึ้ม !!!
ก่อเกิดการระเบิดขนาดใหญ่ ขยายวงกว้าง จากพื้นที่รัศมีเล็ก ๆ เพียงครึ่งเมตรก็ขยายออกกลืนกินพื้นที่กว่าร้อยเมตรในชั่วพริบตาเดียว
ในฐานะนักธนูโดยสายเลือด สายตาของเขาแน่วแน่และมองได้ไกลไม่ต่างจากพญาอินทรี ทันทีที่ร่างปริศนาทำลายศรพรหมาสตร์ที่เป็นเคล็ดวิชาลับที่รุนแรงที่สุดไปได้ มันก็เคลื่อนตัวพุ่งเข้าชกกำแพงคลังเสบียง
เพียงหมัดเดียวพื้นดินแตกแยกทลายไปนับร้อยเมตร ก่อนมันจะเคลื่อนตัวพุ่งโจมตีผู้รอดชีวิตที่อยู่ใกล้ ๆ ภาพอันน่าสยดสยองปรากฏชัดเจนในสายตาสมุทร และนั่นก็ทำให้สมุทรเกิดความรู้สึกโกรธแค้นในใจ
สมุทรบังคับขับร่างตัวเองให้ร่อนตามลมติดตามมันไป ก่อนจะเล็งธนูอีกครั้ง ครั้งนี้เขาต้องลดพลานุภาพพลังทำลายของศรลง เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเสบียงและผู้รอดชีวิตคนอื่น ๆ
‘ปราณศรไตรลักษณ์ เคล็ดการยิงธนูขั้นที่ 1 ศรพลายวาต’
ทันทีที่ศรเรียวเล็กสีทองถูกยิงออกไป ก็เสมือนตัวศรมีระบบติดตามตัวศัตรู ไม่ว่าร่างปริศนาจะกระโดดหลบไปอย่างไรก็ตาม ศรพลายวาตก็จะหักเลี้ยวตามไป แม้มันอาจไม่เร็วเท่าศรพรหมาสตร์ แค่มันก็ไล่ตามเป้าหมายไปอย่างไม่ลดละ ก่อนมันจะถูกปัดทำลายไป
ศรพลายวาตถูกปล่อยออกมาต่อเนื่องนับสิบดอก มันพุ่งเข้าโจมตีร่างกระหายเลือดจากหลายทิศทาง เพื่อสกัดการเคลื่อนไหว
ไร้ชื่อที่เพิ่งวิ่งมาถึง ก็ตะโกนถามหาตำแหน่งเป้าหมายทันที
“มันอยู่ทางไหน”
“ทิศตะวันออกของคลัง สกัดมันไว้” สมุทรพูดพลางร่อนหักเลี้ยวไปโอบล้อมอีกทาง
ไร้ชื่อชักดาบคมกริบออกมาจากด้านหลัง ก่อนจะเร่งเร้าปราณอาคมจนก่อเกิดภาพสัตว์อสูรหกชนิด หากเทียบกับแต่ก่อน เขาในตอนนี้ถือว่าแข็งแกร่งขึ้นมากเป็นร้อยเท่า ไร้ชื่อเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น ประสาทสัมผัสและความถึกทนของร่างกายถูกเสริมขึ้นไปหลายเท่าตัว
ไร้ชื่อเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว ผ่านระยะทางห้าร้อยเมตรภายในห้าวินาที เพียงพริบตาต่อมาเขาก็สามารถดักทางการเคลื่อนไหวของร่างปริศนาในหน้ากากได้สำเร็จ
ไร้ชื่อจับจ้องคนปริศนาเบื้องหน้า จนทะลุทะลวงถึงดวงตาที่ซ่อนอยู่หลังหน้ากาก เพื่อหวังว่าจดจำอัตลักษณ์บางอย่างได้บ้าง แต่ทันทีที่เขาจ้องเข้าไปก็รู้สึกเหมือนจมลงไปในมหาสมุทรดำมืด
เพียงพริบตาร่างของไร้ชื่อก็ถูกหมัดกระแทกอากาศ กระแทกเข้ากับร่างกายอย่างจังจนกระเด็นไปไกลกว่าหลายร้อยเมตร จากนั้นเขาก็กระอักเลือดออกมาไม่หยุด แล้วสลบไป
เฮงเฮงลอยตัวเหนือลมบนอย่างสวัสดิภาพ และในขณะเดียวกันนั้นร่างปริศนาก็พุ่งขึ้นสูงมาสู่ระดับเดียวกับเขา มันคือระดับเหนือพื้นดินประมาณห้าร้อยเมตร จากนั้นร่างปริศนาก็ใช้ร่างของเฮงเฮงเป็นบันไดในการเหยียบยัน เพื่อกระโดดครั้งต่อไป
ตูม !!
เมื่อร่างของเฮงเฮงถูกทำเป็นแท่นเหยียบกลางอากาศ ร่างของเขาก็พุ่งลงโหม่งปะทะพื้นโลก ไม่ต่างจากอุกกาบาตตก หลังคาอาคารทะลุ ขณะที่ผู้เคราะห์ร้ายนอนแอ้งแม้งเคียงคู่ม้าในคอก ด้วยอากาศสะบักสะบอม แต่ด้วยความที่เฮงเฮงบาดเจ็บมาทั้งชีวิต ร่างกายและกระดูกแข็งจึงแกร่งกว่าคนทั่วไปหลายเท่า แม้ไม่อาจเทียบเคียงได้กับคนตระกูลเหนือ แต่ก็ห่างชั้นกันเพียงแค่สองก้าวเท่านั้น
เมื่อร่างปริศนาในหน้ากากจากไป สมุทรที่ร่อนอยู่บนฟ้าก็คิดว่าเรื่องมันจะจบลงเพียงเท่านี้ แต่เปล่าเลย มีหอกโลหะพุ่งตรงเข้ามาหาเขาด้วยความเร็ว ก่อนจะแทงทะลุท้องของชายหนุ่ม จนร่างถูกพาไปปักเข้ากับกำแพงพระราชวังที่อยู่เหนือจากพื้นสามร้อยเมตร สมุทรเบิกตากว้างกระอักเลือดออกมาต่อเนื่อง ก่อนจะสลบไป
การโจมตีของร่างปริศนาภายใต้หน้ากาก และการอาละวาดโจมตีคลังเสบียงภายในเมืองหลวง มีจังหวะที่แน่นอน และสร้างความเสียหายได้สูงสุด ราวกับวางแผนมาเป็นอย่างดี
ทางด้านพญานาคที่กำลังเคลื่อนตัวขยายขอบเขตการค้นหาไปรอบเมือง สุดท้ายเขาก็ได้ยินเสียงขลุ่ย เสียงของขลุ่ยมารฟังดูเหมือนเสียงขลุ่ยทั่วไป แต่เมื่อลองรับฟังมันด้วยอาคมก็จะพบเห็นคลื่นเสียงปราณสีดำกระจายออกไปรอบ ๆ
พญานาคบีบการค้นหา ก่อนจะพบชายสองคน คนหนึ่งเป่าขลุ่ย อีกคนยืนนิ่งคล้ายคอยระวังป้องกันคนลอบแทงข้างหลัง
พญานาครู้ดีว่าขอบเขตพลังฝึกฝนของตนนั้นยังต่ำต้อย มันจึงไม่ผลีผลาม ขืนเข้าไปสภาพก็ไม่ต่างจากงูถูกทุบ สิ่งที่มันทำคือไปเหนือลม และปล่อยกลิ่นอายเฉพาะไปกับอากาศ จนมันเกาะติดเข้ากับชายทั้งสองคน แล้วจึงถอนตัวออกมา
วันรุ่งขึ้นข่าวการโจมตีคลังเสบียงหลายจุดภายในเมือง ก็ก่อให้เกิดการจลาจลขนาดย่อม และเกิดคำถามในหมู่ชาวเมือง พวกเขานั้นหวาดผวาตื่นกลัว จนมีหลายคนเริ่มหลบหนีออกจากเมือง แต่กลับถูกคัดค้านโดยองค์เจ้าแคว้น คำสั่งปิดตายประตูเมืองจึงมีขึ้น คนในห้ามออกห้ามคนนอกเข้า เพราะองค์เจ้าแคว้นกังวลว่าผู้ก่อการร้ายจะฉวยโอกาสวุ่นวายนี้หลบหนีไป
ทางด้านสภาแพทย์เมืองอมตะ ที่นี่แออัดไปด้วยผู้คนหลากหลาย หมอหลวงและหมอชาวบ้านต่างยุ่งวุ่นวายไปกับการรักษาคนเจ็บ หนึ่งในนั้นก็คือสมุทรและไร้ชื่อที่ได้รับบาดเจ็บรุนแรง โชคดีที่พวกเขาดวงแข็ง จึงรอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์
หลังจากที่พยัคฆ์คีรีทราบข่าว เขาก็มาพบเพื่อน ๆ ของเขาในทันที
สมุทรได้สติแล้ว แต่ยังคงเคลื่อนไหวไม่ได้สักระยะ ส่วนไร้ชื่อนั้นอาการภายนอกค่อย ๆ ดีขึ้น แต่ยังคงไม่ได้สติ
“เขาเป็นยังไงบ้าง”
พยัคฆ์คีรีมองไปยังไร้ชื่อ ที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยห้องเดียวกับสมุทรและเฮงเฮง
“ดูเหมือนว่าเขาจะเจอหนักกว่าพวกเรา ไม่เพียงได้รับบาดเจ็บภายนอก แต่กลับบาดเจ็บไปถึงจิตวิญญาณ จากการคาดการณ์ของหมอหลวงที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้ คาดว่าเขาอาจจะไปเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น ดังนั้นจึงไม่อาจบอกได้ว่าจะฟื้นตัวขึ้นเมื่อไหร่”
เมื่อสมุทรพูดจบ เฮงเฮงก็พยักหน้าให้กับตัวเอง เฮงเฮงรู้สึกว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาบาดเจ็บน้อยที่สุดในกลุ่มเพื่อน ๆ เขาจึงยิ้มกว้างออกมาขณะกัดผลไม้เยี่ยมผู้ป่วยที่อยู่ในตะกร้า
“สรุปว่ามันเกิดอะไรขึ้น เจ้าพอจะบอกได้ไหม ตัวอะไรทำพวกเจ้าเละเทะกันแบบนี้”
“ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก”
“ใช่เร็วมาก”
เฮงเฮงเป็นลูกคู่สนับสนุนคำพูดขอสมุทร มันเร็วจนเขายังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าตกลงไปนอนในคอกม้าตอนไหน
สมุทรส่ายหน้าไปมา ขณะที่เอ่ยว่า
“ข้าไม่แน่ใจว่าเป็นใคร แต่ค่อนข้างแน่ใจว่าเป็นผู้ชาย เป็นคนไร้พรสวรรค์ที่แข็งแกร่งมาก ๆ ขนาดถูกศรพรหมาสตร์ของข้าเข้าไป แต่ยังไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน”
สีหน้าของพยัคฆ์คีรีดูเป็นกังวล ศรพรหมาสตร์เป็นเคล็ดวิชาศรทำลายล้างของตระกูลไตรลักษณ์ แต่เดิมมันเป็นเคล็ดวิชาที่มีแต่ผู้นำตระกูลที่ใช้ได้ อดีตบรรพชนตระกูลไตรลักษณ์ใช้มันสร้างชื่อในสงครามบุกเบิกดินแดนของแคว้นอมตะ ด้วยการยิงศรพรหมาสตร์หนึ่งดอกทำลายกองทัพนับหมื่นได้ในภายพริบตา
เป็นรู้โดยทั่วกันว่ามันเป็นวิชาทำลายล้างที่แข็งแกร่งมากเพียงใด หากศรพรหมาสตร์ยังทำลายคนปริศนานั้นไม่ได้ เห็นทีว่าเรื่องนี้จะไม่ธรรมดาอย่างที่คิด
“แต่ยังดีที่เจ้าไหวตัวทัน คาดเดาได้ว่ามันจะโจมตีคลังเสบียงจึงย้ายเสบียงส่วนใหญ่ไปเก็บซ่อน ไม่งั้นครั้งนี้ไม่เพียงเสียคน ยังต้องเสียเสบียงที่มีคุณค่า พวกเจ้าได้ทำผลงานใหญ่แล้ว องค์เจ้าแคว้นมีคำสั่งให้พวกเจ้าได้เป็นอิสระ พักผ่อนจนกว่าจะหายแล้วค่อยมารับตำแหน่งตามเดิม”
“ข้าคิดว่ามันไม่หยุดเพียงเท่านี้แน่” สมุทรพูดอย่างกังวลใจ พยัคฆ์คีรีจึงรั้งรอฟังอยู่
“เจ้าคิดว่ามันจะโจมตีที่ไหนบ้าง”
สมุทรก้มหน้าครุ่นคิดคำตอบ แม้ภายนอกสมุทรจะเป็นเพียงลูกหลานตระกูลพ่อค้า แต่เนื้อแท้ของเขาคือลูกหลานแม่ทัพ ดังนั้นความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสงคราม ก็ไม่ต่างจากดูเส้นลายมือบนฝ่ามือตัวเอง
“ถ้าเป็นข้าศึก เป้าหมายต่อไปข้าไม่อาจบอกได้ แต่มันต้องตัดขาดเส้นทางเดินทัพของทหารชายแดนจากข้างนอก ไม่ให้เข้ามาเสริมทัพค่ายทหารรอบเมืองที่เป็นป้อมปราการสำคัญ อาจจะรวมไปถึงสำนักงานมือปราบ สำนักงานฮันเตอร์ ก็ล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น”
“แต่ละจุดล้วนมีการคุ้มกันแน่นหนา แต่ดูจากฝีมือของมันตามที่เจ้าเล่า มันก็ยากที่จะป้องกันจริง ๆ”
พยัคฆ์คีรีพูดเบา ๆ อย่างครุ่นคิด
“แต่พวกเราสามารถสร้างกับดักรอมันได้”
สมุทรเสนอ เขาค่อนข้างแค้นไอ้ตัวประหลาดเมื่อคืนอย่างมาก แน่นอนว่ามีค่ายกลหนึ่งที่สามารถสยบผู้แข็งแกร่งได้ มันคือ ‘ค่ายกลหนามยอกเอาหนามบ่ง’ ใช้พลังของศัตรูกักขังศัตรู ต่อให้แข็งแกร่งแค่ไหนก็ยากที่จะหนีพ้น