ตอนที่ 232 หรือว่าจะเป็นฝีมือท่าน
เหนือภพพาวาสุกรีมาหาองค์หญิง เพราะสิ่งของสุดท้ายที่เขาต้องการนั้น มีแต่องค์หญิงเท่านั้นที่จะช่วยเขาได้
บุษย์น้ำเพชรเป็นสตรีไม่มีราชกิจให้ทำมากนัก วันวันนางก็แค่เรียนศิลปะ เรียนมารยาท เรียนวิธีการเอาอกเอาใจพระสวามีในอนาคต ถึงเธอจะเคยเรียนด้านการปกครอง การบริหาร และการทหารมาเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง จนช่ำชอง ทว่ากฎระเบียบภายในวังก็เป็นเช่นนี้เอง
“องค์หญิง เชิญเพคะ”
บุษย์น้ำเพชรก้าวเดินขึ้นเกี้ยว ขณะที่เกี้ยวพาเธอกลับตำหนักการเวกของเธอเอง หญิงสาวอิงแอบกับหมอนอิงเพื่อพักผ่อนอยู่ภายใน แต่ในขณะที่เกี้ยวเคลื่อนที่อยู่นั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“นั่นใคร !”
“คุ้มครององค์หญิง !”
เหล่าองครักษ์ที่เฝ้าอารักขาอยู่ในละแวกนั้น ต่างแบ่งกำลังออกไล่ตามเงาดำที่พลิ้วกายจากไป ส่วนอีกกลุ่มเฝ้ารออยู่ที่เกี้ยวเพื่อกันแผนล่อเสือออกจากถ้ำ
บุรุษปริศนาปรากฏขึ้นในเกี้ยวตัว ราวกับภูตพราย องค์หญิงใหญ่ที่นั่งนิ่ง เบิกตากว้างอย่างตกใจ จนศีรษะกระทบเข้ากับหลังคาเกี้ยวอย่างแรง ยังดีที่เหนือภพไหวตัวทัน ปิดปากหญิงสาวไว้ก่อน แต่ก็ไม่ทำให้เหล่าองครักษ์กับนางกำนัลที่ตามรับใช้คลายความกังวลลง
“องค์หญิงเป็นอะไรไหมเจ้าคะ”
นางกำนัลทำท่าจะเปิดผ้าที่กั้นเข้าไปดู แต่ถูกเสียง “ไม่เป็นไร” ขององค์หญิงขัดขึ้นเสียก่อน
“ปล่อยให้ทหารจับผู้บุกรุกไป พวกเรากลับตำหนักเถอะ ข้าเหนื่อยแล้ว”
บุษย์น้ำเพชรจำใจต้องพูดออกไปเช่นนั้น เมื่อเห็นว่าบุรุษปริศนาถอดหน้ากากออก เขาคือเหนือภพนั่นเอง
เหนือภพยิ้มน้อย ๆ ขณะนั่งเคียงคู่กับหญิงสาวที่เรียกว่าแนบชิดสนิทยิ่ง บุษย์น้ำเพชรเองก็นับว่าอายุมาก และเคยเจอชายหนุ่มมามากมาย แต่ครั้งนี้เธอกลับหน้าแดงใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ความเยือกเย็นที่เธอมีก็ค่อย ๆ สูญเสียมันไปทีละน้อย
จนกระทั่งกลับถึงตำหนัก นางกำนัลถูกไล่ออกไปด้วยเพียงคำพูดเดียวขององค์หญิงบุษย์น้ำเพชร เปิดโอกาสให้เหนือภพได้พูดคุยกับนางสองต่อสอง
“อะไรถึงทำให้ท่านบังอาจปรากฏในเกี้ยวข้าเช่นนั้น”
เหนือภพยิ้ม
“ข้าก็เหมือนเจ้านั่นแหละ ถ้าไม่มีเรื่องด่วน ข้าคงไม่มาหาเจ้าหรอก”
หญิงสาวขมวดคิ้วน้อย ๆ เพราะเธอรู้สึกไม่เห็นด้วยกับคำพูดชายหนุ่ม
“ว่ามาเถอะ ข้าช่วยทุกอย่างถ้าเป็นเจ้า”
“ทุกอย่างเลยเหรอ”
เหนือภพกวาดตามองหญิงสาวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แล้วก็วกขึ้นไปหยุดอยู่ที่เนินเนื้อช่วงบน ทำให้บุษย์น้ำเพชรยกมือปิดรูปร่างของตัว ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้โป๊ แต่ทรวดทรงรูปร่างของเธอก็ยังยั่วเย้า เหนือภพยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นท่าทางไม่พอใจของหญิงสาว
“ข้าแค่หยอกเล่นน่า ข้าอยากให้เจ้าช่วยเรื่องหนึ่ง ข้าต้องการว่านสุริยัน”
บุษย์น้ำเพชรค่อนข้างแปลกใจ
“ท่านจะเอาไปทำไม ของพวกนั้นต่อให้เป็นข้าองค์หญิง ก็ยังยากที่จะนำเอามาได้โดยง่าย”
“ข้ารู้ มันเป็นของที่ทางกองทัพควบคุมอยู่ หากมีทางข้าคงไม่มาขอให้เจ้าช่วย”
“เจ้าจะเอาไปทำอะไร”
“ข้ายังบอกไม่ได้ แต่ข้าไม่ได้เอาไปทำเรื่องผิดกฎหมายแน่นอน แต่ถ้าข้าไม่ได้มันในคืนนี้ ได้มีเรื่องสะเทือนขวัญเกิดขึ้นอีกแน่”
บุษย์น้ำเพชรเป็นคนฉลาด พอเหนือภพพูดออกมาแบบนั้น เธอก็เชื่อมโยงกับเหตุการณ์บางอย่างได้ และเรื่องที่สะเทือนขวัญที่สุดในคืนที่ผ่านมาคืออะไรล่ะ เหตุการณ์ฆ่าสังหารคนกว่าสี่ร้อยคน ไร่นาที่เป็นเสบียงสำคัญของเมืองถูกทำลาย
“หรือว่าจะเป็นฝีมือท่าน”
เหนือภพไม่ได้ตอบรับ แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธ
“ข้าไม่แน่ใจ แต่มีบางอย่างเกิดขึ้นกับข้า มีเพียงว่านสุริยันที่พอจะยับยั้งสิ่งที่เกิดขึ้นได้”
“ถาวร ?” บุษย์น้ำเพชรถามเพื่อความแน่ใจ
“ไม่ ๆ แค่ชั่วคราวเท่านั้น ตอนนี้เจ้าอย่าถามอะไรมาก ข้ายังไม่พร้อมที่จะบอกในตอนนี้”
จี๊ดดดดด
ความรู้สึกเจ็บจี๊ดที่ศีรษะของเหนือภพกลับมาอีกครั้ง และครั้งนี้มันทวีความรุนแรงมากขึ้น มันมากจนเหนือภพที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ถึงกับล้มลงไปนอนกับพื้น
ไอมารสีหมึกเอ่อล้นทะลักออกมาปกคลุมร่างของเหนือภพ บุษย์น้ำเพชรที่เห็นเช่นนั้นก็ตกใจ ควันดำที่เป็นปริศนาที่แม้แต่หน่วยพิสูจน์หลักฐานก็ยังหาต้นตอของมันไม่ได้ แต่ตอนนี้มันกลับมาอยู่บนตัวชายหนุ่มที่เธอมีใจให้
“เหนือภพเจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า”
องค์หญิงใหญ่พยายามเข้าหาเหนือภพ แต่เหนือภพกลับใช้มือห้ามไว้ เขาฝืนสะกดมารภายในร่างกาย
“ไม่ทันแล้ว วันนี้คงต้องเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นอีก”
จี๊ดดดดด
“อ๊ากกกก”
เหนือภพพูดไม่ทันจบประโยค ความปวดก็ทะลวงเข้าสู่สมองของเขา ความทรมานที่ทำให้เส้นประสาทของเขารับรู้ความเจ็บปวดได้อย่างแจ่มชัด ดวงตาข้างหนึ่งของเหนือภพแปรเปลี่ยนเป็นสีหมึกโดยสมบูรณ์
“พรุ่งนี้...” เหนือภพพยายามกัดฟันพูด ขณะคว้าเอาปากกาขนนกออกมาเขียนที่อยู่ของเขา
“...ค่อยเอามันไปให้...ข้า”
เหนือภพพูดจบก็สวมหน้ากากที่เตรียมไว้ ก่อนจะรีบพลิ้วกายทะยานขึ้นฟ้าจากไป
สีหน้าของบุษย์น้ำเพชรค่อนข้างตกใจและเป็นกังวล ในหัวสมองของเธอนั้นเต็มไปด้วยคำถาม ที่ขณะภายในมุมมืดของห้องรับรอง ก็มีชายวัยกลางคนก้าวเดินออกมา
“องค์หญิงหากข้าเดาไม่ผิด สิ่งที่อยู่บนตัวเขาน่าจะเป็นไอมาร”
“ไอมาร คือสิ่งใด”
“ข้าเองก็อธิบายไม่ถูก แต่ข้าได้ยินจากอาจารย์ที่มาจากทวีปอื่น ท่านเคยเล่าให้ฟังว่าไอมารเป็นสิ่งชั่วร้ายที่อยู่ขั้วตรงข้ามกับไอสวรรค์ ข้าคิดว่าท่านอย่าสนใจเขาอีกเลย มันไม่คุ้ม ไอมารน่ะยิ่งมันอยู่ในตัวของสิ่งมีชีวิตมากเท่าไหร่ มันจะค่อย ๆ กัดกินจิตใจคนผู้นั้น นับวันเขาก็จะไร้ศีลธรรม ไม่รู้จักความถูกต้อง อาจจะเป็นอันตรายต่อท่าน”
เมื่อบุษย์น้ำเพชรได้ยินเช่นนี้ก็นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า มีช่วงหนึ่งที่สายตาของเหนือภพมองร่างกายเธออย่างหื่นกระหาย แต่ก็เป็นชั่วเวลาสั้น ๆ ดูเหมือนว่าเขาจะเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ
“องค์หญิง ท่านควรตัดสินใจในตอนนี้ เรารู้ตัวการที่ก่อความวุ่นวายแล้ว ไม่สู้ใช้เขาให้เป็นประโยชน์อย่างถึงที่สุด มันจะดีกับตัวท่านมากกว่า”
บุษย์น้ำเพชรนั่งลง พลางขมวดคิ้ว ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา
“ข้าตัดสินใจแล้ว”
เหนือภพรีบกลับมาที่โรงแรมอย่างทุลักทุเล ร่างกายอบอวลไปด้วยควันสีหมึกที่พยายามปกคลุมร่างกายของเขา
ชายหนุ่มเคาะประตูห้องของนาคราชวาสุกรีเสียงดัง ตึง ตึง ตึง จนบานประตูโลหะพิเศษสั่นคลอน จวนเจียนจะหลุดออกจากกรอบประตู
พญานาควาสุกรีที่เตรียมการอยู่ภายในก็รีบเปิดประตูออก เมื่อเห็นสภาพของเหนือภพก็รีบพาเข้าไปด้านในทันที
“โชคดีที่ข้ากลับมาเตรียมการล่วงหน้า ไม่งั้นเจ้าแย่กว่านี้แน่”
นาคราชวาสุกรีนำเหนือภพเข้าไปในกรอบเส้นวงกลมที่เขาขีดเอาไว้บนพื้นห้อง ก่อนจะทำการใช้อาคมสร้างค่ายกลปิดตายใส่เหนือภพ บีบอัดจำกัดเขาไว้ในพื้นที่ ค่ายกลนี้ถูกเรียกว่า ‘หนามยอกให้เอาหนามบ่ง’ เป็นค่ายกลที่ใช้พลังของผู้ถูกจับเป็นพลังในการขับเคลื่อน ยิ่งต่อต้าน ค่ายกลก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
เหนือภพในเวลานี้สวมใส่หน้ากากไม้ดำปิดใบหน้า ในกรณีที่เขาหลุดออกจากค่ายกลนี้ไปได้ เขาก็มั่นใจว่าจะไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใคร
“อ๊ากกก”
เหนือภพกรีดร้องออกมาจนเสียงแหบแห้ง มันเป็นความทรมานคนละแบบกับตอนที่เขาผลัดเปลี่ยนกระดูก ในตอนนี้มันคือความเจ็บปวดทางกาย ทว่าในตอนนี้มันคือความเจ็บปวดที่เสียดลึกเข้าไปถึงจิตวิญญาณ
“ทนเอาไว้ อย่าให้มันกลืนกินเจ้า ใช้วิถีพุทธะชะลอการรุกล้ำของมันก่อนที่จะสายไป”
นาคราชวาสุกรีพยายามช่วยเหลือทุกวิถีทาง
เหนือภพที่ดิ้นทุรนทุรายนอนขดตัวอย่างทุกข์ทรมาน อยู่ภายในกรอบวงกลม ก่อนจะกัดฟันบีบบังคับตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งสมาธิเดินลมปราณตามหลักพุทธะ เขาพยายามทำใจให้สงบ ไม่ยอมหลงไปกับจิตมารที่พยายามหลอกล่อให้เขาเข้าไปหามัน
ทว่ายิ่งหลับตาจิตก็ยิ่งดีดดิ้น จิตใจและความคิดของเขาปั่นป่วน ร้อนรน กระวนกระวาย มันฟุ้งไปทุกทิศทางยากจะจับให้มั่น สติและอารมณ์อันหลากหลายหมุนเป็นเกลียวดังพายุหมุนยากจะควบคุม สัญชาตญาณดิบเถื่อนมีอำนาจเสมอ เว้นเสียแต่ว่าเขาจะใช้อำนาจจิตที่เหนือกว่ามากดข่ม
เหนือภพนั่งสงบใจอยู่นานกว่าหลายชั่วโมง ขณะที่ไอมารที่เคยรุกล้ำร่างกายของเขาค่อย ๆ หดตัวลงกลับเข้าไปในร่างกายของเขาโดยดี จากนั้นสถานการณ์ก็กลับมาสงบอีกครั้ง
ทั้งเหนือภพและวาสุกรีผ่อนลมหายใจออกมา
“เจ้าได้มันมาไหม”
เหนือภพรู้ว่านาคราชวาสุกรีกำลังพูดถึงว่านเทพเทวา หรือว่านสุริยัน น่าเสียดายที่เขายังไม่ได้มันในตอนนี้ ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหน้า
“แบบนี้ก็แย่แน่ เจ้ายังไม่ได้ยินเสียงขลุ่ยใช่ไหม”
เหนือภพพยักหน้า
ขณะที่นาคราชวาสุกรีกำลังขบคิดถึงสิ่งที่นักปราชญ์เคยพูด สาเหตุที่ทำให้ไอมารเกิดบ้าคลั่งคือขลุ่ย และเขาก็นึกออกแล้วว่าเสียงขลุ่ยที่เหนือภพได้ยินน่าจะเป็นขลุ่ยมาร วาสุกรีจึงเล่าเรื่องนี้ให้เหนือภพฟังว่ามีความเป็นไปได้เต็มสิบส่วน ที่จะมีผู้ใช้ขลุ่ยมารบงการให้เหนือภพทำตามคำสั่งอยู่
ขลุ่ยมารนับเป็นอาวุธระดับฟ้า เป็นอาวุธต้องสาปที่มีจิตวิญญาณในตัวมันเอง เป็นหนึ่งในสมบัติไตรราชกกุธภัณฑ์ของราชามาร
“ระดับฟ้า ? เจ้าคงไม่ล้อเล่นข้าหรอกนะ”
เหนือภพตาโตด้วยความทึ่ง ขนาดเตาหลอมโลกันตร์ยังเป็นเพียงอาวุธระดับดินเท่านั้น แต่แค่นั้นอำนาจและอานุภาพของมัน ก็แทบจะหลอมละลายคนธรรมดาที่อยู่ใกล้ได้ในพริบตา
“ข้าไม่รู้ว่ามันจริงแท้แค่ไหน แต่ราชามารคือตำนานอันน่าสะพรึง ต่อให้เป็นพงศ์พันธุ์อมนุษย์เช่นข้าก็ต้องหวาดผวา ข้าคิดว่าต่อให้เจ้าสงบใจได้ แต่เมื่อใดที่ขลุ่ยมารบรรเลงขึ้นอีกครั้ง เมื่อนั้นเจ้าก็จะกลายเป็นมารร้ายกระหายเลือดเข่นฆ่าคนอีกครั้งแน่”
“แล้ววิธีแก้ล่ะ”
“ไม่มี นอกจากจะหาผู้ใช้มันให้เจอ แล้วยึดขลุ่ยของมันซะ นั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุด”
“มันต้องเป่าอีกครั้งแน่” เหนือภพพยายามคิดอะไรสักอย่างก่อนพูดว่า
“เมื่อคืนยามสอง ข้าได้ยินเสียงขลุ่ย แล้วนี่เหลือเวลาอีกเท่าไหร่จะถึงยามสอง”
“ไม่ถึงสิบนาที”
“งั้นเจ้าไปซะ ล่ามันให้ได้” เหนือภพพูดจบก็นั่งลงสงบนิ่งอยู่ภายในค่ายกล
พญานาคพยักหน้า ก่อนจะรีบพลิ้วกายไปยังจุดที่สูงที่สุดของเมือง ก่อนจะใช้ปราณค้นหา ขณะที่เหนือภพพอเขารู้สึกตื่นเต้นหรือตื่นกลัวเพียงนิด ไอมารก็พยายามจะกลืนกินเขาให้ได้ นี่จึงเป็นเหตุการณ์ที่ท้าทายเหนือภพอย่างมาก