ตอนที่ 230 ได้ยินเสียงขลุ่ย ขลุ่ยเนี่ยนะ
เหนือภพไม่จำเป็นต้องหลับตานอน ช่วงเวลาค่ำคืนเป็นช่วงเวลาที่เขาฝึกฝนลมปราณ ระดับขั้นขอบเขตพลังของเขาในตอนนี้ คือกายเหนือมนุษย์ช่วงปลาย เหลือเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น เขาก็จะสามารถทะลวงไปยังขั้นกายเหนือดินได้ แต่เพียงก้าวเดียวที่ว่ากลับกว้างใหญ่ราวกับมหาสมุทรกั้น เขาไม่อาจจะใช้เวลาเพียงวันสองวันในการฝ่าทะลวงมัน
ชายหนุ่มพยายามปรับพื้นฐานลมปราณของตัวเองให้มั่นคง ถึงแม้ไออสูรเทียมจะทำให้ขอบเขตพลังฝึกฝนของเขาขยายขึ้น แต่ระดับขั้นปราณราชันย์ยักษาของเขายังคงย่ำอยู่กับที่
วิธีการที่จะทำให้มันก้าวหน้ามีแต่เขาจะได้รับโอสถ หรือเนื้อสัตว์อสูรจำพวกที่เกี่ยวเนื่องกับเส้นเอ็น แต่การหาเนื้อสัตว์อสูรในช่วงหลังมานี้ยากเย็นนัก และราคาของมันค่อนข้างสูง อีกทั้งปริมาณในการขายในแต่ละรอบก็มีอยู่จำนวนจำกัด ต่อให้อาจารย์เขาเป็นถึงเจ้าหอเก้าสมบัติสาขาทวีปดารา ก็ยังยากที่นำมาให้เขาอย่างฟุ่มเฟือย
เหนือภพรู้สึกว่าตัวเองเมื่อก่อนนั้นช่างโง่เขลายิ่งนัก ของที่ได้มาง่ายกลับไม่สนใจ
ชายหนุ่มจมดิ่งอยู่ในสมาธิ เขาจำเป็นต้องหมั่นฝึกลมปราณพุทธะตามคำแนะนำของอาจารย์ เพื่อควบคุมไอมารในร่างกายไม่ให้เกิดปะทุขึ้นมา ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะทำอะไรโดยที่ไม่ยั้งคิดแบบคราวนั้น เหนือภพยามหลับตาลง
ความทรงจำภาพของพราวจันทร์กระอักเลือดผุดขึ้น เขาในตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรลงไป จนกว่าเขาจะควบคุมหรือกำจัดไอมารได้ เขาถึงจะมีหน้าไปหานางอีกครั้ง ไม่เช่นนั้นหากเขาเห็นภาพบาดตาบาดใจ ก็อาจจะทำเรื่องเลวร้ายขึ้นมาอีก
ขณะที่เหนือภพนั่งสมาธิอยู่นั้น จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงขลุ่ยดังขึ้นอย่างชัดเจนข้างหู เสียงขลุ่ยที่ว่ามันทำให้ร่างกายของเขาร้อนรุ่ม รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวมากเป็นพิเศษ เขาปวดจี๊ดที่หัว เหนือภพนิ่วหน้า เขารู้สึกแปลก ๆ อยู่ดี ๆ ก็อยากจะไปสถานที่แห่งหนึ่ง โดยไม่รู้เหตุผลด้วยซ้ำว่าทำไมเขาอยากไปที่แห่งนั้น เหนือภพรู้ว่าจิตมารกำลังพลุ่งพล่าน เขาจึงปฏิเสธที่จะทำตามความปรารถนาของจิตมาร โดยใช้ปราณพุทธะเข้าต่อต้าน
จี๊ดดดดด
ความรู้สึกเจ็บจี๊ดที่ศีรษะทวีความรุนแรงมากขึ้น ความเจ็บนี้ทะลวงประสาทรับรู้ความเจ็บปวดของเขา เข้ามาจนได้ มันมากจนชายหนุ่มล้มลงไปนอนกับพื้น ไอมารสีหมึกเอ่อล้นทะลักออกมาปกคลุมร่างของเหนือภพ จากนั้นท่าทางของเหนือภพก็เปลี่ยนไป ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นสีหมึกไร้ประกาย แผ่กลิ่นอายเย็นชาไร้ความรู้สึก
ชายหนุ่มลุกยืนขึ้น ก่อนจะพลิ้วกายหายไปจากโรงแรมหรู มาหยุดลงที่สถานที่แห่งหนึ่ง มันคือนาข้าวกว้างใหญ่
‘พลังรวมศูนย์’
ปราณมารไหลทะลักมารวมตัวกันที่หมัดขวาของเหนือภพ ก่อนที่เขาจะทำการทุบลงไปยังคันนา
ตูม !!
เพียงครั้งเดียวก็เกิดเพลิงมารแตกกระจายออกทำลายนาข้าวที่เขียวขจี การโจมตีอันไร้เหตุผลนี้ยังมีอีกอย่างต่อเนื่อง เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว
เพียงค่ำคืนเดียวนาข้าวที่อยู่ภายในเมืองหลวงกว่าห้าร้อยไร่ ก็ถูกทำลาย ผู้พบเห็นเหตุการณ์ล้วนถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม
วันรุ่งขึ้น เหนือภพลืมตาตื่นขึ้นอย่างงุนงง ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาหลับ เหนือภพมองร่างกายตัวเองที่เปียกชุ่มไปด้วยเลือด
“เกิดอะไรขึ้น”
เหนือภพรีบพุ่งไปหาผู้เป็นอาจารย์ทันที ดูเหมือนว่าเมื่อคืนจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
“อาจารย์”
เหนือภพตะโกนด้วยท่าทีร้อนรน มุกดาราที่จมอยู่ในสมาธิตัดขาดโลกภายนอก จึงไม่ได้ยินเสียงเรียก เหนือภพไม่กล้ารบกวนอาจารย์ไปมากกว่านี้ ช่วงนี้อาจารย์อยู่ในช่วงที่รวบรวมลมปราณเพื่อเตรียมความพร้อมในการทะลวงขั้นต่อไป ดังนั้นน่าจะใช้เวลาอีกนานกว่าอาจารย์จะออกจากการฝึก
ชายหนุ่มนิ่วหน้าเป็นกังวล เมื่อคืนเขาต้องฆ่าใครแน่ ๆ หวังว่าไม่ใช่นาง เหนือภพกังวลอย่างมากว่าเขาจะสติหลุดไปฆ่าหญิงคนรักและองค์ชายรอง ใจหนึ่งอยากไปดูให้รู้แล้วรู้รอด แต่อีกใจก็รู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก
ครั้นจะไปหาบุหรงก็ไม่ได้ นางกลับตระกูลของนางไปเมื่อครึ่งเดือนก่อน แต่พอคิดถึงบุหรงก็ทำให้เหนือภพนึกถึงวาสุกรี ระยะหลังนี้เขาไม่ค่อยเห็นมันเท่าไหร่ จึงหลงลืมไป เหนือภพเสี่ยงดวงไปเคาะห้องนอนของนาคราชหนุ่ม
“วาสุกรี เจ้าอยู่หรือเปล่า”
มีเสียงบ่นพึมพำดังมาจากในห้อง พร้อมกับจังหวะก้าวเดินตึงตัง ทำให้เหนือภพรู้สึกโล่งใจ ทันทีที่ประตูถูกเปิดออกเหนือภพก็พุ่งเข้าไปในห้องทันที
สีหน้าของวาสุกรีนั้นค่อนข้างตกใจ เมื่อเห็นสภาพของเหนือภพที่เต็มไปด้วยเลือดแห้งกรัง
“เจ้าไปฟัดกับหมาที่ไหนมา สภาพถึงเป็นแบบนี้”
“ข้าไม่รู้ ข้าอยากให้เจ้าช่วย”
จากนั้นเหนือภพจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเขา พร้อมกับคาดเดาความเป็นไปได้ของเรื่องให้นาคราชฟัง เมื่อวาสุกรีได้ฟังเช่นนั้นก็มีสีหน้าเคร่งเครียด
“ดูท่าจิตมารเริ่มจะกัดกินจิตใจเจ้ามากขึ้นทุกวัน วิธีพุทธะของเจ้าใกล้จะต้านมันไว้ไม่อยู่แล้ว เดี๋ยวนะเจ้าบอกว่าก่อนที่เจ้าจะสิ้นสติได้... ได้ยินเสียงขลุ่ย ขลุ่ยเนี่ยนะ”
เหนือภพพยักหน้ายืนยัน ไม่ผิดแน่
วาสุกรีกลอกตาไปมาคล้ายขบคิดอะไรบางอย่าง
“ตอนนี้ข้ายังฟันธงอะไรไม่ได้ คืนนี้เจ้ามาอยู่กับข้า ถ้าเกิดอะไรขึ้นข้าจะรั้งเจ้าไว้เอง และข้าก็อยากเห็นด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า”
เหนือภพพยักหน้า แล้วรีบกลับห้องไปทำความสะอาดคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนทั่วทั้งที่นอนและบนพื้น โชคดีที่เขากลับมาทางหน้าต่างเลยไม่มีใครรู้เห็น
'น่าจะไม่มีใครรู้นะ'
ณ เรือนกุศมาศ
พราวจันทร์ทำหน้าที่ภรรยาที่ดีโดยไม่ขาดตกบกพร่อง ยามที่องค์ชายรองเคร่งเครียดอยู่กับงาน นางก็เข้าครัวทำน้ำแกงบำรุงมาส่งให้เองกับมือ ทำให้ผู้เป็นสามียิ้มกว้าง
“น้องหญิงลำบากเจ้าอีกแล้ว มาเถอะมานั่งกินด้วยกัน ข้าไม่จำเป็นต้องบำรุงมากเช่นนี้ เจ้าต้องบำรุงตัวเองให้มากต่างหาก”
พราวจันทร์ยิ้ม ก่อนกวาดตามองรอบด้าน
“ท่านก็รีบดื่มให้หมด ช่วงนี้ข้าเห็นท่านโหมงานหนัก พักผ่อนไม่เป็นเวลา มาวันนี้ก็ออกไปแต่เช้ากว่าจะกลับมาก็บ่าย จะไม่ให้ข้าเป็นห่วงได้ยังไง”
หญิงสาวพูดตำหนิด้วยใบหน้าแง่งอน
“ได้ ๆ ข้าดื่ม”
องค์ชายรองยกน้ำแกงในถ้วยลายครามซดจนหมดเกลี้ยงในอึกเดียว ก่อนลุกขึ้นมาโอบกอดภรรยาตัวเองด้วยความรักใคร่
“ระยะนี้มีราชกิจมากมาย ข้าปล่อยให้เจ้าอยู่คนเดียวหลายครั้ง เจ้าโกรธข้าหรือไม่”
“ข้าจะโกรธท่านได้ยังไง ท่านทำเพื่อบ้านเมือง ข้าเป็นชายา การอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนเป็นเรื่องที่เหมาะสม ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าอยู่ได้”
“เอางี้ดีไหม พรุ่งนี้เป็นวันหยุดของข้า ข้าจะพาเจ้าไปล่องเรือดีหรือไม่”
พราวจันทร์ยิ้มแทนคำตอบ ก่อนจะเอ่ยตัดบท
“ท่านรีบทำงานต่อเถอะข้าไม่กวนแล้ว”
องค์ชายรองมองภรรยาสุดที่รักออกจากห้องไป แม้นางจะไปไกลแล้ว ชายหนุ่มก็ยังยิ้มไม่หุบ แววตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความหวาน ก่อนความรู้สึกเล่านี้จะถูกทำลายไปเพราะการปรากฏของคนคนหนึ่ง
“เจ้ามาทำไม” สีหน้าขององค์ชายรอง ยามจับจ้องไปที่เหนือภพนั้นเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น
เหนือภพยิ้มน้อย ๆ
“ข้ามาดูว่าเจ้าตายหรือยังก็เท่านั้น”
“เจ้า !”
“วันนี้ข้าไม่ได้มาหาเรื่องเจ้า และไม่ได้จะมาแย่งนางจากเจ้าด้วย ข้ารู้ว่าข้าไม่คู่ควรกับนาง”
“แล้วเจ้ามาทำไม” องค์ชายรองมีท่าทีอ่อนลง
“ข้ามีเรื่องสงสัยอยากถามเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อคืน ที่มีคนตาย มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
พอองค์ชายรองได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็เคร่งเครียดขึ้นมาอีกครั้ง ถ้าไม่ติดว่าเขากับเหนือภพรักผู้หญิงคนเดียวกัน เหนือภพก็นับเป็นเพื่อนที่น่าคบหาคนหนึ่ง องค์ชายรองคิดว่าเหนือภพคงได้รับงานตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องนี้มาจากสมาคมฮันเตอร์ เขาจึงเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นที่พอจะเล่าได้ให้เหนือภพฟัง
“มีคนตายสี่ร้อยสิบเจ็ดคน นาข้าวที่พร้อมเก็บเกี่ยวถูกทำลายภายในข้ามคืนเนี่ยนะ เป็นไปได้ยังไง”
ที่เหนือภพตกใจมาก ก็เพราะเขาคาดเดาว่าน่าจะเป็นฝีมือของเขา แต่ถึงขนาดทำลายและฆ่าคนมากมายเช่นนี้เพียงข้ามคืน มันก็ดูผิดปกติไปสักหน่อย ต่อให้เป็นเขาก็ยากที่จะทำแบบนั้น นอกจากว่าเขาจะร่วมมือกับใครบางคนทำลายมัน
“อย่างที่ข้าเล่า เรื่องนี้ไม่ว่าทางสมาคมฮันเตอร์หรือราชสำนัก ก็ล้วนอยากได้คำตอบ ข้าหวังว่าเจ้าจะเห็นแก่บ้านเมือง ช่วยจัดการเรื่องนี้”
“ขอบใจสำหรับข้อมูล ยังมีเรื่องสุดท้าย”
“ว่ามา”
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าจะต้องปกป้องนางด้วยชีวิต”
เหนือภพพูดจบก็ไม่ได้รอคำตอบ เขาพลิ้วกายหายไปทันที
ท่าทีขององค์ชายชัยธวัชเต็มไปด้วยคำถาม เขาค่อนข้างชื่นชมเหนือภพอยู่ในใจ ชายที่เป็นเพียงแค่คนไร้พรสวรรค์ อีกทั้งฐานะยังต่ำต้อย แต่กลับแข็งแกร่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ ส่วนเรื่องคำขอนั้นต่อให้เหนือภพไม่ขอ เขาก็จะทำแบบนั้นอยู่ดี นางคือหัวใจของเขา แม้จะรู้สึกว่าการที่นางแต่งกับเขาดูเหมือนฝันไปก็ตาม
ณ กรมอาญาพิจารณาคดี
“นี่พวกเจ้า ตื่นกันได้แล้ว”
เสียงดาบตีกระแทกเข้ากับกรงโลหะดังเคล้ง ๆ ต่อเนื่อง ทำให้เหล่านักโทษที่หลับนอนอยู่ในที่คุมขัง ตื่นขึ้นอย่างไม่เต็มใจนัก สาเหตุที่พวกเขาถูกปลุกให้ตื่น ก็เพราะหัวหน้ากรมองครักษ์อารักขาพระองค์มาเยือนถึงที่นี่ ต่อให้ไม่ได้เกี่ยวกับพวกมัน แต่การนอนหลับอยู่คือการไม่ให้เกียรติ
พยัคฆ์คีรีเดินเข้ามาอย่างผ่าเผย ก่อนจะเอ่ยกับพัศดี
“นักโทษที่ถูกจับเนื่องก่อความวุ่นวายในงานมงคลสมรสเชื้อพระวงศ์อยู่ที่ไหน”
“เชิญตามข้าน้อยมาเลยขอรับใต้เท้า”
พัศดีนำพยัคฆ์คีรีมายังคุกชั้นในสุด แทนที่มันจะเป็นคุกที่เข้มงวดที่สุด ทว่ามันกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น ด้านในมีเรือนรับรองตั้งอยู่ ที่นี่ถูกสงวนสิทธิ์ให้เชื้อพระวงศ์หรือเหล่าผู้มีพรสวรรค์ที่มีฝีมือเท่านั้น
คนมีพรสวรรค์ที่มากด้วยฝีมือ ขอเพียงไม่ก่อเรื่องร้ายแรงอย่างเช่นกบฏ หรือชั่วช้าจนยากที่ให้อภัยแล้ว ต่อให้พวกเขาทำผิดจนถูกจับมาเป็นนักโทษ พวกเขาก็ยังได้รับอภิสิทธิ์ แม้จะไม่ได้สบายเท่าข้างนอก แต่ก็สบายกว่านักโทษธรรมดาหลายเท่า
พัศดีสลายม่านอาคมอาณาเขตกันนักโทษหลบหนี ปล่อยให้หัวหน้ากรมองครักษ์อารักขาพระองค์ผ่านเข้าไป ก่อนจะร่ายม่านอาคมปิดอีกครั้ง