ย้อนชีวิตพิชิตเซียน - บทที่ 89 : ช่วยหลานสาวซันกู
บทที่ 89 : ช่วยหลานสาวซันกู
งานเลี้ยงวันเกิดของจินจื่อหยานับว่าผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แม้จะเกิดเรื่องราวขึ้นบ้าง แต่ทุกคนก็ยังคงอยู่ร่วมฉลองกันต่ออย่างสนุกสนาน แม้แรกๆจะหวาดกลัวซูอานอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีอันตรายอะไร ทุกคนก็ค่อยผ่อนคลายขึ้นมาก
งานเลี้ยงสิ้นสุดราวเที่ยงคืนพอดี และเวลานั้นใบหน้างดงามของจินจื่อหยาก็แดงก่ำด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ซูอานจึงต้องทำตัวเป็นพี่เลี้ยงดูแลจินจื่อหยาที่เมามายอย่างหนัก
“พี่ซูอาน ฉันไปนอนกับพี่ด้วยนะ!”
แม้จะรู้ว่าจินจื่อหยาพูดไปเพราะความเมามาย แต่ซูอานก็ถึงกับตอบไม่ถูกเช่นกัน
เขาเป็นถึงจักรพรรดิแห่งเซียนผู้ยิ่งใหญ่ พบเห็นหญิงงามมามายมายนับไม่ถ้วน แต่จินจื่อหยาก็ทำให้เขาหัวใจสั่นไหวได้ทุกครั้ง ซูอานไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาหลงไหลในตัวนางจริงๆ หรือเป็นเพราะนางคล้ายกับหญิงสาวในความทรงจำของเขากันแน่?
แต่เมื่อได้คำตอบว่า เป็นเพราะนางหน้าเหมือนกับเทพธิดาจื้อเจียว ซูอานก็รู้สึกเสียใจ..
“จื่อหยา.. เจ้าเมามากแล้ว ไปพักผ่อนเถิด!”
“ฉันไม่ไป.. พี่ต้องไปกับฉันด้วย”
ซูอานโอบกอดจินจื่อหยาด้วยความรู้สึกอบอุ่นใจ จนกระทั่งจินเฉิงหวู่เดินเข้ามาใกล้ ซูอานจึงได้ส่งจินจื่อหยาคืนให้กับเขา และเวลานี้ท่าทางของจินเฉิงหวู่ก็ดูเป็นมิตรกับซูอานขึ้นมาก
แต่สีหน้าของซูอานยังคงเรียบเฉยเช่นเคย เขาไม่สนใจว่าจินเฉิงหวู่จะรู้สึกกับตนเช่นใด เพราะหากเขาต้องการจินจื่อหยา ใครก็ไม่อาจหยุดเขาได้!
หลังจากนั้น ซูอานก็ขับ Aston Martin Lagonda ที่ยึดมาจากตี้เตากลับไป ในขณะที่ซันกูขับ Lincoln ของผู้เฒ่าเฉินกลับไป และทั้งคู่ก็มุ่งหน้าสู่เจียงโจว
….
ทันทีที่กลับเข้าไปในบ้าน เสี่ยวหลงก็เหาะออกมาต้อนรับซูอานด้วยสีหน้าดีอกดีใจ ในขณะที่ซันกูได้แต่ตกตะลึงและตกใจ
“มะ.. มังกร!!”
ซันกูร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ ตื่นเต้น ระคนหวาดกลัว..
ซูอานขมวดคิ้วพร้อมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจ “เหตุใดเจ้าต้องตกใจกลัวถึงเพียงนี้? นี่ก็แค่มังกรที่ทำจากหยกเท่านั้น หาใช่มังกรจริงๆไม่ มันไม่ต่างจากของเด็กเล่นด้วยซ้ำไป..”
ซันกูพยายามเรียกคืนสติของตนเองกลับมา แต่ยังคงจ้องมองเสี่ยวหลงด้วยความรู้สึกหวาดกลัว และเหงื่อเม็ดโตก็ผุดขึ้นมาเต็มใบหน้าของเขา
“เวลานี้เจ้าเองก็เข้าสู่เส้นทางบ่มเพาะตนแล้ว เหตุใดจึงตกใจกลัวอะไรง่ายๆเช่นนี้ ช่างน่าขายหน้านัก!”
ซันกูได้แต่ยืนหน้าแดง แต่ก็ไม่กล้าโต้เถียงซูอาน เพราะตนเองก็เป็นเพียงแค่บ่าวรับใช้ของเขาเท่านั้น
ซูอานเปลี่ยนเรื่องคุยทันที “ซันกู เจ้าช่วยไปหาซื้ออัญมณีน้ำดีและบริสุทธิ์ให้ข้าที เวลานี้ข้ายังมีเงินทองไม่มากพอ”
ซันกูตอบกลับไปทันที “เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของบ่าวเอง!”
“เอาล่ะ.. ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็เข้าไปพักผ่อนได้แล้ว ข้าจะกลับไปฝึกฝนวิชาที่ห้องต่อ!”
พูดจบ.. ซูอานก็เดินเข้าไปในห้องนอนของตนเอง หลังจากปิดประตูห้องเรียบร้อยแล้ว เขาก็ขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนเตียง และเริ่มฝึกฝนวิชา ในขณะเดียวกันในมือก็ถือบุหงาห้าสีเอาไว้ด้วย
เวลานี้ บุหงาห้าสีได้เบ่งบาน แต่ละกลีบก็มีสีสรรแตกต่างกันไป ทำให้บุหงาห้าสีนี้ดูเย้ายวนน่าหลงใหลยิ่งกว่าเดิม และเวลานี้ภายในห้องนอนของซูอานก็ถูกสีทั้งห้าของดอกไม้ปกคลุมไปทั่ว
พลังที่แข็งแกร่งของบุหงาห้าสีอบอวลไปทั่วทั้งห้องเช่นนี้ ซูอานย่อมไม่ปล่อยให้สูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์เป็นแน่ เขาเริ่มหมุนจุดตันเถียนภายในท้องน้อยของตนเอง และใช้วิชาคัมภีร์เก้าสวรรค์ดูดเอาพลังชีวิตเหล่านั้นเข้าไปในร่างอย่างรวดเร็ว
และเวลานี้จุดตันเถียนที่กว้างใหญ่ดั่งมหาสมุทรที่สงบนิ่งของซูอาน ก็เริ่มปั่นป่วนขึ้นอีกครั้ง พลังชีวิตที่ถูกดูดซับเข้าไปถูกแปรเปลี่ยนให้เป็นพลังปราณที่แข็งแกร่ง และเวลานี้จุดตันเถียนของเขาก็อัดแน่นไปด้วยพลังชีวิตมากมาย
บุหงาห้าสียังคงเบ่งบาน และพลังชีวิตก็ถูกปลอดปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง ซูอานยังคงดูดซับเอาพลังชีวิตทั้งหมดเข้าไปในร่างของตนเอง จนกระทั่งจุดตันเถียนของเขาเริ่มอิ่มตัว และพลังชีวิตที่อยู่ภายในได้กลั่นตัวเป็นของเหลว ซึ่งหมายความว่าเขาพร้อมที่จะพัฒนาเข้าสู่ขั้นที่สูงขึ้นแล้ว
หลังจากสำเร็จขั้นรากฐานแล้ว ขั้นต่อไปก็คือขั้นโฮ่วเทียน ในขั้นนี้จะแบ่งออกเป็นทั้งหมดสี่ระดับด้วยกัน ซึ่งได้แด่ระดับเริ่มต้น ระดับกลาง ระดับสูงสุด และระดับสำเร็จขั้น
ส่วนวรุยุทธที่คนบนโลกนี้ฝึกฝนนั้น แบ่งแยกเพียงแค่สองขั้นคือขั้นปรมาจารย์ และขั้นสุดยอดปรมาจารย์ ซึ่งแต่ละขั้นก็จะแบ่งเป็นสี่ระดับเช่นกันคือ ระดับเริ่มต้น ระดับกลาง ระดับสูงสุด และระดับสำเร็จขั้น
ผู้ฝึกยุทธในระดับปรมาจารย์นั้น จะเทียบเท่ากับผู้บ่มเพาะในระดับกลางขั้นโฮ่วเทียน และผู้ที่อยู่ในขั้นนี้จะสามารถปลดปล่อยพลังภายในได้ในระยะไกลสองสามฟุต และสามารถใช้พลังภายในนี้สังหารศัตรูได้
แต่ถึงอย่างนั้น ก็น้อยนักที่ผู้ฝึกยุทธจะฝึกจนสามารถเข้าสู่ขั้นนี้ได้ อย่างมากก็เป็นแค่นักยุทธทั่วไปเท่านั้น และหากผู้ใดสามารถฝึกยุทธจนเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ได้ ย่อมต้องกลายเป็นที่นับถือของผู้คนในโลกของผู้ฝึกยุทธ
และผู้ฝึกยุทธจนเข้าสู่ระดับปรมาจารย์นั้น แม้แต่คนของทางการยังไม่กล้ามีเรื่องด้วย และด้วยเหตุผลนี้ทำให้ผู้ฝึกยุทธระดับปรมาจารย์กลายเป็นผู้ที่มีอำนาจบารมี และอิทธิพลไปในตัว
และด้วยเหตุนี้อีกเช่นกัน นักยุทธระดับปรมาจารย์จึงมักเข้าไปทำงานในกองทัพ หรือไม่ก็เปิดสำนักถ่ายทอดวิชาสร้างทายาทรุ่นใหม่ขึ้นมาแทน
ส่วนระดับสุดยอดปรมาจารย์นั้น เรียกได้ว่าหาแทบไม่พบ หรือหากมีก็ยากที่จะพบเจอได้ เพราะผู้ที่ฝึกถึงขั้นนี้นั้นดวงจิตจะอยู่เหนือปุถุชนคนธรรมดาทั่วไป จึงไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก และมุ่งมั่นอยู่เพียงแค่เรื่องฝึกฝนวิชาของตนเองเท่านั้น
ซูอานยังคงนั่งขัดสมาธิ และดูดซับเอาพลังชีวิตจากบุหงาห้าสีเข้าไปอย่างต่อเนื่อง เขาต้องการที่จะเข้าสู่ระดับเริ่มต้นขั้นโฮ่วเทียนให้ได้ เพราะหากเขาแข็งแกร่งขึ้นมากกว่านี้ ก็จะยิ่งมั่นใจมากขึ้น..
แต่ถึงอย่างนั้น จุดตันเถียนของซูอานก็ไม่เอื้ออำนวย เพราะเวลานี้ไม่สามารถรอบรับพลังชีวิตได้มากกว่านี้อีกแล้ว ส่วนกลีบทั้งห้าของบุหงาห้าสีก็เริ่มซีดเซียวแล้วเช่นกัน
ซูอานจึงได้แต่ลืมตาขึ้นพร้อมกับถอนหายใจอย่างนึกเสียดาย..
ในเมื่อไม่มีทางเลือก ซูอานจึงได้แต่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน และคงต้องรอจนกว่าเขาจะสามารถสร้างค่ายกลกักเก็บพลังชีวิตได้สำเร็จ
หลังจากที่ฝึกวิชาเสร็จแล้ว ซูอานจึงเดินออกมาจากห้องนอน แต่กลับพบว่าซันกูยังคงไม่กลับไปพักผ่อนที่ห้องของตน แต่กลับนั่งสูบบุหรี่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่เพียงลำพัง
ซูอานเห็นเช่นนั้นจึงอดที่จะถามออกไปไม่ได้ “เฒ่าซัน.. เจ้ามีเรื่องไม่สบายอกสบายใจงั้นรึ?”
“เอ่อ.. บ่าวจัดการเองได้!”
ซันกูมัวแต่นั่งเหม่อจึงไม่เห็นว่าซูอานเดินออกมาตั้งแต่เมื่อใด จึงได้แต่อ้ำๆอึ้งๆ แต่ซูอานอยู่กับซันกูมาระยะหนึ่งแล้ว เขาย่อมรู้จักซันกูดีว่าต้องมีบางสิ่งบางอย่างทำให้คนอย่างซันกูหนักใจ จึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ซันกู.. เวลานี้เจ้าเป็นบ่าวของข้า ยังจะกล้าปิดบังข้าอีกงั้นรึ?”
ซันกูรีบตอบกลับไปทันที “ไม่.. บ่าวไม่กล้า!”
“ถ้าเช่นนั้นก็พูดมา..”
“เอ่อ..”
ซันกูยังคงลังเล เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการที่จะปิดบังซูอาน แต่เมื่อสบสายตาดุดันของซูอานที่กำลังจ้องมองมา เขาก็ถึงกับเหงื่อตกและตัดสินใจพูดออกไป
“เวลานี้ครอบครัวของข้ากำลังถูกคนเล่นงาน..”
สีหน้าของซันกูเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันที ฝ่ามือทั้งสองข้างกำแน่น เส้นเลือดสีเขียวปูดโปนขึ้นที่ขมับทั้งสองข้าง เห็นได้ชัดว่าครอบครัวของเขากำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างมาก
ซูอานถึงกับงุนงงและไม่เข้าใจ ด้วยความแข็งแกร่งของซันกูเวลานี้ ไม่น่าจะมีผู้ใดกล้ามีเรื่องกับเขา นี่ย่อมหมายความว่าศัตรูของซันกูคงจะไม่ใช่นักยุทธธรรมดาทั่วไปแน่..
“เล่ามาให้ข้าฟังอย่างละเอียด..”
แววตาของซันกูปรากฏร่องรอยของความหวังขึ้นมาวูบหนึ่ง หากซูอานต้องการรู้เรื่อง ย่อมหมายความว่าเขายินดีที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ..
ซันกูสงบสติอารมณ์ จากนั้นจึงเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้ซูอานฟังด้วยแววตาโกรธแค้น “เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครึ่งเดือนก่อน…”
เมื่อครึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ซันกูได้รับการติดต่อขอความช่วยเหลือจากครอบครัว แต่ครั้งนั้นเขายังอยู่ที่บ่อโลหิตมังกร และไม่สะดวกที่จะออกจากที่นั่นในทันที เขาจึงต้องรอจนกระทั่งออกจากบ่อโลหิตมังกรกลับมาที่บ้าน
ซูอานนั้นมีสำนักสอนวรยุทธเป็นของตนเองอยู่ในหลินโจวหลายแห่ง และลูกชายของเขาก็ทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบอยู่ เหตุการณ์ทุกอย่างก็ดำเนินไปตามปกติเหมือนทุกๆวัน
จนกระทั่งเมือครึ่งเดือนก่อน ได้มีกลุ่มคนจากหลิงหนานบุกมาถล่มสำนักของเขาแห่งหนึ่ง และได้ทำร้ายลูกชายของเขาจนบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งยังทำลายป้ายสำนักของเขาทิ้งด้วย
ซันกูคับแค้นใจมาก หลังจากที่กลับจากบ่อโลหิตมังกร เขาจึงหาโอกาสกลับไปจัดการสะสางเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ในเวลานั้นซันกูก็ได้เปิดจุดตันเถียนของตนเองแล้ว และเริ่มเข้าสู่เส้นทางบ่มเพาะพลัง จึงนับว่ามีฝีมือเหนือกว่าชาวหลิงหนานกลุ่มนั้น
ชาวหลิงหนานกลุ่มนั้นเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกยุทธเริ่มต้นเท่านั้น จึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซันกู และถูกซันกูทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บกลับไป..
ซันกูคิดว่าเรื่องราวคงจะจบลงเพียงเท่านั้น เขาจึงได้กลับมาร่วมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของจินจื่อหยา แต่ในช่วงท้ายที่งานเลี้ยงใกล้จะเลิกนั้น เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากครอบครัว และข่าวนั้นก็ไม่ต่างจากสายฟ้าที่ฟาดลงกลางศรีษะของเขา
สำนักทั้งสามแห่งของเขาถูกคนถล่มจนราบ ลูกชายทั้งสามคนของเขาถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส และอาจถึงขั้นพิการตลอดชีวิต ส่วนลูกชายคนโตของเขาเสียชีวิตในระหว่างที่ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล..
ในขณะที่ลูกศิษย์ของเขาต่างก็ได้รับบาดเจ็บกันถ้วนหน้า และความพยายามทั้งหมดในชีวิตที่ผ่านมาของเขาก็คงต้องสูญเปล่า..
แต่นั่นยังไม่ทำให้เขาโกรธแค้นเท่ากับเรื่องที่ศัตรูได้ลักพาตัวหลานสาวทั้งสองคนของเขาไป และได้เรียกค่าไถ่ถึงสองร้อยล้านหยวน..
เวลานี้ใบหน้าของซันกูหมองคล้ำอย่างมาก ผมบนศรีษะขาวโพลนเพราะความคิดมาก..
หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากของซันกู ซูอานก็ถึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “ในเมื่อเจ้าเป็นคนของข้า ข้าจะสะสางเรื่องนี้ให้เจ้าเอง..”
สีหน้าของซันกูเปลี่ยนเป็นดีใจอย่างที่สุด เขาคุกเข่าลงตรงหน้าซูอาน พร้อมกับโขกศรีษะด้วยความซาบซึ้งใจ
“เจ้าลุกขึ้น! หากแม้แต่บ่าวของตนเองข้ายังไม่สามารถปกป้องได้ ก็ไม่ควรหวังที่จะกลับไปเป็นเซียนอีกเลย..”
สีหน้าท่าทางของซูอานในขณะที่พูดประโยคนี้นั้น ช่างสง่างามราวกับจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่
แต่ในระหว่างนั้นซันกูก็เอ่ยถามออกไปว่า “คุณชาย ท่านเข้าสู่ขั้นต่อไปได้แล้วหรือยัง?”
“การเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียนไม่ง่ายอย่างที่คิด ข้ายังมีพลังชีวิตไม่เพียงพอ..”
ซันกูเสนอที่จะถ่ายเทพลังชีวิตของตนเองให้ แต่ซูอานปฏิเสธ เพราะนั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะให้เขาเข้าสู่ขั้นต่อไปได้..
“เอาล่ะ.. พวกเราเดินทางไปหลินโจวตอนนี้เลย”
*****
[ฝากนิยายแปลอีกเรื่องของทีมงานนะคะ: จักรพรรดิ์เทพมังกร ]
จักรพรรดิเทพมังกร
(Dragon Emperor - Martial God)
ความเป็นอมตะของหลิงหยุนได้มลายหายไป.. ทำให้เขาตกลงมาสู่โลกมนุษย์ ในยุคที่เต็มไปด้วยความเสื่อมทรามอย่างที่สุด
จากนั้น.. หลิงหยุนจะค่อยๆ บ่มเพาะพลังในตัวเองทีละขั้น ทีละขั้น และไต่ลำดับขึ้นไปต่อกรกับสวรรค์ได้อย่างไร..
******