ตอนที่แล้วบทที่ 103 ผลสอบออกแล้ว!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 105 เป้าหมายที่ชัดเจนของจางเล่ย~!

บทที่ 104 เดินทางสู่เจียงโจว~


บทที่ 104 เดินทางสู่เจียงโจว~

จากนั้นพวกเขาทั้งสามจึงเดินไปที่ทางเข้า ของห้องรับรองและก็พบว่าห้องรับรองเต็มไปด้วยนักเรียนจนแทบจะไม่มีทางให้สอดแทรกเข้าไปทางด้านหน้าได้เลย

“เฮ้! พี่ชาย เกิดอะไรขึ้นที่นี่เขาแจกเงินกันหรือไง?” จางเล่ยสะกิดไหล่นักเรียนที่อยู่ด้านนอกสุดตรงหน้าเขาและถามด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ได้แจกเงินอะไรหรอก แต่ทุกคนกระตือรือร้นที่จะอยากรู้ผลคะแนนของตัวเองกันทั้งนั้น!” นักเรียนคนที่จางเล่ยถามตอบกลับอย่างรีบร้อน “ยิ่งไปกว่านั้นทางโรงเรียนได้ประเมินคะแนนที่จะสามารถสมัครเข้ามหาวิทยาลัยด้วย นี่ถึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนอยากจะรู้ เพราะฉะนั้นเลิกถามฉันได้แล้ว ฉันกำลังรีบ!”

“โอ้! การสอบเข้ามหาวิทยาลัย...” จางเล่ยส่ายหัวเล็กน้อย “การศึกษาที่มุ่งเน้นให้แข่งขันจนแทบจะฆ่ากัน!”

“งั้นก็ช่างมันเหอะ ฉันว่าพวกเราเช็กคะแนนเอาจากโทรศัพท์มือถือของฉันกันดีกว่า!” จางเล่ยส่ายหัวเล็กน้อยและหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าเสื้อและกดหมายเลขในการตรวจสอบคะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัย “ขอทราบหมายเลขบัตรสอบของคุณ...”  ก่อนที่เสียงตอบรับในโทรศัพท์จะพูดจบ จี้เฟิงก็พูดขัดจังหวะขึ้น “ไม่ต้องโทรหรอก ฉันไม่ได้บอกนายว่าจริงๆแล้วคะแนนของพวกเราได้รับการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว และการสมัครเขาเรียนในมหาวิทยาลัยที่พวกเราต้องการนั้นไม่มีปัญหาแน่นอน!”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นพวกเราก็ไปหาหัวหน้าอาจารย์ประจำชั้นของพวกเราเพื่อกรอกข้อมูลลงใบสมัครกันเลยดีกว่า!” ถงเล่ยกล่าวเบาๆ

เมื่อเทียบกับการตรวจสอบคะแนนแล้ว การกรอกใบสมัครนั้นง่ายกว่ามาก เพราะในห้องสำนักงานแทบจะไม่มีใครมากรอกใบสมัครเลย นักศึกษาที่ต้องการจะมาที่นี่ควรที่จะคิดเรื่องการสมัครเข้ามหาวิทยาลัยและวิชาเอกที่เหมาะสมกับพวกเขาที่สุดเสียก่อน

เมื่อจี้เฟิงมาถึงห้องสำนักงานเขาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆห้องเพื่อหวังว่าอาจจะเจอกับเซียวหยูซวน แต่แล้วเขาก็อดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ที่ไม่เห็นแม้แต่เงา แต่เมื่อเขามองไปยังถงเล่ยหญิงสาวที่สวยงามจนยากที่จะมีใครเทียบยืนอยู่ข้างๆเขาในเวลานี้  เขาจึงตัดสินใจที่จะเลิกคิดถึงผู้หญิงคนอื่นในทันที

“เฮ้! จางเล่ยทำไมนายถึงกรอกใบสมัครเข้ามหาวิทยาลัยในเจียงโจว?” เมื่อเห็นใบสมัครของจางเล่ยจี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ

“ฉันมาลองคิดดูดีๆแล้ว ฉันไม่อยากทิ้งเพื่อนแล้วไปเรียนที่หางโจวคนเดียวน่ะ” จางเล่ยยิ้มและกระซิบข้างๆหูจี้เฟิง “เจ้าบ้า ฉันจะบอกอะไรให้นะ แม้ว่านายจะมีเงิน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านายจะจีบหญิงได้ง่ายๆ หรือถึงจะมีก็มีแต่ผู้หญิงหัวสูงที่สนใจแต่เรื่องเงินเท่านั้น และการจีบผู้หญิงพวกนั้นมันก็ไม่ได้น่าสนใจเลยแม้แต่น้อย!”

“หมายความว่าไง?”  จี้เฟิงยังคงไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับการจีบสาวยังไง

“เอ้า ก็ทักษะการเล่นบิลเลียดที่สุดยอดของนาย นายยังไม่ได้สอนฉันซักที!” จางเล่ยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “แล้วนายไม่คิดบ้างหรือว่า การจีบสาวของฉันจะง่ายขึ้นมากขนาดไหนถ้าฉันได้เรียนรู้เทคนิคการเล่นบิลเลียดจากนาย?”

“ฮ่าฮ่าฮ่า~!” จู่ๆจี้เฟิงก็หัวเราะ จี้เฟิงเชื่อในเหตุผลที่จางเล่ยบอกเขา แต่เขาก็เชื่อว่าจางเล่ยต้องมีเหตุผลอื่นอยู่อีก แต่มันก็เป็นเหตุผลของเขา ถ้าเขาไม่อยากบอกถามไปก็คงไม่ได้คำตอบจริงๆจังๆมาอยู่ดี

อันที่จริงเหตุผลของจางเล่ยที่เขาต้องการจะสมัครเข้ามหาวิทยาลัยในเจียงโจวนั้นง่ายมาก แม้ว่าจางเล่ยจะเป็นคนชอบผูกมิตร มันจึงไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะหาเพื่อนใหม่ในสถานศึกษาใหม่ แต่เพื่อนสนิทที่รู้ใจอย่างจี้เฟิงนั้นคงหาที่ไหนไม่ได้ มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะไม่อยากไปหางโจวเพียงคนเดียว ในขณะที่จี้เฟิงกับถงเล่ยน้องสาวของเขาก็อยู่ในเจียงโจว และที่สำคัญถงไค่เต๋อพ่อของเขาได้บอกกับเขาให้พยายามมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจี้เฟิงไว้ ส่วนเรื่องที่เขาต้องการจะสมัครเข้ามหาวิทยาลัยในเจียงซูและเจ้อเจียงก็เป็นเพียงแค่หนึ่งในเป้าหมายของเขาเท่านั้น

อย่างไรก็ตามจางเล่ยรู้ดีว่าเป้าหมายและความเป็นจริงนั้นแตกต่างกัน

ยิ่งไปกว่านั้นความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจี้เฟิงไม่ได้เป็นเพียงเพื่อนสนิทธรรมดา แต่เป็นความสัมพันธ์ที่เปรียบได้ดั่งพี่น้องร่วมสายเลือดจนสามารถตายแทนกันได้ เพราะฉะนั้นแล้วการไปเจียงโจวกับเพื่อนรักและน้องสาวที่น่ารักของเขาก็ไม่เลวร้ายนัก เพราะถ้าวันไหนเขาอยากจะไปจีบสาวที่หางโจวก็ใช้เวลาในการเดินทางเพียงแค่สองสามชั่วโมงเท่านั้น

“แบบนี้ก็เยี่ยมไปเลย! พวกเราทุกคนได้อยู่ในเมืองเดียวกัน ในอนาคตจะต้องมีอะไรสนุกๆแน่นอน!” จี้เฟิงยิ้มอย่างอารมณ์ดี

..............

แม้ว่าสองเดือนถัดมาจะอยู่ในช่วงพักร้อน แต่จี้เฟิงก็ไม่ได้ว่างและชีวิตของเขาก็แฮปปี้มาก

นอกเหนือจากการออกไปช้อปปิ้งกับถงเล่ยในวันธรรมดาแล้ว จี้เฟิงยังใช้เวลาที่เหลือในการเดินเล่นในร้านลอตเตอรี่ไปทั่วเขตเมืองเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋า

ส่วนช่วงเย็นจี้เฟิงได้เริ่มเรียนรู้ความรู้ล่าสุด ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ที่น่าสนใจที่สุดของเขา!

ในกาแล็กซีแกมมา คอมพิวเตอร์มีความฉลาดและมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่สูงมากมานานแล้ว และแม้ว่าตอนนี้จี้เฟิงจะไม่รู้จักเทคโนโลยีเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มากนัก เพราะจนถึงตอนนี้ เขาได้สัมผัสกับคอมพิวเตอร์มากที่สุดก็แค่ช่วงเวลาในคาบเรียนคอมพิวเตอร์ของโรงเรียนเท่านั้น ถึงแม้จะมีร้านที่เปิดให้ใช้บริการคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต แต่เขาก็ไม่เคยได้เหยียบย่างเข้าไปเลยแม้แต่ครั้งเดียว

แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่จี้เฟิงพอจะรู้ นั่นก็คือโลกในยุคปัจจุบันยังไม่มีการใช้คอมพิวเตอร์อัจฉริยะในการควบคุมการทำงานทั้งหมดเหมือนที่กาแล็กซีแกมมาอย่างแน่นอน เรื่องของปัญญาประดิษฐ์นั้นยังอยู่ในระหว่างการศึกษาเท่านั้น

โดยไม่ต้องบอกจี้เฟิงก็รู้ว่าในความเป็นจริงนั้นกาแล็กซีแกมมามีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่าโลกมากกว่าสิบปีหรืออาจจะมากกว่านั้น และแน่นอนว่าในกรณีนี้จี้เฟิงจะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีเหล่านี้ด้วยความอดทนและต้องมีความตั้งใจเป็นอย่างมาก

จี้เฟิงมีความสนใจเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ยังมีเหตุผลหลักอีกอย่างหนึ่ง เขาคิดว่าในอนาคตอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์จะมีโอกาสเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก และถ้าหากเขาต้องการที่จะเริ่มต้นธุรกิจสักอย่างหนึ่ง อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

ในตอนนี้จี้เฟิงได้เรียนรู้ความรู้ส่วนใหญ่เกี่ยวกับระบบฝึกอบรมขั้นสูงแล้ว แต่สิ่งที่ขาดคือโอกาสเท่านั้น

และในตอนนี้เวลาสองเดือนก็ผ่านไป และในที่สุดก็มาถึงเดือนกันยายน การศึกษาในระดับมัธยมปลายของจี้เฟิงก็สิ้นสุดลงเช่นกัน และในเวลานี้จี้เฟิง ถงเล่ยและจางเล่ย ก็กำลังขึ้นรถไฟเพื่อที่จะเดินทางไปเจียงโจว

............

ในวันที่ 5 กันยายน บนรถไฟที่กำลังมุ่งหน้าไปเจียงโจว จี้เฟิงและถงเล่ยนั่งเคียงข้างกันในขณะที่จางเล่ยนั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม เขาเหล่มองจี้เฟิงและถงเล่ยสบตากันอย่างหวานหยดย้อยบ้างเป็นครั้งคราว และในที่สุดเขาก็หมดความอดทน เขาจึงตัดสินใจที่จะหลับตาลงและทำเหมือนกับว่าเขากำลังหลับ

จี้เฟิงและถงเล่ยอดไม่ได้ที่จะยิ้มให้กัน พวกเขานั่งพิงและอิงแอบกันอย่างอ่อนหวานและกระซิบคุยกันอย่างแผ่วเบา

“จี้เฟิง.. เราสองคนจะไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้เมื่อเราไปเรียนที่มหาลัย...” เสียงของถงเล่ยดูเศร้าเล็กน้อย

จี้เฟิงนั้นสมัครในสาขาการจัดการเศรษฐกิจ ของสหพันธ์มหาวิทยาลัยเจียงโจวในขณะที่ถงเล่ยสมัครในสาขาวิชาภาษาต่างประเทศ ทั้งสองไม่ได้อยู่คณะเดียวกันดังนั้นจึงทำให้ไม่มีเวลาได้พบเจอกันมากนักในอนาคต

สำหรับจางเล่ย เขาได้ข่าวมาว่าคณะที่มีผู้หญิงสวยๆมากที่สุดอยู่ในสาขาวิชาภาษาต่างประเทศ เขาจึงสมัครเข้าที่คณะนี้โดยตรง ทั้งจี้เฟิงและถงเล่ยต่างตกตะลึงและคิดไม่ถึงว่าผู้ชายคนนี้จะสามารถเข้าเรียนใน สหพันธ์มหาวิทยาลัยเจียงโจวได้ด้วยคะแนน 690 คะแนน เพราะที่นี่เรียกได้ว่าเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำที่มีไม่กี่แห่งของจีน

จี้เฟิงยิ้ม “ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเรายังมีเวลาอีกมากที่จะได้เจอกันในมหาวิทยาลัย แต่ถ้าเธอกลัวว่าเราจะไม่มีเวลาได้เจอกันจริงๆ ฉันสัญญาว่าฉันจะไปหาเธอแน่นอน อย่างน้อยก็อาทิตย์ละครั้ง โอเคมั้ย?”

“นายพูดเองนะ!” ถงเล่ยยิ้มทันทีที่ได้ยินคำพูดของจี้เฟิง และรอยยิ้มอันแสนหวานก็ฉายอยู่ในดวงตาคู่สวยของเธอ “ถ้าเธอไม่มาหาฉันตามที่พูด ภายในหนึ่งอาทิตย์ฉันจะไปคุยกับผู้ชายคนอื่น และจะไปเดตกับเขา!”

จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ถ้าเธอกล้าที่จะไปออกเดตกับผู้ชายคนอื่น....”

ก่อนที่จี้เฟิงจะพูดจบ ถงเล่ยพูดขัดจังหวะ “นายจะทำไม?”

“ฉันจะทำไมงั้นเหรอ?” จี้เฟิงยิ้ม “ฉันก็จะจัดการผู้ชายคนนั้นให้ไม่กล้ามายุ่งกับเธออีกเลย!”

“คิกคิก” เมื่อเห็นจี้เฟิงทำท่าทางกำหมัดชกออกไปในอากาศ ถงเล่ยก็หัวเราะคิกคักราวกับเสียงของกระดิ่งสีเงิน เสียงหัวเราะที่สดใสของเธอดึงดูดความสนใจของคนหนุ่มสาวหลายคนในบริเวณใกล้เคียง

“เฮ้! พวกคุณก็ไปเจียงโจวเพื่อไปเรียนมหาลัยใช่มั้ย?” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีใบหน้ามันเยิ้มเดินเข้ามาทักทายและถามขึ้น

จี้เฟิงสังเกตเห็นคนหนุ่มสาวเหล่านี้มาสักพักแล้ว ตั้งแต่ตอนที่จี้เฟิง ถงเล่ยและจางเล่ยขึ้นรถไฟมา เขาก็เห็นกลุ่มคนเหล่านี้โดยเฉพาะชายหนุ่มที่มีใบหน้ามันเยิ้ม เขาจ้องมองมาที่ถงเล่ยตาแทบไม่กะพริบ

แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ล้วนเป็นคนหนุ่มสาวจึงไม่แปลกที่จะจ้องมองสิ่งที่สวยงาม

เมื่อได้ยินคำถามของชายที่มีใบหน้ามันเยิ้มจากกลุ่มหนุ่มสาวเหล่านั้น จี้เฟิงก็พยักหน้า “ใช่ คุณก็เหมือนกันหรือ?”

“ใช่แล้ว” ชายผู้มีใบหน้ามันเยิ้มแสดงรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ แต่สายตาของเขาจับจ้องไปที่ถงเล่ย เขายิ้มและพูดว่า “ในเมื่อพวกเราทุกคนต่างก็ไปเรียนในเจียงโจว ฉันขอแนะนำตัวเองเลยแล้วกัน ฉันชื่อ อู๋จุ้นเจี๋ยจากผิงฉิง จะให้ฉันเรียกพวกคุณว่าอย่างไรดี”

ตั้งแต่วินาทีที่ถงเล่ยก้าวขึ้นรถไฟมา อู๋จุ้นเจี๋ยก็รู้สึกว่าหัวใจของเขาถูกขโมยไป ด้วยความงามที่ไม่มีใครเทียบได้ของถงเล่ยทำให้เขาแทบจะละสายตาจากเธอไปไม่ได้ อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเห็นว่าถงเล่ยหัวเราะอย่างมีความสุขอยู่ข้างๆจี้เฟิง อู๋จุ้นเจี๋ยก็รู้สึกไม่พอใจและอิจฉาขึ้นมาทันที

และในเมื่อตอนนี้เขาสามารถหาเรื่องคุยเพื่อแทรกแซงได้แล้วเขาจะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปได้อย่างไร?

“จี้เฟิง!” จี้เฟิงตอบด้วยเสียงสงบนิ่ง จี้เฟิงมองเห็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของชายชื่ออู๋จุ้นเจี๋ยคนนี้อย่างชัดเจน เขาจึงคิดในใจว่าเขาจะไม่มีทางเปิดโอกาสให้ชายคนนี้ได้เข้าใกล้ถงเล่ยโดยเด็ดขาด!

“แล้วหญิงสาวที่สวยงามคนนี้จะให้ฉันเรียกเธอว่าอะไร?” อู๋จุ้นเจี๋ยอดไม่ได้ที่จะถามเจาะจงไปยังถงเล่ยเมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ตอบคำถามแรก

อย่างไรก็ตามถงเล่ยไม่แม้แต่จะมองไปทางอู๋จุ้นเจี๋ย เธอทำเพียงแค่นั่งอยู่ข้างๆจี้เฟิงโดยมองทุกอย่างรอบตัวราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ความจริงแล้วถงเล่ยเป็นคนนิสัยเย็นชาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว เพราะสมัยที่เธอเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายเธอก็ถูกเพื่อร่วมชั้นเข้าใจผิดคิดว่าเธอเป็นคนมีบุคลิกที่เย่อหยิ่งและเย็นชา แต่ที่จริงแล้วถงเล่ยเธอเปรียบเสมือนดอกลิลลี่ที่บริสุทธิ์และเงียบสงบซึ่งมีความเป็นตัวของตัวเอง สูงส่งและมีเกียรติ

เมื่อเห็นว่าตัวเองถูกเพิกเฉย ใบหน้าของอู๋จุ้นเจี๋ยก็ดูน่าเกลียดเล็กน้อย แต่เขาต้องพยายามรักษาหน้าไม่ให้ตัวเองหน้าแตกต่อหน้าถงเล่ย เขาจึงส่งยิ้มให้กับถงเล่ย โดยที่ไม่สนใจว่าบรรยากาศรอบข้างเป็นอย่างไร

คิ้วของจี้เฟิงขมวดขึ้นทันที อู๋จุ้นเจี๋ยคนนี้ดูเหมือนจะไม่ยอมแพ้ไปง่ายๆ และการแสดงออกของเขามันเห็นได้ชัดเจนมากเกินไป

“จี้เฟิง? ใช่มั้ย? คุณสมัครเข้ามหาลัยไหนในเจียงโจวเหรอ? ใช่สหพันธ์มหาวิทยาลัยเจียงโจวหรือเปล่า หรือว่า เป็นมหาลัยเจียงโจวอุปถัมภ์?” อู๋จุ้นเจี๋ยถาม

จี้เฟิงเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย “แล้วคุณล่ะ?”

“เฮ้อ จะให้ฉันตอบตามจริงก็ยังไงๆอยู่ แต่ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ พอดีว่าฉันเป็นนักเรียนแนะนำที่ทางโรงเรียนเลือกส่งตัวไปเรียนที่สหพันธ์มหาวิทยาลัยเจียงโจวโดยตรง” อู๋จุ้นเจี๋ยตอบอย่างขัดเขินเหมือนไม่ค่อยเต็มใจที่ได้รับเลือก แต่การแสดงออกของเขาไม่ได้แสดงถึงความไม่เต็มใจและเขินอายเลยแม้แต่น้อยตรงกันข้ามกันด้วยซ้ำเพราะเขาเหมือนจะพออกพอใจมาก และเห็นได้ชัดว่าเขาภาคภูมิใจสุดๆที่ได้เข้าเรียนที่สหพันธ์มหาวิทยาลัยเจียงโจว

จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย “อ่าหะ..”

“แล้วคุณล่ะ หรือว่าจะเป็น ปวส.ของเจียงโจว?” อู๋จุ้นเจี๋ยหัวเราะและถามอย่างดูถูก

ในตอนนี้ไม่เพียงแต่ถงเล่ยเท่านั้นที่ขมวดคิ้ว แม้แต่จางเล่ยที่แกล้งหลับก็ลืมตาขึ้นทันที

ชื่อเต็มของที่นี่คือวิทยาลัยอาชีวศึกษาและเทคนิคอาวุโสเจียงโจว จริงๆแล้วที่เป็นวิทยาลัยเพราะว่ามีเพียงสาขาวิชาเดียวและถึงแม้จะมีชื่อเสียงมาก แต่เมื่อเทียบกับสถานศึกษาชั้นนำอย่าง สหพันธ์มหาวิทยาลัยเจียงโจวแล้ว เรียกได้ว่าห่างชั้นกันเลยทีเดียว

เห็นได้ชัดว่า อู๋จุ้นเจี๋ยจงใจถามแบบนี้เพื่อที่จะเยาะเย้ยจี้เฟิง

ก่อนที่จี้เฟิงจะได้ตอบอะไร จางเล่ยก็ยิ้มและพูดขึ้นว่า “นายเป็นนักเรียนแนะนำ? อ่าหะ.. ไม่เลวๆ!”

แม้ว่าจางเล่ยจะพูดออกไปแบบนั้นแต่ก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างนั้นจริงๆหรือเปล่า

“จริงๆมันก็ไม่มีอะไรมากหรอก พอดีว่าครอบครัวของฉันมีอิทธิพลในผิงฉิงและเจียงโจวนิดหน่อยน่ะ มันจึงสะดวกกว่าถ้าฉันจะไปเรียนที่เจียงโจว แม้ว่าตอนแรกทางโรงเรียนต้องการแนะนำฉันให้กับมหาลัยที่หยานจิงก็ตามที แต่ฉันก็ยังตัดสินใจเลือกไปเจียงโจวอยู่ดี!” อู๋จุ้นเจี๋ยกล่าวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ภาคภูมิใจ

“โอ้วว!!  มีอิทธิพลในเจียงโจวเลยหรือนี่แสดงว่าครอบครัวของคุณต้องมีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ไม่เบา! ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!” จางเล่ยอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาและแสร้งทำเป็นประหลาดใจและชื่นชม

“คุณก็พูดเกินไป อันที่จริงแล้วมันก็แค่เรื่องธรรมดาๆเท่านั้นเอง!” เมื่อเห็นการตอบรับของจางเล่ย อู๋จุ้นเจี๋ยก็ยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจ เขายืดอกขึ้นเล็กน้อยมองไปที่นักเรียนสองสามคนรอบตัวเขาจากนั้นก็มองไปที่จี้เฟิงและถงเล่ยและพูดขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “จี้เจิ้นกั๋วเลขาธิการคณะกรรมการพรรคเทศบาลนครเจียงโจว ทุกคนรู้หรือไม่ว่าครึ่งหนึ่งของตำแหน่งผู้นำประเทศเป็นของตระกูลจี้แห่งหยานจิง และลูกพี่ลูกน้องของฉัน เขาเป็นเพื่อนกับลูกชายคนเล็กของ จี้เจิ้นกั๋ว ฉันกับพวกเขาเราสนิทกันมากแทบจะเรียกได้ว่าตายแทนกันได้ และทั้งหมดที่ฉันพูดมาฉันหวังว่าพวกคุณน่าจะพอนึกภาพออกนะ?”

...จบบทที่ 104~❤️

❤️

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด