Ep.500 - ได้รับการยอมรับ
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.500 - ได้รับการยอมรับ
วันต่อมา ฉินเฟิงกับไป๋หลีมุ่งหน้าไปยังหุบเหวตอนเหนืออีกครั้ง ตอนนี้เขากลายเป็นแขกประจำของที่นี่ไปแล้ว เกรงว่าหากวันไหนฉินเฟิงไม่มา หยางเป่ยคงรู้สึกแปลกใจ
“มิสเตอร์ฉิน คุณแวะมาอีกแล้ว รอสักครู่ ฉันจะเปิดประตูให้คุณเดี๋ยวนี้”
ฉินเฟิงมาตั้งแต่เช้า แต่ก็ยังมีคนมาก่อนเขา แต่รวมกันได้แค่ 5 คนเท่านั้น
ทว่าเนื่องจากความสำเร็จของฉินเฟิง เลยเป็นธรรมดาที่หยางเป่ยจะยอมเปิดประตูให้แก่เขาทันที โดยไม่ต้องรอจนครบ 10 คน
อันที่จริงไม่ต้องกล่าวถึงการรออีก 5 คน ต่อให้ต้องรออีกกว่า 50 คน หากฉินเฟิงมา หยางเป่ยย่อมยินดีเปิดให้เขาเข้าไปทันที เพราะเทียบกับฉินเฟิงแล้ว ผลงานของ 50 คน ยังไม่เท่ากับเขาเพียงคนเดียว
ประตูเปิดออกอย่างรวดเร็ว ฉินเฟิง , ไป๋หลี และอีกสามคนก้าวเข้าไปข้างใน
แต่ที่ฉินเฟิงไม่รู้ก็คือ หลังจากเขาเข้าไป ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตามมา พวกเขาเฝ้ารอกว่า 20 นาที ถึงสามารถเข้าไปได้
คนกลุ่มนี้ มิใช่ใครอื่น เป็นกวงเว่ย
อย่างไรก็ตาม อีกสองคนที่มาจากพันธมิตรองค์กรมืด ทั้งสองใช้หน้ากากหนังมนุษย์ บวกกับเทคนิคเล็กๆน้อยๆเพื่อปกปิดร่างกายตน ตบตาหยางเป่ย
หยางเป่ยแม้เป็นเลเวล B แต่สองพันธมิตรมืดก็เป็นเลเวล B เช่นกัน มีความแข็งแกร่งเท่าเทียม ดังนั้นไม่น่าแปลกใจที่สามารถถูกตบตา ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ว่าทั้งสองถูกนำมาโดยกวงเว่ย
ดังนั้นหยางเป่ยเลยไม่คิดสงสัยอะไร นอกจากนี้เขายังรู้ถึงความไม่ลงรอยกันระหว่างฉินเฟิงกับกวงเว่ย
อีกด้านหนึ่ง
ทันทีที่ก้าวเข้ามา ฉินเฟิงกับไป๋หลีก็แยกกันไปละคนทาง
ฉินเฟิงในเวลานี้ ล่าสังหารด้วยความเร็วไม่มากนัก เขาค่อยๆเดินสำรวจ ลึกลงไปเรื่อยๆ
แต่ในสายตาของคนอื่นๆ เขาเดินเร็วมาก และยากนักสำหรับผู้คนเบื้องหลังที่จะตามได้ทัน
คนเหล่านี้แน่นอนย่อมค้นหาตำแหน่งของฉินเฟิง แต่เมื่อแกะรอยไปเรื่อยๆ กลับพบว่ามันมุ่งเป็นเส้นตรง ลึกเข้าไปในหุบเหวตอนเหนือ ทั้งระหว่างทางยังค้นพบถึงร่องรอยของการต่อสู้ ยิ่งลึกก็ยิ่งอันตราย
อย่างไรก็ตาม ในหมู่พวกเขามีผู้ใช้อบิลิตี้เลเวล B อย่างกวงเว่ย ด้วยพลังสมาธิอันแข็งแกร่งทำให้ไม่นาน เขาก็ค้นพบฉินเฟิง
กวงเว่ยระมัดระวังตัวมากขึ้น ลอบติดตามอย่างเชื่องช้า เขามั่นใจว่าฉินเฟิงไม่น่าเกินมือพวกตน แต่สิ่งที่กวงเว่ยไม่รู้ก็คือ ฉินเฟิงในปัจจุบัน แข็งแกร่งกว่าคนเดิมที่เขาเคยพบเจอ
“หือ?” ฉินเฟิงตระหนักได้ว่ามีพลังสมาธิกวาดเข้าหาตน และถอนออกทันที อีกฝ่ายทำทีคล้ายกับว่ากำลังค้นหาสัตว์ร้าย และบังเอิญเจอเขาโดยไม่ตั้งใจ
อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงกลับรับรู้ได้ถึงสถานะของอีกฝ่าย
เพราะโดยปกติแล้ว พลังสมาธิของแต่ละคน มันแตกต่างกัน และฉินเฟิงสามารถจดจำพลังสมาธิของผู้ที่เคยต่อสู้กับเขามาก่อนได้
‘เป็นกวงเว่ย’ เพียงสัมผัสได้ถึงพลังสมาธิ ฉินเฟิงก็จดจำอีกฝ่ายได้ทันที
‘ฉันไม่แปลกใจเลยที่เขาอยู่ในเมืองเป่ยหัวในตอนนี้ แต่ไม่รู้เหมือนกัน ว่าที่เข้ามายังหุบเหวตอนเหนือในวันนี้ จะมีเจตนาอะไรแอบแฝงรึเปล่า’
‘เป็นไปได้ไหมว่าลอบตามฉันมา?’
‘หึ หึ ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ อยากตามก็ตามมาได้เลย!’
กวงเว่ยเปิดใช้งานโล่พลังสมาธิของเขา เพื่อปกปิดตัวตน เขาคิดว่ามันน่าจะช่วยซ่อนตนจากฉินเฟิงได้ แต่แท้จริงแล้วฉินเฟิงยังคงตระหนักได้ถึงพวกเขา และล่วงรู้ทุกอย่างว่ากำลังทำอะไรอยู่
ยิ่งไปกว่านั้น สหายอีกสามคนของกวงเว่ย ฉินเฟิงสามารถมองเห็นพวกเขาได้อย่างชัดเจน และทั้งหมดล้วนเป็นคนที่ตนรู้จักดี
ในบรรดาคนเหล่านั้น สองคนจากพันธมิตรองค์กรมืด คือคนที่เคยลอบจู่โจมมู่จินในเมืองหมิงกวง --เป็นกู่ฉางกับฉีหยาน ซึ่งต่อมาถูกอบิลิตี้ของฉินเฟิงจนหลบหนีไป
หลังจากโดนอบิลิตี้ของฉินเฟิง ความแข็งแกร่งของทั้งสองก็ลดทอนลง เรื่องนี้ทำให้พวกเขารู้สึกรำคาญมาก และจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อซื้อวัตถุบางอย่างในการช่วยเพิ่มอายุขยัย
ดังนั้นคราวนี้ เมื่อกวงเว่ยเอ่ยปากจ้าง ทั้งสองเลยตอบตกลงทันที
และอีกหนึ่งคนที่เหลือ คือคนที่ฉินเฟิงเคยพบหลังจากมาถึงเมืองเป่ยหัวได้ไม่นาน บอดี้การ์ดของชุ่ยหยาง --- หลิวเยว่!
ชายคนนี้รู้จักกับกวงเว่ยมานาน มีมิตรภาพที่ดีต่อกัน ทั้งยังเคยติดหนี้บุญคุณกวงเว่ย ดังนั้นแม้กวงเว่ยกำลังทำผิดกฏ แต่อีกฝ่ายเป็นแค่เลเวล C หลิวเยว่เลยคิดว่านี่คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร และตัดสินใจตามมา
พวกเขายังคงอยู่ไกลจากฉินเฟิง เลยมิได้เห็นถึงรูปลักษณ์หน้าตาของฉินเฟิง และทั้งสามมิใช่ผู้ใช้อบิลิตี้ ดังนั้นไม่ทันตระหนักถึงสถานการณ์ ได้แต่เดินตามรอยเท้าเหยื่อ เฝ้ารอคอยโอกาสลอบโจมตี
ขณะเดียวกัน ฉินเฟิงในฐานะเหยื่อ บัดนี้แสยะยิ้มเย็นชา
ฉินเฟิงไม่คิดเก็บซ่อนรอยเท้า ตรงกันข้าม เขาเกิดความคิดดิ่งลึกเข้าไปในหุบเหวกว่าที่ควรจะเป็น
“เดินลึกไปข้างในอีกหน่อยแล้วกัน เผื่อเอาไว้ก่อน ถ้ามีคนอื่นบังเอิญอยู่ใกล้ๆ แล้วเห็นเหตุการณ์ต่อจากนี้ มันคงไม่ดี”
ว่าจบ ฉินเฟิงก็เดินลึกเข้าไปด้านในของหุบเหวตอนเหนือ
อีกด้านหนึ่ง กวงเว่ยและคนอื่นๆ ก็มีความคิดไม่ต่างกัน
“ใจเย็นก่อน อย่าเพิ่งลงมือ ตอนนี้ยังอยู่ใกล้กำแพงยักษ์ ถ้าผู้ใช้พลังคนอื่นๆเห็นเข้า มันจะไม่ดี”
“ไม่ต้องรีบร้อนหรอกน่า เพราะยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งเจอสัตว์ร้ายมากขึ้นเท่านั้น ถ้าเป้าหมายของนายไม่สามารถรับมือกับมันได้ เดี๋ยวเขาก็ยอมถอยกลับมาเอง ถึงเวลานั้นพวกเราก็ดักรอ และลอบโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว แค่นี้มันก็ตายอย่างไม่ต้องสงสัย”
“ฮ่าๆๆ ดูพวกนายพูดเข้าสิ เป้าหมายเป็นแค่เลเวล C ไม่ใช่รึไง กลัวอะไรกันขนาดนี้?”
“ถ้าเป็นเลเวล C ธรรมดาๆ ฉันจะตามพวกนายมาทำไม ช่วยตั้งใจหน่อยเถอะ อย่าคิดประมาทเชียว”
“โอเค โอเค นายเป็นเจ้าของงานนี่ งั้นพวกเราจะเชื่อฟัง”
พวกเขาเดินต่อไปอีกราวๆครึ่งชั่วโมง จนเวลานี้ สภาพแวดล้อมโดยรอบ ไม่หลงเหลือร่องรอยของผู้ใช้พลังคนอื่นๆอีกต่อไป
แต่ในเวลานั้นเอง ดวงตาของกวงเว่ยพลันเปล่งประกายสดใส
“เร่งฝีเท้าเร็วเข้า ดูเหมือนว่าเจ้าหมอนั่นจะบังเอิญปะทะกับราชันย์สัตว์ร้าย ในระหว่างที่เขากับราชันย์สัตว์ร้ายต่อสู้กัน พวกเราจะฉวยโอกาสโจมตีในตอนที่ไม่ระวัง”
“ไปเถอะ”
นอกเหนือไปจากกวงเว่ย ที่เหลืออีกสามคนล้วนเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณ
สองในสามประกบกวงเว้ยซ้ายขวา คว้าแขนเขา ช่วยพยุงตัว แล้วทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ระยะห่างจากฉินเฟิง มันแค่หนึ่งกิโลเมตรเท่านั้น ในขณะที่ความเร็วของผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล B น่าหวาดกลัวมาก ใช้เวลาเพียงสามลมหายใจก็มาถึง
และฉากเบื้องหน้า ปรากฏว่ามีคนๆหนึ่งกำลังต่อสู้กับราชันย์สัตว์ร้ายจริงๆ
และคนๆนั้น คือฉินเฟิง!
ฉินเฟิงเดิมไม่คิดจะปะทะกับราชันย์สัตว์ร้าย แต่ในตอนที่กำลังจะหลบเลี่ยงมัน จู่ๆเขาก็เกิดความคิดขึ้นมา ว่าพวกกวงเว่ยที่อยู่เบื้องหลัง กำลังจะตามมาฆ่าตนมิใช่หรือ? หากตนไม่ปล่อยโอกาสให้อีกฝ่าย มันคงไม่ยอมปรากฏตัวง่ายๆ และฉินเฟิงเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบอะไรยุ่งยากน่ารำคาญ!
ดังนั้น กล่าวได้ว่าราชันย์สัตว์ร้ายตัวนี้ มาได้ถูกจังหวะพอดี!
ราชันย์สัตว์ร้ายแข็งแกร่งจริงๆ มันเป็นถึงเลเวล C3 ร่างกายใหญ่โต 7 เมตร ลำตัวยาวกว่า 20 เมตร เป็นการดำรงอยู่ที่แทบไม่ต่างจากยักษ์
ฉินเฟิงถึงกับต้องใช้ออกด้วยเทคนิคมังกรไฟจากทั้งสองมือ เปลวเพลิงอันร้อนแรงแผดเผาสัตว์ร้ายตนนี้ จนก่อให้เกิดชั้นอากาศบิดเบี้ยว การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือดรุนแรง
และไม่นาน กวงเว่ยกับคนที่เหลือก็มาถึง
เมื่อเห็นฉินเฟิงกำลังต่อกรกับราชันย์สัตว์ร้ายอย่างสบายๆ ในหัวใจของกวงเว่ยกระตุกวูบ นี่เหลือเชื่อนัก เห็นได้ชัดว่าฉินเฟิงเป็นแค่เลเวล C และในฐานะมนุษย์เขาย่อมอ่อนแอกว่าสัตว์ร้าย นี่เขาไปเอาพลังมากมายขนาดนี้มาจากที่ใด?
ขณะเดียวกัน สีหน้าของกวงเว่ยว่าแย่แล้ว แต่สีหน้าของอีกสามคน แย่ยิ่งกว่า
“เอ่อ … กวงเว่ย นั่นคือเป้าหมายที่นายต้องการฆ่างั้นหรอ?” หลิวเยว่จ้องมองจากที่ห่างไกล เห็นฉินเฟิงกำลังเดินเล่นสบายๆ กดดันราชันย์สัตว์ร้ายด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
แม้เขาจะเคยเห็นฉินเฟิงสังหารสัตว์ร้ายกับตาตัวเองมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายฆ่าระดับราชันย์ ปัจจุบันดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของฉินเฟิง จะมากล้ำยิ่งกว่าที่หลิวเยว่จินตนาการเอาไว้
ทางฝั่งกู่ฉางกับฉีหยาน ทั้งสองร้องอุทานพร้อมกันอย่างกะทันหัน
“ที่แท้เป็นเขา!” ความทรงจำที่พบเผชิญกับศัตรูครั้งก่อน ยังสดใหม่อยู่ในใจจนถึงตอนนี้ เพราะหนึ่งในสหายผู้ใช้อบิลิตี้เลเวล B ของพวกเขา ได้ถูกอีกฝ่ายฆ่าตาย
ยังไม่พอ ด้วยดอกไม้แห่งการทำลายล้างของฉินเฟิง ยังทำให้กู่ฉางกับฉีหยานราวกับถูกสาป
การที่พวกเขาตัดสินใจรับภารกิจนี้ เป็นเพราะต้องการเม็ดเงินจำนวนมากมาถอนคำสาปที่ว่า
แต่เมื่อเห็นว่าเป้าหมายของภารกิจสังหารเป็นฉินเฟิง ทั้งสองก็บังเกิดความรู้สึกสิ้นหวังสุดบรรยาย!
กวงเว่ยกับหลิวเยว่หันไปมองทั้งสองพร้อมกัน
“อ่าว? นี่พวกนายก็รู้จักเขาด้วยหรอ?”