ตอนที่ 7 : 3 ปี กับอาคมกายทองคำ
ตอนที่ 7 : 3 ปี กับอาคมกายทองคำ
หลังจากที่พึ่งได้สังหารจอมยุทธระดับบัวภายในไป โจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยก็ยังคงวิ่งหนีต่อไป
เพราะกลัวว่าจอมยุทธอีกคนที่เหลือจะมาตามไล่ล่าพวกเขา
และนั่นเป็นครั้งแรกที่โจวฉวนจีใช้ดาบมังกรสีชาดด้วยพลังเกือบทั้งหมด เปลือกตาของเขาหนักอึ้ง และพร้อมจะหลับได้ทุกเมื่อ
ยังไงซะคู่ต่อสู้ของเขาก็คือจอมยุทธระดับบัวภายใน เขาต้องใช้สมาธิทั้งหมดเพื่อทำให้ดาบของเขาเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่มันส่งผลกระทบต่อภาระทางจิตใจมากเกินไป
หลังจากที่หนีไปได้กว่าครึ่งไมล์ เขาก็เกือบจะล้มลง แต่โชคดีที่เจียงฉือน้อยจับเขาได้ทัน
“เจ้าน้องชายตัวน้อย ไหวรึเปล่า? อยากให้ข้าแบกเจ้าไว้บนหลังมั้ย?”
เจียงฉือน้อยถามด้วยความกังวล ใจเธอแทบสลายเมื่อต้องเห็นร่างเล็ก ๆ ของเขาวิ่งอย่างสะโหลสะเหล
โจวฉวนจีโบกมือปัดก่อนจะพูดว่า “ไม่เป็นไร ข้ายังไหวอยู่”
แม้ว่าภายนอกจะเป็นแค่เด็ก 2 ขวบ แต่จิตวิญญาณภายในนั้นเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว แล้วเขาจะปล่อยให้เด็ก 6 ปีแบกเขาไปได้ยังไงกัน?
อีกทั้งเขายังสังเกตเห็นว่าขาของเจียงฉือน้อยสั่น เพราะงั้นเธอก็คงจะเหนื่อยมากเช่นกัน
และหลังจากที่พวกเขาเดินหน้าต่อไปได้ไม่กี่ร้อยเมตร สุดท้ายโจวฉวนจีก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไปก่อนจะนั่งลงและพักเหนื่อย
จอมยุทธปีศาจนั่นได้ตายไปแล้ว และกั๋วไป่หลี่ก็บาดเจ็บสาหัส ดังนั้นแล้วพวกเขาก็น่าจะปลอดภัยไปอีกสักพัก
เขาทำได้แค่ปลอบใจตัวเองด้วยการคิดแบบนั้น
และก็โชคดีที่กั๋วไป่หลี่ไม่ได้ไล่ตามพวกเขามา
หลังจากที่พวกเขาพักได้สักพัก ก็เริ่มออกเดินทางต่อไป
หลังจากนั้น 2 เดือนต่อมา
ในที่สุดทั้งคู่ก็หาที่ปักหลักได้เสียที
พวกเขายืนอยู่บนไหล่เขา เหนือขึ้นไปบนภูเขานั้นไร้ซึ่งต้นไม้ปกคลุม มีเพียงก้อนหินและวัชพืชมากมายปกคลุม และที่ตีนเขานั้นมีแม่น้ำสายเล็ก ๆ ที่คดเคี้ยวไปมาเหมือนงู ไล่ยาวไปตามเนินเขา และมีเพียงป่าไม้ที่ทอดยาวไปไกลถึงเส้นขอบฟ้า
โจวฉวนจีนำกระท่อมไม้ออกมาจากสุดยอดช่องเก็บของและพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “เอาล่ะ พวกเรามาอาศัยอยู่ที่นี่กันเถอะ!”
เจียงฉือน้อยกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจจนเกือบล้ม แต่โชคดีที่เขาจับเธอได้ทัน
เป็นเพราะพวกเขาสามารถพึ่งพาจิตดาบกระเรียนขาวและดาบมังกรสีชาดได้ ทั้งสองจึงไม่ได้เจอกับอันตรายใด ๆ อีกทั้งยังสามารถล่าสัตว์ได้ด้วยในบางครั้ง
อีกทั้งหลังจากที่ผ่านพ้นอุปสรรคมาได้ ดูเหมือนว่าโจวฉวนจีจะแข็งแกร่งมากกว่าแต่ก่อนนัก
จากนั้นเจียงฉือน้อยก็เริ่มจัดการทำความสะอาดบ้าน ส่วนโจวฉวนจีก็ออกไปเดินสำรวจรอบ ๆ แต่ก็พยายามให้อยู่ในระยะที่สามารถมองเห็นเจียงฉือน้อยได้
ภูเขาลูกนี้สูงเพียงไม่กี่ร้อยเมตรและหันหลังให้กับป่า เมื่อมองไปรอบ ๆ จากยอดเขานั้น สามารถเห็นเทือกเขาที่มีความสูงต่างกันมากมายทอดยาวต่อกันได้ และโชคดีที่ไม่พบร่องรอยของมนุษย์แต่อย่างใด
เจียงฉือน้อยรีบทำงานบ้านให้เสร็จ ก่อนจะรีบวิ่งขึ้นมาบนยอดเขาทันที
เธอรู้สึกตื่นเต้นไปหมด ก่อนจะจับมือน้องชายเอาไว้และพูดอย่างเร่งเร้ากับเขาว่า “เจ้าน้องชายตัวน้อย เจ้าสามารถสอนวิชาดาบให้ข้าได้แล้วใช่มั้ย?”
เจียงฉือน้อยมักกล่าวโทษตัวเองเสมอที่ให้โจวฉวนจีเป็นคนที่ปกป้องเธอ ดังนั้นแล้วเธอจึงอยากที่จะเรียนการใช้ดาบด้วย
แต่ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา ก็ยังไม่มีโอกาสได้เรียนเลยจนถึงตอนนี้
เขายิ้มแห้ง ๆ ให้ก่อนจะหยิบดาบไม้ออกมาจากสุดยอดช่องเก็บของ ระหว่างทางโจวฉวนจีแอบหยิบกิ่งไม้มาด้วย เพื่อที่จะได้เหลากิ่งไม้และเก็บไว้ให้เจียงฉือน้อยได้ใช้
แต่เมื่อจิตวิญญาณแห่งดาบวิเคราะห์ความสามารถในเส้นทางแห่งดาบของเจียงฉือน้อยให้ กลับพบว่าอยู่ในระดับทั่วไปเท่านั้น และเธอคงไม่สามารถที่จะประสบความสำเร็จในเส้นทางแห่งดาบได้มากนัก ต่อให้จะใช้เวลาฝึกทั้งชีวิตก็ตาม
อย่างไรก็ตาม โจวฉวนจีก็วางแผนที่จะสอนวิชาดาบกระเรียนขาวให้เพื่อที่เจียงฉือน้อยจะได้เอาไว้ใช้ปกป้องตัวเอง
ตามพื้นฐานพรสวรรค์ของเจียงฉือน้อย อาจจะต้องใช้เวลาถึง 10 ปีในการเรียนรู้วิชาดาบกระเรียนขาว
แต่โจวฉวนจีก็ไม่ได้กังวลแต่อย่างใด ในเมื่อเขาก็สามารถปกป้องเธอได้อยู่แล้ว
แม้ว่าเจียงฉือน้อยจะไม่ได้มีพรสวรรค์ในเส้นทางแห่งดาบ แต่เธอก็เป็นเหมือนผู้ใหญ่ในแง่ของการใช้ชีวิต แค่มีเธออยู่ข้าง ๆ เขาก็สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้แล้ว
เมื่อใดก็ตามที่เขาเห็นเจียงฉือน้อยคอยดูแลเขา ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความปลาบปลื้ม
โลกนี้มันช่างวิเศษซะจริง!
ถ้าเป็นในโลกก่อน การที่เด็กสาวอายุ 6 ปีจะมาเดินทางคนเดียวคงจะทำให้พ่อแม่เป็นห่วงแย่แน่
บางทีอาจจะเป็นเพราะปราณวิญญาณที่เจียงฉือน้อยมีเลยทำให้เธอทำตัวเหมือนเด็กอายุ 10 ปี
และเป็นเวลานานก่อนจะถึงยามค่ำ ทั้งสองคนกินอาหารก่อนจะต่อด้วยการฝึกดาบ
การฝึกยังคงต่อเนื่องยาวถึง 4 ชั่วโมงจนกระทั่งพลบค่ำ
เจียงฉือน้อยเริ่มจำการเคลื่อนไหวได้ 7 ท่า แม้จะไม่ใช่พัฒนาที่มากอะไร แต่เธอก็ยังรู้สึกตื่นเต้นสุด ๆ อยู่ดี
ในขณะที่ยังมีแสงอาทิตย์อยู่บ้าง ทั้งสองก็เข้าไปในป่าเพื่อเก็บฟืนแห้ง
และเมื่อตกค่ำ พวกเขาก็นั่งลงหน้ากองไฟพลางจ้องมองไปยังท้องฟ้า
เจียงฉือน้อยประคองแก้มของเธอด้วยมือทั้งสองข้างและจ้องมองไปบนท้องฟ้า ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความสงสัย “เจ้าน้องชายตัวน้อย พวกเราจะอยู่ที่นี่ตลอดไปงั้นหรอ?”
โจวฉวนจีตอบขณะที่กำลังกัดต้นขากระตายย่างอยู่ “ไม่ต้องกังวลหรอก ให้เวลาข้า 10 ปี หลังจากนั้นข้าจะพาเจ้ากลับไปเอง พอถึงตอนนั้นจะได้ไม่มีใครกล้ามารังแกพวกเราอีก”
โจวฉวนจีจะได้รับดาบในตำนานทุกปีที่เขาโตขึ้นจากกาชาสุ่มดวง เพราะงั้นแล้ว 10 ปีหลังจากนั้นพลังของเขาจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลแน่นอน
จุดประสงค์ของเขาไม่ใช่แค่การมีชีวิตอยู่ แต่เพื่อไปยังวังหลวงของมหาจักวรรดิโจวเพื่อที่จะล้างแค้นให้ได้ด้วย!
“10 ปี...จริงหรอ?”
เจียงฉือน้อยถามพลางจ้องมองไปอย่างว่างเปล่า ค่ำคืนนั้นมักปลุกความเหงาและความคิดข้างในของคนเสมอ เจียงฉือน้อยที่ทั้งต้องอยู่ตัวคนเดียวตั้งแต่เด็ก แล้วยังมีความคิดเป็นผู้ใหญ่อีก มันก็คงช่วยไม่ได้ที่เธอจะกลายเป็นแบบนี้
“ใช่ แต่อาจจะน้อยกว่าน้อยด้วยซ้ำ” โจวฉวนจีพยักหน้าตอบ
ช่างน่าเสียดายที่แม้จะมีสมบัติมากมายถูกเก็บไว้ในแหวนเก็บของและกระเป๋าเก็บของของจอมยุทธปีศาจนั่น แต่วิชาปราณพวกนั้นเป็นแบบปีศาจทั้งหมด และจิตวิญญาณแห่งดาบไม่อนุญาตให้เขาฝึกวิชาเหล่านั้นได้นอกเสียจากวิถีแห่งดาบ
แต่เขาก็ไม่ได้อยากที่จะสูญเสียจิตใจจากการฝึกวิชาเหล่านั้นเช่นกัน แต่เพราะงั้นแล้วเขาถึงยังไม่ได้เริ่มฝึกวรยุทธเลยจนถึงตอนนี้
โจวฉวนจียังคงหวังว่าเขาจะได้รับวิชาปราณ จะได้เริ่มฝึกฝนในเส้นทางแห่งจอมยุทธสักทีเมื่ออายุครบ 3 ปี
และเมื่อโจวฉวนจีเห็นว่าเจียงฉือน้อยเริ่มเศร้า เขาจึงเริ่มเล่าเรื่องตลกให้เธอฟัง และเธอก็ลืมความเศร้าที่มีไปในทันที เสียงหัวเราะของเธอนั้นราวกับเสียงระฆังสีเงินที่ดังก้องไปทั่วท้องฟ้ายามราตรี
และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทั้งสองเริ่มอาศัยอยู่บนเนินเขาแห่งนี้
เพื่อเป็นการระลึกถึงสถานที่แห่งนี้ โจวฉวนจีจึงได้ตั้งชื่อที่แห่งนี้ว่า เนินเขาจักรพรรดิกระบี่
สัตว์ป่าแถวนี้นั้นดุร้าย และอาจกล่าวได้ว่ามันดุร้ายเทียบเท่ากับปีศาจเลยทีเดียว แต่โชคดีที่สัตว์ทั้งหมดนั้นมีระดับต่ำเทียบเท่าจอมยุทธระดับรักษาปราณเท่านั้น จึงเป็นการดีที่จะใช้ฝึกขั้นแรกของเส้นทางแห่งจอมยุทธ
ทั้งสองฝึกฝนดาบทุกวัน และออกล่าไปทั่วภูเขาและทุกพื้นที่ ชีวิตของพวกเขาจึงไม่น่าเบื่อเท่าไหร่นัก
และแล้วเวลาก็ผ่านไป
ในช่วงหนึ่งที่เกิดพายุฝนฟ้าคะนองครั้งใหญ่ ฝนตกหนักมากจนกระท่อมไม้นั้นถล่มลงมา เจียงฉือน้อยตกใจกลัวจนน้ำตาไหล โจวฉวนจีจึงใช้ตัวเขาปกป้องเธอไว้จากสายฝน ก่อนที่เขาจะพาเธอไปที่ถ้ำเพื่อใช้เป็นที่พักแทน และคอยปลอบเธออยู่เรื่อย ๆ
นับแต่นั้นเป็นต้นมา เจียงฉือน้อยก็เริ่มมองเขาเปลี่ยนไป จากน้องชายกลายเป็นคนที่พึ่งพาได้คนหนึ่ง
และหลังจากที่กระท่อมไม้ถล่มลงมาเพราะห่าฝน เขาจึงสร้างอีกหลังขึ้นมาใหม่
พายุเเบบนั้นไม่น่าจะได้เห็นอีกในหลายปี อีกอย่าง พวกเขาก็อาศัยอยู่ในที่เปิดโล่งด้วย ถ้าอยู่ในป่า ก็ไม่รู้ว่าจะเจอแมลงมีพิษหรือสัตว์ดุร้ายแบบไหนที่รออยู่ในความมืดและจ้องจะฆ่าพวกเขาด้วย
…
ครึ่งปีหลังจากนั้น
เมื่อรุ่งสางมาเยือน พระอาทิตย์ค่อย ๆ ลอยขึ้นมาจากเส้นขอบฟ้า แสงสาดส่องลงมาพาดผ่านภูเขาและป่าไม้ โจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยกำลังฝึกกวัดแกว่งดาบกันอยู่
เจ้าชายที่เหินห่างจากบ้านนั้นส่วนใหญ่มักสอนดาบเจียงฉือน้อย เป็นเพราะเขาได้บรรลุวิชาดาบกระเรียนขาวแล้วจึงไม่จำเป็นที่จะต้องฝึกอีกต่อไป
“จากการวิเคราะห์พบว่าท่านเจ้าของดาบมีอายุครบ 3 ปีแล้ว ระบบกาชาเริ่มทำงาน!”
จู่ ๆ เสียงของจิตวิญญาณแห่งดาบดังขึ้นมาในใจ
โจวฉวนจีจึงชะงักมือขวาไว้ ก่อนจะหยุดฝึกทันที
ในสุดที่ก็มาแล้ว!
วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า ในที่สุดสิ่งที่เขาเฝ้ารอก็มาถึง
“เกิดอะไรขึ้น?” เจียงฉือน้อยถามอย่างสับสน เธอคิดว่าเขารู้สึกไม่ดีหรืออะไร
โจวฉวนจีโบกมือและพูดว่า “เจ้าฝึกต่อก่อนเลย เดี๋ยวข้าขอไปคิดเกี่ยวกับวิธีสอนเจ้าในอนาคตก่อนนะ!”
หลังจากที่พูดจบ เขาก็หมุนตัวไปรอบ ๆ
“อมิตพุทธ พระเจ้าช่วยลูกด้วย ได้โปรดขอให้รอบนี้เป็นวิชาปราณวรยุทธทีเถอะ!”
โจวฉวนจีภาวนาภายในใจ แม้ว่าดาบมังกรสีชาดจะทรงพลังแค่ไหน แต่เขาก็ไม่สามารถใช้มันได้อย่างเต็มที่หากไม่มีพลังวิญญาณ
“ติ๊ง! ยินดีด้วย ท่านเจ้าของดาบได้รับ [ระดับสัมฤทธิ์] ดาบคลื่นเหมันต์ อาคมกายทองคำ และยาเสริมพลังวัวป่า”
เสียงของจิตวิญญาณแห่งดาบดังขึ้นอีกครั้ง และเขาก็ตะลึงเล็กน้อย
โจวฉวนจีไม่ได้สนใจดาบคลื่นเหมันต์ที่มีระดับต่ำกว่าดาบมังกรสีชาดสักเท่าไหร่ เช่นเดียวกับยาเสริมพลังวัวป่า
แต่เขากลับสนใจอาคมกายทองคำ
ตามชื่อแล้วมัน...
อะไรเนี่ย!
นี่มันวิชาปราณที่ฝึกผ่านร่างกายไม่ใช่หรอ?
ที่เขาต้องการมันวิชาปราณสำหรับวิถีแห่งดาบนะ!