บทที่ 248
ไร้ซึ่งคำกล่าวใดๆออกจากปากของทั้งสอง ชายหนุ่มผมสีฟ้าพุ่งเข้าหาชายฉกรรจ์ด้านหน้าตวัดมือขวาผ่านลำคอของชายฉกรรจ์ศีรษะกระเด็นร่วงลงพื้นแต่ต้องแลกมาด้วยหน้าท้องที่ถูกจ้วงแทงด้วยมือขวา ในจังหวะนั้นเองชายหนุ่มผมสีฟ้าก็หันไปจ้องมองบนท้องฟ้าพร้อมกับเอ่ยวาจาออกมา
“น่าแปลกใจนักที่เจ้าเอาแต่เฝ้ามองหาได้เข้าช่วยเหลือเด็กน้อยผู้นี้”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไม่คิดว่ามังกรเช่นเจ้าจะยอมลดตัวมาเป็นสัตว์อสูรให้แก่เด็กน้อยนั่น น่าแปลกใจยิ่งนักมันอย่างนานแค่ไหนแล้วที่เจ้าไม่ได้กลับมาเยือนที่แห่งนี้สหายข้า”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าก็รู้ว่าเหตุใดข้าถึงต้องไปจากที่นี่ อย่ากล่าววาจาไร้สาระ หากเป็นคนทั่วไปข้าคงไม่ทำเช่นนั้น แต่เด็กคนนี้ต่างออกไป เจ้าก็รับรู้ได้ไม่ใช่รึ”
“แน่นอนข้าถึงมาที่นี่เพื่อรับตัวเด็กน้อยผู้นี้”
เสียงสะบัดมือดังแว่วร่างของเนี่ยฟงที่นอนแน่นิ่งก็จางหายไปพร้อมกับชายหนุ่มผมสีฟ้า ชั่วน้ำเดือดหม่าจวินและชุนหวูก็มายังจุดปะทะ ทั้งสองเห็นเพียงซากศพของคนผู้หนึ่งพร้อมกับศีรษะที่ขาดอยู่บนพื้น ไกลออกไปเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งตัวสั่นสะท้านนั่งก้มหน้านิ่ง ทั้งสองรีบเข้าไปตรวจสอบก็พบว่าเป็นหญิงสาวในรถม้านั้นเอง จากการสอบถามเบื้องต้นหญิงสาวกล่าววาจาออกมาวกวนไปมา ในที่สุดทั้งสองจึงตัดสินใจพาตัวนางกลับไปหาไช่กวน
ไช่กวนสะบัดมือขวานำขวดยาออกมารีบป้อนเม็ดยาให้แก่หญิงสาวผู้นั้น ชุนหวูรีบเอ่ยวาจาสอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากที่หญิงสาวนางนั้นกล่าววาจาเสร็จสิ้นทั้งสามก็ยืนนิ่ง ไม่รีรออีกาสีดาตัวใหญ่ปรากฏออกมา เป็นชุนหวูจี้สกัดหญิงสาวนางนั้นพร้อมกับอุ้มไว้บนบ่า ทั้งหมดรีบพุ่งทะยานขึ้นหลังอีกาตัวใหญ่มุ่งหน้ากลับแคว้นหลี่อย่างเร่งรีบ
เมื่อมาถึงเมืองเทียนเฟิ่งหลี่ทั้งสามรีบแสดงป้ายประจำตัวให้ทหารหน้าป้อม หลังจากนั้นก็ถูกพาตัวไปที่เขตพระราชวังที่อยู่ของอ๋องผู้ปกครองเมือง ภายในห้องโถงใหญ่ชายชราผมสีดอกเลานั่งอยู่บนหนังพยัคฆ์ขาวฟังเรื่องราวจากปากของหญิงสาวนางหนึ่งที่พวกหม่าจวินพามา หลังจากหญิงสาวกล่าวทักอย่างเสร็จสิ้นชายชราก็หัวเราะออกมาดังลั่น
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า พวกเจ้าเห็นถึงความสามารถของหลานข้าหรือยัง ทันทีที่เหยียบย่างเข้ามาที่นี่ก็สังหารเทพบัดซบนั้นได้แล้ว”
ไช่หวนรีบพาหญิงนางนั้นออกไปจากห้อง เมื่อไช่กวนเดินกลับมาเป็นชุนหวูที่เอ่ยวาจาสอบถาม
“นายท่านแล้วเราจะทำอย่างไรต่อไปดีขอรับ”
“พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ คงเหนื่อยกันมามากแล้ว ส่วนเรื่องของหลานชายข้าพวกเจ้าจงวางใจเถอะ ข้าทราบแล้วว่าคนที่พาหลายชายข้าไปคือผู้ใด ดีเสียอีกที่จะถูกคนผู้นั้นสั่งสอน”
“ท่านพอจะแจ้งพวกข้าได้หรือไม่ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร”
“เทพพยากรณ์จัวกุ๋ยกู่”
“แล้วคุณชายจะปลอดภัยหรือขอรับ”
“ข้ามั่นใจว่าหากหลายชายข้ากลับมา เขาคงจะแข็งแกร่งยิ่งการเดิมเป็นแน่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
บนเทือกเขาสูงเสียดฟ้า เมฆลอยปกคลุมไปทั่วบริเวณอันเป็นที่อยู่ของเทพภายในตำหนักหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่โดยสันโดษบนเขา เนี่ยฟงถูกพัดด้วยผ้าสีเทาที่เปียกชุ่มไปด้วยสนุนไพรบางอย่างภายในห้องพร้อมกับกลิ่นหอมจางๆของสมุนไพรนานาชนิด ด้านนอกชานบ้านมีชายชราผู้หนึ่งนั่งเดินหมากกับชายหนุ่มผมสีฟ้า
“ลุ่ยกงนานแค่ไหนแล้วที่เราทั้งสองไม่ได้เดินหมากเช่นนี้ แต่ฝีมือเจ้าหาได้ตกลงไปเลย”
“เหอะ เป็นเจ้าเสียมากกว่าที่คอยยุ่งเรื่องของชาวบ้านจนลืมวิธีเดินหมาก ว่าแต่เหตุใดเจ้าถึงได้ยังอยู่ที่นี่คอยรับใช้คนบัดซบนั้น”
“แน่นอนสิ่งที่ข้าทำไปหลายปีมานี่ก็เพราะคอยปกป้องเด็กน้อยผู้นี้ เจ้าเองก็หลบหนีออกไปจากที่นี่ก็เพราะเด็กน้อยผู้นี้เหมือนกันไม่ใช่รึ ท่านเทพมังกรลุ่ยกง ไม่ใช่สินามนี้เจ้าละทิ้งมันไปนานแล้ว”
“กล่าววาจาใดระวังปากของเจ้าด้วยจัวกุ๋ยกู่”
ตำหนักที่ทั้งสองนั่งอยู่ถึงกับสั่นสะเทือน
“ใจเย็นๆก่อนไอ้บ้าเอ๊ย”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ดูหน้าเจ้าสิ ว่าแต่เจ้าจะฝึกเด็กน้อยนั่นที่นี่รึ เจ้าช่างใจกล้าไม่น้อยที่นำเด็กนั่นมาที่นี่ หากพวกนั้นรับรู้ว่าแท้จริงแล้วเด็กนั่นเป็นใครเจ้าจะทำอย่างไร”
“เรื่องนั้นเจ้าวางใจเถอะ”
หลังจากนั้นไม่นานทั้งสองก็เงียบเสียงลงเดินหมากกันต่อ วันเวลาค่อยๆไหลผ่านถึงสามวันเนี่ยฟงก็เริ่มรู้สึกตัวเขาหันไปมองรอบด้านก็พบว่าตนนอนอยู่ในห้องพักห้องหนึ่งที่มีสมุนไพรหลากหลายชนิดอยู่รอบกาย เขาทดลองโคจรลมปราณแต่ทว่าก็มีบางอย่างติดขัดไปหมดจุดลมปราณทั่วร่างเสียหายอย่างรุนแรง เขาพยายามลุกขึ้นทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงแว่วดังออกมา
“ไอ้หนู เจ้านอนก่อนเถอะข้ามีบางอย่างจะกล่าวต่อเจ้า”
เนี่ยฟงหันไปมองตามทิศทางของเสียงก็พบเห็นคนสองคนเดินเข้ามา ผู้หนึ่งเป็นชายชราผมสีดอกเลามัดผมหางม้าสวมชุดสีเทาในมือถือกระดองเต่ามีอักษรสลักอยู่ ส่วนอีกผู้หนึ่งเขาจดจำได้ดีว่าเป็นผู้ใด
“เจ้านอนพักเถอะ ข้ามีบางอย่างจะกล่าวต่อเจ้า คนผู้นี้มีนามว่าจัวกุ๋ยกู่เป็นคนช่วยเหลือเจ้าและตาแก่ผู้นี้จะเป็นอาจารย์ของเจ้าคอยสอนวิชาให้แก่เจ้า ส่วนที่แห่งนี้นั้นเรียกว่าดินแดนแห่งเทพ เทพที่ตาและพ่อของเจ้ากำลังทำสงครามกันอยู่”
เนี่ยฟงได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นตกใจไม่น้อย
“ข้าเข้าใจเจ้าดีไอ้หนู แต่หากขืนปล่อยเจ้าไปพบกับตาและพ่อของเจ้าในตอนนี้ หากคนพวกนั้นทราบเรื่องถึงการกลับมาของเจ้า เจ้าคงตกตายไปภายในสองลมหายใจเป็นแน่ คนที่เจ้าสังหารไปก่อนหน้าเป็นเพียงเทพชั้นต่ำเพียงแค่นั้น เจ้าอยู่ที่นี่คอยรับการสั่งสอนจากข้าเถอะ ส่วนเรื่องพลังของสายเลือดของเจ้าข้าได้ทำการสะกดมันเอาไว้ แต่ระดับพรสวรรค์ของเจ้าข้าคงสะกดมันไม่ได้”
“แล้วข้าต้องทำอย่างไร”
“รอให้อาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีก่อนก็แล้วกันตอนนี้เจ้าพักผ่อนเถอะ อีกไม่เกินสองวันเจ้าคงหายดี”
เนี่ยฟงหาได้กล่าวสิ่งใดตอบทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับหลังจากนั้นก็เอนตัวนอนลงบนเตียง ทั้งสองคนเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ส่ายศีรษะก้าวถอยหลังเดินออกจากห้องไป
“ว่าแต่เจ้าจะสอนไอ้หนูนั่นอย่างไรกัน”
“ข้าคงสั่งสอนให้วิธีใช้พลังปราณของเทพเบื้องต้นให้แก่เขาเพียงเท่านั้น ส่วนวิชาต่างๆนั้นเขาต้องเรียนรู้เอง”
“เจ้าคิดจะส่งเขาไปที่นั่น”
“แน่นอน ถึงอย่างไรเขาก็ต้องมีเพื่อนบ้างจริงหรือไม่ หากคิดจะทำการใหญ่”
“บ้า เจ้ามันบ้า เจ้าคิดจะส่งเขาไปตายอย่างนั้นรึ”
“เหอะ เจ้าดูถูกระดับพรสวรรค์สีดำน้อยไปเสียแล้ว”
ลุ่ยกงได้ยินเช่นนั้นก็แสยะยิ้ม
“เจ้าคิดว่าไอ้หนูนี่จะไปถึงขั้นไหนกัน”
“ข้าก็คิดไม่ออกเช่นกัน เพราะผู้มีระดับพรสวรรค์สีดำน้อยนักที่จะมีชีวิตรอดจากการกวาดล้างในอดีต หวังว่าเด็กน้อยผู้นี้จะมีความสามารถตามคำทำนาย”
“คำทำนายใดกัน”
“หนทางช่างยากลำบากยิ่งนักรอบกายมีแต่ผู้คนล้มตาย เลือดสีแดงฉานจะย้อมไปทั่วแผ่นดินผู้มีอำนาจสูงสุดจะร่วงหล่นกลายเป็นเถ้าธุลี เสียงร้องของมังกรจะดังสนั่นไปทั่วท้องฟ้าประชาชนทั่วทั้งแผ่นดินน้อมรับก้มกราบลงพื้น”
ผ่านไปสองวันร่างกายของเนี่ยฟงก็หายดีเป็นปกติ เมื่อทดสอบโคจรลมปราณก็พบว่าทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ ดาบในจุดตันเถียนยังคงมีเป็นเช่นเดิมหาได้มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง ไม่นานจัวกุ๋ยกู่ก็ก้าวเดินเข้ามาในห้อง เนี่ยฟงลุกขึ้นเดินหมายคารวะก็ถูกซัดฝ่ามือขวาเข้าไปที่หน้าอกอย่างถนักถนี่ เปรี้ยง เนี่ยฟงมองเห็นร่างของตนอยู่ที่เดิมเพียงแต่ว่าตนเองกระเด็นออกมาจากร่างหลังจากนั้นก็หมดสติลง ทันทีที่ลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตนอยู่ในห้องมืดอีกครั้ง พบเห็นชายอีกคนยืนจ้องมองอยู่หลังจากนั้นชายผู้นั้นก็พุ่งทะลุร่างของเนี่ยฟงไปพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนใช้มือทั้งสองจับกุมไปที่ศีรษะของตนไม่นานก็หมดสติลงอีกครั้ง
เสียงเอ่ยวาจาดังแว่วออกมาพร้อมกับรู้สึกมีบางอย่างสัมผัสใบหน้า เมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตนเองอยู่ในห้องขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่รอบด้านเห็นเป็นเพียงผนังหิน
“ไอ้หนูเจ้าตื่นแล้วอย่างนั้นรึ รู้สึกอย่างไรบ้าง”
“ข้ารู้สึกบางอย่างในศีรษะขอรับ ว่าแต่ตอนนี้ข้าอยู่ที่ไหนกันขอรับ”
“คุกที่คุมขังนักโทษของเหล่าเทพ หรือที่เรียกว่าลานประลองแห่งความตาย ผู้ที่แข็งแกร่งถึงจะมีโอกาสได้ออกไปจากที่นี่”
“แล้วข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เหตุใดข้าถึงมาอยู่ที่นี่กัน ไม่ใช่ว่าข้าจะต้องฝึกวิชาไม่ใช่หรือขอรับ”
“ที่นี่แหละที่เจ้าจะต้องฝึกวิชา ส่วนเหตุผลเมื่อเจ้าออกไปจากที่นี่เจ้าก็สอบถามตาแก่จัวกุ๋ยกู่เองก็แล้วกัน อีกอย่างหลังจากนี้เจ้าต้องช่วยเหลือตัวเองแล้ว ข้าและหลิงฉีคงออกมาช่วยเหลือเจ้าไม่ได้”