บทที่ 98 ผู้กองฉินซัวเหริน
บทที่ 98 ผู้กองฉินซัวเหริน
ซูเฉาเริ่มวิตกกังวลในทันที เขารู้อยู่แก่ใจว่าลูกชายของเขาเคยชินกับการที่ไม่ต้องเกรงกลัวกฎหมายตั้งแต่ยังเด็กเพราะเขามีพ่อเป็นถึงรองผู้บริหารประจำเขต เขาจึงทำตัวราวกับว่าเขาสามารถทำทุกอย่างที่ต้องการได้ในหมางซือนี้
แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป เขาไม่ควรที่จะจัดการกับลูกชายและลูกสาวของถงไค่เต๋ออย่างโจ่งแจ้ง การมีเรื่องกับผู้มีอิทธิพลควรกระทำด้วยความเงียบเชียบและรอบคอบอย่างที่สุด การที่ซูหม่าทำแบบนี้ก็ไม่ต่างจากการรนหาที่ตาย
“ไม่! ฉันจะไม่มีทางปล่อยให้ลูกชายเพียงคนเดียวของฉันต้องรนหาที่ตายอย่างแน่นอน!” ซูเฉากัดฟันและเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องทำงานของเขาด้วยความวิตกกังวล หลังจากผ่านไปนานเขาก็พูดขึ้น “เรายังสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้อยู่! ตราบใดที่สามารถทำให้จางเล่ยตกเป็นผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมได้ ไม่ว่ายังไงถงไค่เต๋อต้องออกโรงช่วยลูกชายอย่างแน่นอน แล้วทีนี้ฉันก็จะได้รู้ว่าเส้นสายและอำนาจของแกจะยิ่งใหญ่พอที่จะช่วยเหลือลูกชายที่เป็นฆาตกรได้หรือไม่ และฉันจะคอยดูว่าจะมีใครหน้าไหนที่กล้าพอจะเสนอตัวออกมาช่วยเหลือลูกชายที่เป็นฆาตกร!”
เมื่อมาถึงจุดนี้เขาจึงรีบหยิบโทรศัพท์ออกมา.. “อาฉันมีเรื่องจะรายงาน...”
หลังจากที่ซูเฉาวางสายไปเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาพร้อมกับแสดงสีหน้าเยาะเย้ย “ถงไค่เต๋อ เว้นแต่ว่าแกจะมีคนหนุนหลังระดับประเทศไม่เช่นนั้นก็อย่างหวังเลยว่าจะมีใครกล้ายื่นมือมาช่วยเหลือแกในครั้งนี้!”
“อืม... ตอนนี้ฉันต้องไปจัดการสะสางเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ฉันจะปล่อยให้ซูหม่าจัดการตามอำเภอใจไม่ได้อีก!” ใบหน้าซูเฉาตึงเครียดขึ้น แม้ว่าลูกชายของเขาจะเป็นคนสร้างโอกาสครั้งนี้ขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ซูหม่าในเวลานี้บ้าคลั่งและประมาทเกินไป เขาไม่รู้ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากเขาฆ่าคนในห้องสอบสวนขึ้นมา มันจะทำให้เรื่องทั้งหมดยุ่งเหยิงและลำบากมากขึ้น
.............
ในสถานีตำรวจสาขาซีกวน จี้เฟิงและจางเล่ยต่างถูกนำตัวแยกไปที่ห้องสอบสวนคนละห้อง
ผู้กองฉินร่างอ้วนมาที่ห้องสอบสวนเป็นการส่วนตัว เขานั่งลงฝั่งตรงข้ามกันกับจี้เฟิง พร้อมกับมีตำรวจอีกสี่นายยืนอยู่ที่ด้านหลังของเขา
“น้องชาย เธอชื่ออะไร?” ผู้กองฉินถามอย่างเย็นชา “ยังเด็กอยู่เลยทำไมถึงลงมือฆ่าคนโดยไม่มีเหตุผลแบบนี้?”
“ผมฆ่า?”
จี้เฟิงมองไปที่ผู้กองอ้วนแล้วยิ้มเล็กน้อย “ผมจะไปฆ่าคนโดยที่ผมไม่รู้เรื่องได้ยังไง?”
“ฉันถามแก ไม่ใช่ให้แกมายอกย้อน!!” ผู้กองฉินร่างอ้วนตบโต๊ะอย่างแรงพร้อมกับจ้องเขม็งไปที่จี้เฟิง จากนั้นเขาก็แสยะยิ้มแล้วพูดว่า “เด็กแบบแกนี่คงไม่รู้จักวิธีคุยกับผู้ใหญ่อย่างมีมารยาทสินะ แกคงไม่รู้ว่ากำลังคุยอยู่กับใคร ฉันขอแนะนำตัวเองหน่อยก็แล้วกัน ฉันชื่อฉินซัวเหริน เป็นผู้กองและหัวหน้าทีมอาชญากรรมของที่นี่ และสิ่งสำคัญที่แกต้องรู้ไว้ ที่นี่คือห้องสอบสวนของฉัน ไม่เคยมีใครกล้าต่อปากต่อคำกับฉันแล้วจะรอดออกไปได้ แต่ถ้าแกไม่เชื่อแล้วอยากจะพิสูจน์ จะลองดูก็ได้นะ!”
“ฉินซัวเหริน? สัตว์ร้าย?” จี้เฟิงเลิกคิ้วขึ้น “มันเป็นชื่อที่เท่ดีนะครับ ดูโหดเหี้ยมดี แต่ในเมื่อมันเป็นสัตว์ร้าย มันก็ไม่ใช่มนุษย์น่ะสิครับ ใช่มั้ยฮะ?”
“ไอ้เด็กเวร มึงกล้าล้อชื่อกูงั้นเหรอ?” ฉินซัวเหรินสติหลุดจนเผลอสบถออกมาด้วยความโกรธ
ชื่อนี้เป็นความอัปยศที่สุดในชีวิตของเขา แต่มันเป็นชื่อที่พ่อแม่เรียกเขามาเกือบสี่สิบปี และไม่เคยมีใครกล้าใช้ชื่อของเขามาล้อเล่นเพื่อหัวเราะเยาะเขาแบบนี้ แต่ตอนนี้ไอ้เด็กเวรปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนนี้มันกำลังเยาะเย้ยชื่อของเขา มันคือการรนหาที่ตาย!
“สั่งสอนมัน!”
ฉินซัวเหรินคำรามด้วยความโกรธ ตำรวจสี่นายที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาก็ค่อยๆเดินเข้าไปหาจี้เฟิงที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะสอบสวนทันทีที่สิ้นเสียงของฉินซัวเหริน
“ผมขอแนะนำอะไรคุณอย่างหนึ่ง อย่าทำให้เรื่องมันยุ่งยากวุ่นวายไปกว่านี้เลย ไม่เช่นนั้นคงไม่มีใครสามารถช่วยคุณได้” จี้เฟิงพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
“หึหึ นั่นคือคำสั่งเสียก่อนตายของเด็กเวรปากดีอย่างแกสินะ!” ฉินซัวเหรินคำราม “ฉันก็จะรอดูว่าถ้าแกตายไปแล้วใครจะสามารถมาช่วยแกได้! ฮ่าๆๆ!!”
จี้เฟิงมองไปที่ฉินซัวเหรินอย่างเย็นชาและหันหน้าไปมองตำรวจทั้งสี่นาย เขาส่ายหัวเล็กน้อย เขารู้ดีว่าถ้าเขาตัดสินใจทำอะไรลงไปในสถานการณ์เช่นนี้มันคงเป็นเรื่องยากที่จะต้องเป็นคนดีในวันนี้
คิ้วของจี้เฟิงขมวดแน่น เขาหันกลับไปมองที่ฉินซัวเหรินอีกครั้งและพูดอย่างเย็นชา “ผมจะให้โอกาสคุณเป็นครั้งสุดท้าย หวังว่าคุณจะไม่เลือกทางผิดอีกครั้ง และนอกจากนี้เด็กผู้ชายอีกคนที่มากับผม คุณก็ไม่ควรที่จะแตะต้องเขา ไม่อย่างนั้นผมสัญญาได้เลยว่า ไม่เพียงแต่คุณจะโชคร้ายแต่ครอบครัวของคุณก็จะโชคร้ายไปด้วยเช่นกัน!”
ฉินซัวเหรินยิ้มอย่างเย้ยหยัน “ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าฉันจะโชคดีหรือโชคร้าย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันรู้ก็คือตอนนี้นายกำลังจะโชคร้ายอย่างแน่นอน!”
จี้เฟิงได้แต่ส่ายหัวอย่างช้าๆ “ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาสินะ”
“เลิกพูดเพ้อเจ้อได้แล้ว!” ตำรวจนายหนึ่งตะโกนด่าด้วยความรำคาญ เขาเดินมาที่ด้านข้างของจี้เฟิงและเงื้อมือขึ้นตบไปที่จี้เฟิงทันที
“เพี๊ยะ!!”
เกิดเสียงของผิวหนังกระทบกันดังออกมาอย่างชัดเจนในทันที แต่นั่นไม่ใช่เสียงที่จี้เฟิงถูกตบ แต่เป็นเสียงแขนของตำรวจที่ถูกจับไว้ได้โดยจี้เฟิงหลังจากที่เขาสามารถพังกุญแจมือในเสี้ยววินาที
“รนหาที่ตายกันจริงๆ..” จี้เฟิงพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
ฉินซัวเหรินถึงกับผงะเมื่อเห็นกุญแจมือถูกทำลายลงอย่างง่ายดายด้วยฝีมือของจี้เฟิง และทันใดนั้นตำรวจอีกสามคนก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว พวกเขาดึงปืนพกออกมาและเล็งไปที่จี้เฟิงทันที
จี้เฟิงมองกวาดไปที่ฉินซัวเหรินและตำรวจทั้งสี่คนอย่างเย็นชา “คุณจะยิงผม?”
“ฮ่าๆๆ! จี้เฟิง.. ตอนแรกฉันก็กำลังกังวลอยู่เลยว่าจะจัดการกับแกยังไงดี แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ฉันคงไม่ต้องคิดให้ปวดหัวซะแล้วล่ะ ...ดูเหมือนว่าคุณผู้ต้องหาจะฝ่าฝืนการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างร้ายแรงด้วยการทำลายกุญแจมือนะครับเนี่ย~ ฮ่าฮ่า!!” ฉินซัวเหรินหัวเราะอย่างสะใจ
“ฆ่ามัน!”
ทันทีที่พูดจบฉินซัวเหรินก็หันหลังเปิดประตูและออกจากห้องสอบสวนไป
“ปัง”
เมื่อเสียงปิดประตูของห้องสอบสวนดังขึ้น อุณหภูมิภายในห้องก็ลดลงอย่างรวดเร็วและในเวลานี้ดวงตาของจี้เฟิงก็หรี่ลง “พวกคุณนี่เป็นตำรวจที่เลวจริงๆ ฆ่าคนโดยไม่สนกฎหมายอย่างเปิดเผยขนาดนี้ กล้าหาญมาก เก่งมาก..”
“หยุดพูดเรื่องไร้สาระแล้วไปลงนรกได้แล้วไอ้เด็กโสโครก!”
ทันทีที่เขาพูดจบประกายไฟจากปากกระบอกปืนสว่างขึ้น หลังจากนั้นตำรวจที่ลั่นไกปืนรู้สึกเย็นวาบที่คอของเขาพร้อมกันกับเห็นภาพตรงหน้าพร่ามัวและสุดท้ายเขาก็ล้มลงไปกองกับพื้น
มีกุญแจปักคาอยู่ที่ลำคอของตำรวจคนนั้น มันเป็นกุญแจบ้านของจี้เฟิง แต่ไม่น่าเชื่อว่ามันกลับมีประโยชน์อย่างมากในช่วงเวลาวิกฤตนี้
หลังจากที่จี้เฟิงฆ่าคนแรก และไม่ทันที่ตำรวจคนอื่นๆจะได้ตอบโต้ จี้เฟิงก็พุ่งตรงไปคว้าข้อมือของตำรวจอีกคนหนึ่งแล้วบิดมันอย่างกะทันหันจนเกิดเสียงดัง “กร๊อบ!” เป็นเสียงกระดูกที่แตกของตำรวจคนที่สอง
“อ๊ากกกก!!!”
เมื่อเสียงกรีดร้องของคนที่สองดังขึ้นจี้เฟิงก็พุ่งเข้าไปกระแทกอีกสองคนที่เหลือจนล้มลงกับพื้น
ทันใดนั้นจี้เฟิงก็จับตำรวจคนหนึ่งขึ้นมาและพบกับกุญแจของห้องสอบสวนอยู่บนร่างของเขา จี้เฟิงรีบไขประตูในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งก็จับตำรวจไว้ราวกับว่าเขากำลังหยิบซากสุนัขที่ตายแล้ว เมื่อไขประตูเสร็จจี้เฟิงรีบตรงไปยังห้องสอบสวนอื่น
“ปัง!”
จี้เฟิงเตะประตูอย่างแรง และภาพที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้าคือจางเล่ยที่เต็มไปด้วยบาดแผลจากการถูกทำร้ายจนเกือบจะสลบ กำลังถูกตำรวจหลายคนล็อกแขนและจับมือของเขาเพื่อบังคับให้เขาพิมพ์ลายนิ้วมือลงบนกระดาษ
“ไอ้พวกเลว!”
จี้เฟิงคำรามลั่นและก่อนที่ตำรวจจะทันได้ตอบสนองจี้เฟิงก็กระโดดถีบตำรวจด้วยเท้าทั้งสองข้าง ในเวลาไม่นานเขาจัดการตำรวจทั้งหมดล้มลง จากนั้นเขาก็ช่วยพยุงจางเล่ยให้ลุกขึ้น “เล่ยซือเป็นยังไงบ้าง? พวกมันทำอะไรนาย?”
“เหอเหอ..” คิ้วของจางเล่ยแตกจนเลือดอาบไปทั้งใบหน้า ดวงตาของเขาแทบจะลืมไม่ขึ้น เขาพยายามยิ้มและพูดว่า “ฉันยังไหวพวกมันต้องการโยนความผิดให้ฉันข้อหาฆ่าคนตาย แต่ฉันไม่ได้ทำจะให้ฉันยอมรับผิดได้ยังไง?!”
จี้เฟิงพยักหน้าอย่างแรง “เล่ยซืออดทนหน่อยนะ ต้องมีคนมาช่วยพวกเราแน่ๆ ตำรวจที่อยู่ในห้องนี้เป็นตัวประกันความปลอดภัยของพวกเราได้พักนึง เพราะตราบใดที่พวกนี้ยังอยู่ที่นี่ พวกตำรวจข้างนอกจะไม่กล้าเข้ามายุ่งเด็ดขาด ระหว่างนี้นายนั่งพักก่อนเถอะ ปล่อยให้ฉันจัดการที่เหลือเอง!”
จางเล่ยรู้สึกทรมานอย่างเห็นได้ชัด เขาหอบหายใจแรงก่อนที่จะทรุดตัวลงบนเก้าอี้ แต่ยังคงมีแสงเย็นวาบออกมาจากแววตาของเขาเป็นครั้งคราวแสดงให้เห็นถึงความเกลียดชังในใจเขา
.............
“เฒ่าฉินไอ้สองตัวนั้นมันเป็นยังไงบ้าง ได้ฆ่ามันรึเปล่า?!” ซูหม่าถามอย่างร้อนรนในห้องทำงานของผู้กองฉินหัวหน้าทีมอาชญากรรม “ถ้าคุณไม่กล้าฉันจะจัดการเอง หรือถ้าไม่อย่างนั้น จะให้ฉันโทรหาปู่แล้วให้เขาสั่งคุณโดยตรงเลยดีมั้ย?”
“ไอ้โง่!”
ฉินซัวเหรินด่าซูหม่าอยู่ในใจ เป็นแค่เด็กอาศัยบารมีพ่อ คิดจะมาสั่งให้ฉันฆ่าใครก็ได้งั้นเหรอวะ?
อย่างไรก็ตามฉินซัวเหรินก็กลัวว่าซูหม่าจะโทรหาปู่ของเขาขึ้นมาจริงๆ และหากปู่ของซูหม่าเกิดไม่พอใจเขาขึ้นมา ก็สามารถถอดตำแหน่งผู้กองของเขาได้ตลอดเวลา เพราะจากสถานะของชายชราคนนั้น เพียงแค่คำพูดก็มากพอที่จะสามารถทำให้เขตหมางซือต้องสั่นคลอน
“ปัง!”
ทันใดนั้นประตูในห้องทำงานก็ถูกเปิดออก และตำรวจนายหนึ่งก็วิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าตื่นตระหนก “ผู้กองมีกองทัพของทหารอยู่ด้านนอก!”
“อะไรนะ?!”
ก่อนที่ฉินซัวเหรินจะได้ถามอะไรมากกว่านี้ เสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากก็ดังขึ้น จากนั้นกองกำลังของทหารพร้อมอาวุธก็บุกเข้ามายังสถานีตำรวจซีกวน
“พวกคุณเป็นใครมาจากหน่วยไหน!” ฉินซัวเหรินเดินออกจากห้องทำงาน และตะโกนถามด้วยเสียงเข้ม ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นตำรวจ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสั่นกลัวอยู่ข้างใน เมื่อเห็นทหารจำนวนมากพร้อมอาวุธครบมือ
อย่างไรก็ตามไม่มีใครเอ่ยปากตอบคำถามของเขา สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงสายตาที่เย็นชาและหลุมดำจากปลายกระบอกปืน มันทำให้เขารู้สึกชาไปทั้งตัว
“ทุกคนฟังคำสั่งปิดล้อมทุกทางเข้าออกของที่นี่ทั้งหมด และปลดอาวุธตำรวจทุกนายที่อยู่ข้างใน!”
เมื่อเสียงสั่งการดังขึ้น เกิดเสียงขยับตัวของทหารดังออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ปลายกระบอกปืนต่างเล็งไปที่ตำรวจทุกนายที่อยู่ในสถานีตำรวจซีกวน ไม่มีตำรวจคนไหนกล้าที่จะขยับแม้แต่ก้าวเดียว
บางทีตำรวจพวกนี้อาจจะเก่งกาจกับการไล่ล่าโจรผู้ร้าย แต่มันคงยากเกินไปสำหรับพวกเขาที่จะต้องมาต่อสู้กับกองทัพทหารเหล่านี้ ตำรวจหลายนายถูกปลดอาวุธอย่างเชื่อฟัง ภายใต้แรงกดดันของปลายกระบอกปืนที่จ่ออยู่ที่พวกเขา สิ่งที่พวกเขาทำได้ในตอนนี้มีเพียงเอามือประสานกันไว้ที่ท้ายทอยและนั่งยองๆ หันหน้าเข้าหากำแพง
…จบบทที่ 98~❤️