ตอนที่ 210 ทางเชื่อมแสนแพง
เสียงกรีดร้องของหญิงสาว ทำให้เหนือภพที่กำลังตะบี้ตะบันเพิ่มสิ่งของภายในบ้าน ชะงักหยุดการกระทำ พอเขาหันกลับมาอีกที ก็เห็นว่าห้องนอนของเขามีสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้นมาก มีทั้งเตียงนอนใหญ่ มีกระจกเงามีกรอบอลังการ มีแท่นให้แสงสว่าง และยังมีของอื่น ๆ ที่เขาเองก็ยังไม่เคยเห็น
เมื่อได้เห็นข้าวของในห้องของตัวเอง เหนือภพก็พอเดาได้ว่ารุ่นพี่ของเขากำลังตกใจเรื่องอะไร เขาจึงไม่สนใจที่จะไปดู เขาหันมาเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกต่ออย่างสนุกสนาน
มันมีให้เลือกแม้กระทั่งโรงหลอมอาวุธ โรงตัดเย็บ โรงทำงานวิชาชีพหลากหลาย โรงหมอ ยุ้งฉาง และลานฝึกฝน หลังจากเหนือภพอัพเกรดเพิ่มเติมพวกนี้จนครบหมด พวกมันก็ปรากฏขึ้นด้านนอกบ้านของเขา หากมองลงมาจากบนฟ้าจะเห็นได้ว่าอาณาเขตพื้นที่หนึ่งตารางกิโลเมตรของเหนือภพ ได้กลายเป็นหมู่บ้านขนาดย่อม ๆ ไปเสียแล้ว เงินในระบบยังคงค้างอยู่ที่ตัวเลขเดิม แต่บ้านดูเปลี่ยนไปมาก ห้องที่เคยว่างเปล่าภายในบ้าน บัดนี้มันถูกเติมเต็มด้วยสิ่งของต่าง ๆ อีกทั้งแต่ละห้องยังมีป้ายเขียนติดเอาไว้ว่าด้วยนี่คือห้องอะไร
เหนือภพสำรวจบ้านสุดกว้างขวางของเขาทีละห้อง และต้องใช้เวลานานกว่าชั่วโมงเพื่อสำรวจและจดจำตัวบ้านของเขาจนครบ
ชายหนุ่มกลับมาที่ห้องนอนอีกครั้ง ก่อนจะจ้องมองไปยังหน้าจอแท็บแล็บ มันขึ้นว่า
-*-*- คุณอัพเกรดบ้านทั้งหมดครบเงื่อนไข ต้องการเงิน 999,999,999 เหรียญทอง เพื่อสร้างทางเชื่อม ต้องการอัพเกรดหรือไม่-*-*-
เหนือภพไม่รู้ว่าทางเชื่อมคืออะไร แต่ในขณะที่เขากำลังจะลองกดอัพเกรด ก็พลันมีเสียงขัดจังหวะเสียก่อน
“เหนือภพ !!”
เสียงตะโกนอย่างตกใจของบุหรงทำให้ชายหนุ่มนิ่วหน้า เธอมีเรื่องด่วนอะไรถึงตกใจขนาดนั้น มันกวนใจเขามาก จนเขาต้องออกไปดูหน้าบ้าน
บุหรงกำลังยืนแตกตื่นอยู่หน้าบ้าน
“เตาหลอมโลกันตร์หายไปแล้ว”
“อืม”
ตอนแรกเมื่อเขาเห็นเตาหลอมโลกันตร์หายไปเขาก็ตกใจ มีสภาพไม่ต่างจากบุหรงในตอนนี้เท่าไหร่ แต่หลังจากได้เดินสำรวจบ้าน เขาก็รู้ว่ามันถูกย้ายไปที่โรงหลอมโลหะแล้ว
ดังนั้นเหนือภพจึงให้เธอไปดูที่โรงหลอมโลหะ ที่ตั้งอยู่นอกเขตบ้านหลัก มันจะอยู่ห่างจากโรงอื่น ๆ คงเป็นเพราะความร้อนจากเตาหลอมโลกันตร์นั้นรุนแรงเกินไป หากไม่เป็นเพราะสิ่งก่อสร้างเหล่านี้มาจากพลังของผู้ชี้นำ เขาเกรงว่าโรงหลอมโลหะก็ไม่อาจทานทนความร้อนอันมหาศาลของมันได้
“โอ้ เจ้าสร้างของพวกนี้ได้เร็วเพียงนี้ นี่ไม่ใช่ความฝันใช่ไหม”
บุหรงถามด้วยความตกตะลึง เมื่อเห็นว่าทัศนียภาพในตอนนี้แล้วแตกต่างจากเดิมราวกับฟ้ากับเหว มีบ้านเรือนมากมากมายถูกสร้างขึ้น เครื่องใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ หาได้ยากก็มีครบครัน ทว่าที่นี่กลับไร้ซึ่งผู้คน
เมื่อเหนือภพได้ยินเช่นนั้น เขาก็กระอักกระอ่วนไม่น้อย ก่อนจะตีหน้าซื่อไม่รู้เรื่อง
“ที่นี่คือหมู่บ้านตระกูลเหนือ มันมีมาตั้งแต่ต้นแล้ว เพียงแต่ว่าตอนที่เจ้ามา เจ้ามองในมุมมองคนภายนอก แต่ตอนนี้เจ้ามองในมุมมองคนภายในย่อมแตกต่าง”
“อา..ที่แท้เป็นค่ายกลพรางตา”
บุหรงไม่ได้สงสัยอะไร แถมยังเชื่อสนิทใจ อาจเป็นเพราะความรอบรู้ของเธอนั้นมีมาก ทำให้เห็นสิ่งแปลก ๆ มากมาย เธอจึงเชื่อถือสิ่งเหล่านี้ได้ไม่ยากนัก
เหนือภพพยักหน้าตามเธอไปด้วย อันที่จริงเขาก็ไม่ได้โกหกอะไรเธอ ในเมื่อเขาเป็นบุตรชายผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของตระกูลเหนือ ดังนั้นหมู่บ้านของเขาก็ย่อมเป็นหมู่บ้านตระกูลเหนือ เขาเองก็รู้สึกว่าชื่อนี้เหมาะสม สักวันเขาจะพาแม่ น้องสาว และเมียจ๋ามาอยู่ที่นี่เพื่อความปลอดภัย เขาจะออกไปเผชิญโลกเอง และเขาก็สามารถกลับเข้ามาในนี้ได้ทุกวัน
เหนือภพใช้เวลาพักฟื้นเพียงวันเดียว อาการบาดเจ็บที่มีก็หายสนิท แต่บุหรงกลับไม่เป็นเช่นนั้น อาการบาดเจ็บที่แขนของบุหรงส่งผลให้การหลอมชุดเกราะใหม่ของเขาชะลอลงไปอีก ดังนั้นเพื่อไม่ให้เสียเวลา บุหรงจึงขออยู่ที่นี่ต่อ เพราะนางต้องการใช้อุปกรณ์ของที่นี่หลอมสร้างอาวุธอย่างที่ปรมาจารย์แท้จริงควรทำ โดยแลกกับการที่นางจะสอนวิชาความรู้ที่นางเคยเรียนรู้และสั่งสมมา ให้กับเหนือภพโดยไม่ปิดบัง และสอนให้จนหมดเปลือก แต่เอาเข้าจริง ๆ บุหรงก็ยังซ่อนเทคนิคบางอย่างเอาไว้เอง
เหนือภพในตอนนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว เมื่อก่อนสมองของเขาเปรียบเสมือนก้อนโลหะแข็ง ๆ ที่ยัดอะไรไม่เข้า แต่ในตอนนี้มันเริ่มอ่อนลง เริ่มซึมซับความรู้ใหม่ ๆ ได้ ใช้เวลาแค่สี่เดือนในการสูบความรู้และเทคนิคในการหลอมสร้างโลหะจากบุหรง จนกระทั่งแขนของบุหรงที่หัก กลับมาประสานกันเป็นปกติ
บุหรงก็เริ่มลงมือทำงานหลอมโลหะอีกครั้ง โดยครั้งนี้เหนือภพไม่ใช่เป็นเพียงแค่ผู้ช่วย แต่เป็นถึงผู้นำให้การหลอมสร้างชุดเกราะขึ้นใหม่ แต่ว่าการหลอมเกราะขึ้นมานั้นย่อมใช้เวลา ครั้งแรก ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม จนกระทั่งรอบที่สิบ ล้วนล้มเหลวไม่เป็นท่า
“นี่รุ่นพี่ ท่านไม่อยากออกไปข้างนอกจริง ๆ หรือ”
เหนือภพถามอย่างสงสัย เพราะตั้งแต่ที่นางมาอยู่ที่บ้านตระกูลเหนือของเขา นอกจากห้องน้ำแล้วนางก็แทบจะกินนอนอยู่ที่โรงหลอมโลหะ คอยหลอมสร้างอาวุธมากมายที่มีทั้งสำเร็จและล้มเหลว
บุหรงส่ายหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม เธอรู้สึกชอบที่นี่อย่างบอกไม่ถูก
“ไม่ใช่ข้าไม่กลับ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ข้าจะเรียนรู้ตำราหลอมศาสตราลี้ลับนี้ให้เข้าใจปรุโปร่งก่อน ข้าถึงจะกลับไป อีกอย่างถ้าข้าเดาไม่ผิด ที่ที่เราอยู่นี้น่าจะเป็นห้วงมิติ เมื่อขึ้นชื่อว่ามิติก็ย่อมมีกฎเกณฑ์และเวลาที่ต่างจากโลกความจริงมาก ดังนั้นข้าคิดว่าห้วงเวลาในนี้เดินเร็วกว่าด้านนอกมาก เวลาของที่นี่อาจจะผ่านไปหนึ่งปี แต่ด้านนอกอาจจะเพิ่งผ่านไปหนึ่งวันก็ได้”
เหนือภพยิ้ม ที่บุหรงเข้าใจนั้นไม่ผิด แต่เวลาในนี้เดินเร็วตามที่นางว่าจริง การอยู่ที่นี่นาน ๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีนัก เวลาผ่านไปไว อายุขัยก็เพิ่มขึ้นไวตามไปด้วย อีกอย่างผู้ไร้พรสวรรค์อย่างพวกเขา หากไม่สามารถปลดขีดจำกัดของร่างกายได้ อายุขัยก็คงต้องสิ้นสุดลงที่ไม่เกินร้อยปี เท่ากับว่าร้อยวันภายนอก พวกเขาก็จะตายไปเองโดยที่ไม่มีใครรู้
“เจ้าฉลาดเกินไป แล้วแต่ท่านเถอะ ข้าเองก็ต้องใช้เวลาฝึกฝนเหมือนกัน เอางี้ต่างคนต่างทำเรื่องของตัวเอง ข้าจะต้องออกไปก่อน เจ้ารอที่นี่นะ แล้วข้าจะกลับมาพาเจ้าออกไป”
“ได้” บุหรงตอบห้วน ๆ แล้วก็หันมาตั้งใจหลอมอาวุธต่อ
เหนือภพกลับเข้าไปในบ้านของเขา ก่อนจะเข้าไปที่ห้องเก็บห้องลับที่เขาเปลี่ยนแปลงมันด้วยตัวเอง ภายในเต็มไปด้วยชั้นวางของหลายร้อยชั้น ถูกแบ่งเป็นสัดส่วน เขาไม่รู้จักของที่นี่มากนักเพราะความรู้ความเข้าใจที่มีขีดจำกัด บุหรงเองก็เคยเข้ามาดูที่นี่ แต่นางรู้จักของพวกนี้เพียงแค่เศษเสี้ยวเท่านั้น จึงช่วยอะไรเขาได้ไม่มาก
เหนือภพไล่สายตามองพวกมัน เขาไม่อาจประเมินค่าพวกมันได้ เลยไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี จะเอาไปขายก็กลัวโดนกดราคา เพราะเขาไม่รู้มูลค่าที่แท้จริงของมัน ไม่รู้ทั้งคุณสมบัติและวิธีการใช้ที่ถูกต้อง โดยเฉพาะยาล้ำค่า
‘หรือว่าข้าต้องพาคนที่มีความรู้มาที่นี่’
เหนือภพคิดค้นหาคนที่เหมาะสมและมีความรู้มากพอ ครั้นจะพาพราวจันทร์มาก็ไม่ได้อีก เพราะเขายังติดอยู่ในเหมือง หากออกจากมิติบรรพกาล ก็ต้องไปเผชิญหน้ากับอีกาทองคำยักษ์นั้นอีกครั้ง
‘หรือว่าจะเป็นนาง ?’
เหนือภพนึกไปถึงมุกดารา เขาสามารถไปหานางได้ และนางยังเป็นคนของทวีปยิ่งใหญ่ ความรู้ความเข้าใจย่อมมีมาก แต่เขาจะไว้ใจนางได้อย่างไร นางนั้นแข็งแกร่งมาก หากนางใช้กำลังแย่งชิงสิ่งของของเขา เขาก็ไร้ความสามารถต้านทาน แต่จะให้ทยอยขนของไปให้นางดูบ่อย ๆ ก็ยากอยู่ หากเป็นของล้ำค่าก็ดีไป แต่หากเป็นของกิ๊กก๊อก เอาไปให้นางดูจะนับว่าเป็นการดูถูก แบบนั้นก็มีโอกาสถูกหมางเมินอีก ต่อให้เขาเป็นลูกค้าผู้ทรงเกียรติก็คงไม่มีประโยชน์อีกแล้ว
เหนือภพคิดหนัก ขณะจ้องไปยังแท็บแล็ตบนผนัง มันน่าจะมีระบบป้องกันอะไรบ้าง อย่างน้อย ๆ เขาก็สามารถป้องกันตัวเองภายในมิติแห่งนี้ได้
-*-*- คุณอัพเกรดบ้านทั้งหมดครบเงื่อนไข ต้องการเงิน 999,999,999 เหรียญทอง เพื่อสร้างทางเชื่อม ต้องการอัพเกรดหรือไม่-*-*-
เขาไม่เข้าใจรายการนี้ แต่เมื่อมันมีอยู่ ก็แปลว่าน่าจะมีประโยชน์
คลิก !
เหนือภพกดมันทันที แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกแปลก ๆ ภายในหัวสมองเกิดภาพนิมิตกับสิ่งที่เรียกว่าทางเชื่อม แล้วเขาก็เข้าใจ แท้ที่จริงมันคือประตูที่ทำให้เขาสามารถเดินทางไปไหนก็ได้ผ่านมิติบรรพกาลนี้ แต่มันมีเงื่อนไข คือเขาต้องไปเยือนสถานที่นั้น ๆ ด้วยตัวเอง และเปิดทางเข้ากลับเข้ามาที่มิติบรรพกาลครั้งหนึ่ง เพียงเท่านี้การเชื่อมประตูก็สำเร็จ
‘เยี่ยม !’
เหนือภพพยักหน้าเข้าใจ ด้วยวิธีการนี้เขาสามารถไปไหนก็ได้ เขาสามารถเดินทางเป็นหมื่น ๆ โยชน์ได้เพียงเสี้ยววินาที สักวันเขาต้องกลับบ้านเพื่อสร้างทางเชื่อม และต่อไปการจะไปพบแม่มันคงไม่ยากเย็นเพียงนี้
ทางเชื่อมแต่ละอันมีราคา 999,999,999 เหรียญทอง เหนือภพซื้อทั้งหมด 3 อัน แต่เขาก็เห็นว่าเหรียญทองที่เหลืออยู่ยังคงจำนวนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง จากการคาดคะเน เหนือภพคิดว่าเขาน่าจะใช้จำนวนเงินขีดสุดได้อีกสิบครั้งถึงจะหมด
ขณะที่หน้าจอแท็บแล็ตปรากฏระบบใหม่
-*-*- คุณอัพเกรดทางเชื่อมทั้งหมดครบเงื่อนไข ต้องการเงิน 999,999,999 เหรียญทอง เพื่อเพิ่มสิทธิ์ในการเดินทางไร้ระยะในอาณาเขตของคุณ ต้องการอัพเกรดหรือไม่-*-*-
เหนือภพกะพริบตาปริบ ๆ แต่เขายังคิดเหมือนเดิมว่า ถ้ามันมีอยู่ในระบบแปลว่ามันต้องมีข้อดีอยู่ ดังนั้นเขาจึงกดเพื่ออัพเกรดทันที
คลิก !
เหนือภพเห็นภาพในหัวว่าภายในพื้นที่หนึ่งตารางกิโลเมตรของเขานั้น เขาสามารถไปปรากฏที่ใดก็ได้ เพียงหนึ่งความคิด ในตอนนี้เหนือภพเห็นภาพแผนที่สามมิติในรัศมีหนึ่งตารางกิโลเมตรได้อย่างชัดเจน พื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วย แม่น้ำ ลำธารไหลตัดผ่าน อีกทั้งยังมีน้ำตก ภูเขา เพียงหนึ่งความคิดชายหนุ่มก็ไปปรากฏบนภูเขาสูงในเขตของเขา เพื่อมองโลกมิติที่กว้างใหญ่นี้ มิติที่เต็มไปด้วยป่าไม้เขียวขจี สัตว์อสูรบรรพกาลบนฟากฟ้า ที่แหวกบินไปในท้องฟ้ากว้าง ระดับขอบเขตของพลังมันนั้นช่างเกินจินตนาการ แม้มันอยู่ห่างจากเหนือภพนับกิโลเมตร เหนือภพยังรับรู้ได้ถึงแรงกดดันทะลุผ่านเข้ามายังในอาณาเขตของเขา เหมือนผิวหนังจะถูกฉีกออกมา
เสียงคำรามของสัตว์อสูรนักล่าในป่า ฟังแล้วใจสั่นสะท้านจนเหนือภพไม่อาจหยุดยืนบนภูเขาลูกนั้นได้อีก เขาต้องกลับมายังบ้านของเขาที่มีบรรยากาศแตกต่างกันมาก