บทที่ 96 แผนชั่วของซูหม่า!! ( อีกครั้ง )
บทที่ 96 แผนชั่วของซูหม่า!! ( อีกครั้ง )
“Rrrrrrrrrr…..~!”
ในตอนนี้เสียงโทรศัพท์ของจี้เจิ้นหัวก็ดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและมองไปที่หน้าจอ “ถงไค่เต๋อโทรมา”
หลังจากรับโทรศัพท์ จี้เจิ้นหัวก็ได้บอกตำแหน่งของเขา ไม่กี่นาทีต่อมา ถงไค่เต๋อก็เดินเข้ามาจากทางเข้าของโรงแรม เขาหัวเราะและพูดว่า “เหล่าจี้ไม่เจอกันนานสบายดีไหม?”
จี้เฟิงเห็นถงเล่ยในทันทีวันนี้เธอสวยและดูมีเสน่ห์มากกว่าทุกครั้ง เธอยืนก้มหน้าเล็กน้อยอยู่ข้างๆนางถง ส่วนคนที่เดินตามมาข้างหลังพวกเธออีกทีก็คือจางเล่ย วันนี้เขาดูสงบเสงี่ยมผิดปกติ
“ฮ่า~!” จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะและคิดในใจ “เก่งแฮะทำตัวเรียบร้อยได้ด้วย แต่จะทำได้นานซักเท่าไหร่กัน?”
เมื่อจางเล่ยเห็นท่าทางและรอยยิ้มที่มุมปากของจี้เฟิงเขาก็รู้ได้ทันทีว่าจี้เฟิงคิดอะไรอยู่ เขาจึงทำได้แค่เพียงส่งรอยยิ้มที่ดูบิดเบี้ยวอย่างประหลาด และได้แต่บ่นพึมพำอยู่ในใจ “ไอ้เจ้าบ้าฉันก็ไม่อยากยืนนิ่งๆ ให้อึดอัดอย่างนี้หรอกนะเฟ้ย แต่พ่อของนายนี่น่าเกรงขามจริงๆ แม้แต่พ่อของฉันยังพูดคุยด้วยความสุภาพ แล้วฉันจะกล้าเอะอะโวยวายได้ยังไง?”
“เหล่าจี้ฉันจองห้องอาหารไว้ที่ชั้นบนเรียบร้อยแล้ว เราขึ้นไปกันเถอะ!” ถงไค่เต๋อและจี้เจิ้นหัว ทั้งสองคนนี้ดูเหมือนจะคุ้นเคยกันดี แต่เบื้องหลังมิตรภาพที่ลึกซึ้งก็ยังมีช่องว่างที่เรียกว่าความเคารพซึ่งกันและกันอยู่
ถงเล่ยกะพริบตาและแอบมองไปที่พ่อของจี้เฟิงอย่างอยากรู้อยากเห็น ชายวัยกลางคนที่ดูสง่างามผู้นี้ เธอมักจะเห็นเขาได้จากข่าวในทีวี พอเห็นตัวจริงดูเหมือนนอกจากจะมีความสง่างามแล้วเขายังมีความน่าเกรงขามที่คนธรรมดาไม่กล้าเข้าใกล้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้อย่างชัดเจน ซึ่งทำให้เธอรู้สึกประหม่าพอสมควร ถงเล่ยรู้สึกไม่มั่นใจว่าตัวเองจะดีพอในสายตาพ่อสามีในอนาคตหรือไม่
………………..
“ปัง!!”
เสียงกระแทกของประตูบานหนึ่งในที่พักย่านสลัม ได้ถูกเตะจนเปิดออกโดยนักเลงสองสามคนอย่างแรง พร้อมกับมีอาวุธมีดอยู่ในมือ แต่เมื่อพวกเขาก้าวเข้ามาในห้อง แววตาของพวกเขาก็ต้องฉายแววประหลาดใจ
“ทำไมไม่เห็นมีใคร?”
นักเลงคนแรกหันไปถามเพื่อนนักเลงด้วยความแปลกใจ “นายน้อยซูไม่ได้บอกเหรอว่าตอนนี้ควรมีใครอยู่?”
“ใครจะรู้แต่ฉันได้ยินมาว่า ที่นี่มีเด็กกำพร้าอาศัยอยู่กับแม่ม่าย แม่ม่ายคนนั้นอาจจะขโมยเด็กคนนั้นมาจากคนอื่นล่ะมั้ง? ฮ่าๆๆ!!” นักเลงคนที่สองแสยะยิ้มและทำให้ทุกคนหัวเราะทันที
“อย่าเพิ่งพูดมากพวกเรารีบออกจากตรงนี้ แล้วโทรไปรายงานนายน้อยซูก่อนดีกว่า ให้เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่!” นักเลงคนที่สามกล่าว
นักเลงทุกคนรีบออกจากห้องและโทรรายงานกับซูหม่าทันที
“แม่งเอ๊ย!!”
ซูหม่าตะคอกด้วยความโมโหด้วยสีหน้าที่ดำมืดหลังจากวางสายโทรศัพท์ “จี้เฟิงมึงโชคดีมากที่หนีรอดมาได้!”
เขารีบกดโทรศัพท์ต่ออีกสายทันที “ฉันเองซูหม่า นายเฝ้ายังไงถึงไม่รู้ว่าจี้เฟิงมันออกไปตอนไหนแล้วทำไมถึงไม่ตามมันไป!”
ในขณะนี้ที่ชั้นล่างของที่พักในสลัม ชายที่หน้าตาเจ้าเล่ห์มีปากเหมือนลิงคนหนึ่งยิ้มอย่างน่าเกลียด เขาตอบกลับไปที่ปลายสาย “นายน้อยซู คุณจะต่อว่าฉันไม่ได้ จู่ๆก็มีรถสีดำสองคันมาจอดและดูเหมือนว่าพวกนั้นจะมาพาสองแม่ลูกนั้นไป อย่าว่าแต่ไล่ตามเลย ฉันไม่กล้าที่จะไปใกล้ด้วยซ้ำ!”
“ไอ้ขยะไร้ประโยชน์!”
หลังจากวางสาย ซูหม่ากัดฟันของเขาแน่น หลังจากนั้นเขากดโทรออกไปอีกสายหนึ่ง “เฒ่าฉินนี่ฉันเองซูหม่า คุณพอจะตามหาไอ้จี้เฟิงกับแม่ของมันให้หน่อยได้ไหม ก่อนหน้านี้มีรถสีดำสองคันขับมาที่สลัมและดูเหมือนว่ารถสองคันนั้นจะพาพวกนั้นไป”
การตามหาคนในเขตเล็กๆ อย่างหมางซือไม่ใช่เรื่องยาก
ภายในเวลาไม่ถึงยี่สิบนาที เสียงโทรศัพท์ของซูหม่าก็ดังขึ้น “นายน้อยซูฉันเจอแล้ว มีคนเห็นรถสีดำสองคันขับออกมาจากสลัมจริงๆ ดูเหมือนจะมุ่งหน้าไปทางแยงซีริเวอร์โฮเต็ล นอกจากนี้ผมให้คนสำรวจกล้องที่ถนนเรียบร้อยแล้ว ถ้าพวกนั้นไปกับรถสีดำสองคันนั้นจริงๆ พวกเขาก็ยังไม่ได้ออกจากหมางซือแน่นอน มันต้องอยู่ไม่ไกลจากแยงซีริเวอร์โฮเต็ลแน่นอน!”
“แยงซีริเวอร์โฮเต็ล?”
ซูหม่ารู้สึกประหลาดใจ เด็กยากจนกับผู้หญิงขายผักพวกเขาไปทำอะไรกันที่นั่นหรือจะมีคนรู้จักที่เป็นเจ้าของรถสองคันนั้นจริงๆ?
“โอเคงั้นฉันไปที่โรงแรมแยงซีเดี๋ยวนี้!” เมื่อเขานึกภาพใบหน้าสวยของถงเล่ยที่เป็นสีแดงระเรื่อด้วยความเขินอายหลังจากออกมาจากโรงหนังกับจี้เฟิงสองต่อสอง ความเกลียดชังในใจของซูหม่าก็เริ่มมากขึ้นทุกที เขาพูดกับพวกนักเลงทันที “พวกแกทั้งหมด ตามฉันไปที่โรงแรมแยงซี!”
...............
“นายน้อยซู Audi สีดำสองคันนี้แหละ ที่ไปรับสองแม่ลูกนั่นที่สลัม!” เมื่อพวกเขาไปถึงแยงซีริเวอร์โฮเต็ล นักเลงคนที่หน้าตาดูเจ้าเล่ห์มีปากเหมือนลิงชี้บอกกับซูหม่าทันทีเมื่อเห็นรถ Audi สองคันในลานจอดรถ
แม้ว่าอาจจะพอพบเห็นรถ Audi อยู่บ้างในเขตหมางซือ แต่ก็เรียกได้ว่าน้อยมาก เพราะคนส่วนใหญ่ในเขตหมางซือจะใช้รถระดับกลางอย่าง Volkswagen หรือระดับที่ต่ำลงมาหน่อย เช่น Nissan และ Toyota รถยนต์อย่าง Audi ยังคงหายากในเขตเล็กๆ อย่างหมางซือ
ซูหม่าขมวดคิ้วเล็กน้อย คนที่ขับรถยนต์ Audi สองคันนั้นอย่างน้อยก็คงไม่ใช่พวกหาเช้ากินค่ำทั่วไปสินะ!
“จี้เฟิงมันมีคนหนุนหลังอยู่อีกงั้นเหรอ?..” ซูหม่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและพูดขึ้น “พวกแกเข้าไปจองโต๊ะในโรงแรมก่อน ฉันจะโทรศัพท์สักแปบนึง แล้วเดี๋ยวจะตามเข้าไป”
..............
“เหล่าจี้ น้องจี้ เรามาชนแก้วกันสักหน่อยดีกว่า!” ถงไค่เต๋อยิ้มพร้อมกับยกแก้วขึ้น จี้เจิ้นหัวและจี้เจิ้นผิงจึงยกแก้วของตัวเองขึ้น ทั้งสามคนชนแก้วกันเบาๆ แล้วก็ยกแก้วที่ใส่เหล้าเหมาไถขึ้นดื่มจนหมดภายในอึกเดียว
จี้เฟิงที่แอบดื่มด้วยเล็กน้อยเขารู้สึกว่ารสชาติมันเผ็ดแปลกๆ
หลังจากนั้นพวกเขาสามคนก็ดื่มเหล้าเหมาไถกันต่ออีกหลายแก้ว
จี้เฟิงมองไปที่จี้เจิ้นหัวพ่อของเขาที่กำลังดื่มเหล้าและพูดคุยอย่างถูกคอกับถงไค่เต๋อ
“พ่อ ทำไมพ่อไม่นั่งกินกับคุณลุงไปก่อนล่ะ ผมว่าจะขอตัวออกไปเดินเล่นซักหน่อย” จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น เมื่อเขามองเห็นใบหน้าสวยของถงเล่ยกำลังแดงก่ำและดูจะอึดอัดเล็กน้อย
จี้เจิ้นหัวไม่ใช่คนธรรมดาเพียงแค่มองแวบเดียวก็รู้ในทันทีว่า ลูกชายของเขากำลังคิดอะไรอยู่เขาพยักหน้าและยิ้ม “อย่าไปไกลมาก ที่โรงแรมนี้น่าจะมีห้องไว้สำหรับสิ่งบันเทิงอยู่ ไปเล่นที่นั่นก็แล้วกัน!”
จี้เฟิงสบตากับพ่อของเขาและเห็นดวงตาที่มีความหมายของพ่อ เขาหน้าแดงเล็กน้อย พ่อของเขาขยิบตาให้จางเล่ยและถงเล่ย จากนั้นทั้งสามคนก็รีบพากันเดินออกไปโดยเหลือไว้เพียงผู้ชายสามคน จี้เจิ้นหัว ถงไค่เต๋อ และจี้เจิ้นผิงที่นั่งดื่มด้วยกัน ในขณะที่ เซียวซูเหม่ยและนางถงก็กำลังพูดคุยกัน
“เฮ้อออ~”
ทันทีที่ออกจากห้องอาหารในโรงแรม และแน่ใจว่าคนข้างในไม่ได้ยินเสียงเขาแน่นอน จางเล่ยก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “ในที่สุด... ฉันก็เป็นอิสระ การกินข้าวกับผู้ใหญ่ที่ไม่ใช่คนธรรมดานี่พาให้หายใจหายคอไม่สะดวกเลยแฮะ!”
คราวนี้ถงเล่ยไม่คัดค้านคำพูดของจางเล่ยเลยแม้แต่คำเดียว แถมยังพยักหน้าที่ตอนนี้กำลังเป็นสีแดงระเรื่ออย่างเห็นด้วย
จี้เฟิงไม่ได้พูดอะไร เขาทำเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย
เพราะในส่วนของจี้เฟิงแล้วการมารับประทานอาหารค่ำกับจี้เจิ้นหัวพ่อของเขาและคนอื่นๆในครั้งนี้เขาไม่รู้สึกอึดอัดหรือตึงเครียดอะไร ความเป็นพ่อลูกที่แม้จะไม่เคยได้เจอหน้ากัน แต่เลือดที่ข้นกว่าน้ำนั้นก็ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยกับพ่อของเขาราวกับอยู่ด้วยกันมามากกว่าสิบปี
“เจ้าบ้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเรื่องราวชีวิตของนาย...” จางเล่ยอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวครั้งแล้วครั้งเล่า ใครจะคิดว่าน้องชายที่เป็นคนนิ่งๆ เงียบๆของเขากำลังจะเป็นผู้มีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต!?
จะว่าไปชีวิตคนเราก็เหมือนบทละครจริงๆ
จี้เฟิงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ฉันก็ยังไม่รู้จะเล่ารายละเอียดเรื่องพวกนี้ให้นายเข้าใจอย่างง่ายๆ ได้ยังไงเหมือนกัน เรื่องราวต่างๆมันซับซ้อนเกินไป ฉันไม่สามารถพูดทั้งหมดได้ในระยะเวลาสั้นๆ เอาไว้อีกสักพักถ้ามีเวลาฉันจะพูดถึงเรื่องนี้ให้นายฟังก็แล้วกัน!”
พวกเขาทั้งสามคนเดินและพูดคุยกันไปตลอดทางไม่นานนักพวกเขาก็เดินออกจากแยงซีริเวอร์โฮเต็ลและมาถึงสถานที่บันเทิงแห่งหนึ่งที่อยู่ติดกับโรงแรม
จางเล่ยเลือกที่จะเล่นบิลเลียดอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะหลังจากที่เขาได้เห็นทักษะการเล่นบิลเลียดอันยอดเยี่ยมของจี้เฟิง เขาก็อยากให้จี้เฟิงถ่ายทอดเทคนิคพิเศษเหล่านั้นมาโดยตลอด และในเมื่อตอนนี้โอกาสมาอยู่ตรงหน้าแล้ว เขาจะยอมพลาดมันไปได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตามพวกเขาทั้งสามคนไม่ได้รู้ตัวเลยว่า หลังจากที่พวกเขาออกมาจากห้องอาหารส่วนตัวในโรงแรม ก็มีดวงตาคู่หนึ่งคอยจ้องมองพวกเขาอยู่ทางด้านหลัง
“โชคดีของฉันจริงๆ!” เมื่อจี้เฟิง จางเล่ยและถงเล่ยเดินออกมาจากโรงแรม สีหน้าของซูหม่าก็แสดงความเย้ยหยัน “ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมไอ้เด็กยากจนจี้เฟิงถึงกล้ามาที่โรงแรมหรูๆแบบนี้ นั่นเป็นเพราะจางเล่ยกับถงเล่ยนี่เอง!”
ในตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องคิดอะไรให้มาก เพราะเขาสามารถใช้อำนาจของพ่อในการทำเรื่องชั่วได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวอะไร หรือถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ พ่อของเขาก็พร้อมที่จะช่วยเหลือ เพราะฉะนั้นครั้งนี้มันจะไม่เหมือนครั้งก่อนๆ
“ตามฉันมา!” ทันใดนั้นซูหม่าก็เหมือนจะคิดแผนชั่วอะไรได้ เขาสั่งนักเลงที่อยู่รอบตัวทั้งสี่คนและบอกให้รีบเดินตามเขาไป
หัวใจของซูหม่าเต้นรัวและแรง เมื่อจ้องมองไปยังพวกจี้เฟิง “ถ้าพวกแกยังอยู่กันในโรงแรม ฉันคงทำอะไรพวกแกไม่ได้ แต่นี่พวกแกกลับเดินมาหาความตายกันเองนะ จะหาว่าฉันใจร้ายไม่ได้!”
เมื่อซูหม่าเห็นรอยยิ้มที่ดูเขินอายบนใบหน้าสวยของถงเล่ย ความเกลียดชังในใจของเขาก็ทวีคูณเพิ่มมากขึ้น
..............
“จี้เฟิง มาเร็ว สอนเทคนิคลับการเล่นบิลเลียดของนายให้ฉันหน่อย!” จางเล่ยถือไม้คิวด้วยท่าทางตื่นเต้นพร้อมกับเดินมาที่โต๊ะบิลเลียด
ถงเล่ยถามด้วยความประหลาดใจ “จี้เฟิงนายเล่นเป็นด้วยเหรอ?”
“นิดหน่อย” จี้เฟิงหัวเราะ
จู่ๆจางเล่ยก็อดไม่ได้ที่จะกลอกตาและพูดด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “เด็กโง่อย่าไปฟังที่ไอ้เจ้าบ้านั่นพูดเลย เขาจะเล่นเป็นแค่นิดหน่อยได้ยังไง ฝีมือของเขาสูงกว่าพวกระดับมืออาชีพซะอีก!”
หลังจากนั้นจางเล่ยก็เล่าถึงความโหดร้ายของจี้เฟิงที่จัดการเหอตงด้วยบิลเลียดต่อหน้าผู้คนมากมายที่ดูการแข่งขันระหว่างพวกเขาในเหตุการณ์ครั้งก่อน
“จี้เฟิงนายชนะแฟนของอาจารย์เซียวจริงๆเหรอ?” ถงเล่ยอดไม่ได้ที่จะถาม หลังจากที่ได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย “นั่นสินะ!”
“เจ้าบ้ามาได้แล้ว เร็วๆฉันอยากเล่นจะแย่แล้ว!” จางเล่ยพูดเร่งเร้าจี้เฟิงพร้อมกับวางมือลงบนโต๊ะตั้งท่าเตรียมพร้อมที่จะแทงลูก
“ปึง!”
ขณะนั้นเอง ลูกบิลเลียดลูกหนึ่งได้ลอยมากระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรงเฉียดหัวจางเล่ยไปเพียงนิดเดียว
“ฝีมือใคร?!”
สีหน้าของจางเล่ยดำมืดขึ้นทันทีด้วยความโกรธ เพราะหากลูกบิลเลียดลูกนั้นกระแทกถูกหัวของเขาโดยตรง เขาคงได้ยืนเลือดอาบหัวแตกไปแล้วแน่นอน
“เห้ย! ใครเสียงดังอะไรวะ!?!”
น้ำเสียงที่เหี้ยมเกรียมและพร้อมจะหาเรื่องเต็มที่ดังมาจากด้านข้างและจากนั้นนักเลงสี่คนที่ดูไร้ความปรานีก็เดินมาจากโต๊ะบิลเลียดที่อยู่ข้างๆพวกเขา
นักเลงหนึ่งในนั้นตะคอกถามอย่างเยาะเย้ย “ไอ้ลูกหมาตัวไหนมันกรีดร้องเมื่อกี๊วะ?!”
จางเล่ยก้มหน้ากัดฟันกรอดด้วยความโกรธ จากนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไหนแกลองพูดแบบเมื่อกี๊อีกครั้งนึงซิ?”
“ไอ้ลูกหมา!” นักเลงคนเดิมตะคอกซ้ำพร้อมด้วยท่าทางยั่วยุ “เด็กน้อย ทำไมทำหน้าดุอย่างนั้นล่ะ จะเข้ามากัดฉันหรือเปล่าเนี่ย?”
“ฮะฮะ...” มุมปากของจางเล่ยยกขึ้นและหัวเราะออกมาเบาๆ “สงสัยจะอยากเจ็บตัว!”
“พลั่ก!”
หลังจากที่พูดจบจางเล่ยก็พุ่งเข้าไปต่อยที่หน้าของนักเลงคนนั้นทันที
นักเลงคนที่โดนต่อยไม่ทันที่จะได้ตอบโต้ ก็โดนจางเล่ยต่อยซ้ำไปอีกครั้งจนล้มลงไปกองกับพื้นทันที
“โอ๊ย!! ไอ้พวกโง่พวกแกยืนรออะไรอยู่วะ จัดการมันสิโว้ย!” นักเลงคนที่ล้มลงไปแหกปากตะโกนขอความช่วยเหลือจากเพื่อนนักเลงอีกสามคน
ทันใดนั้นนักเลงทั้งสามที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ควักมีดออกจากเอวโดยไม่พูดอะไร หนึ่งในนั้นพุ่งตรงไปที่จางเล่ย ส่วนอีกสองคนนั้นก็ตรงดิ่งไปทางที่จี้เฟิงที่ยืนเงียบอยู่ไม่ไกลจากจางเล่ย
จี้เฟิงขมวดคิ้วและรู้สึกเหมือนมีอะไรแปลกๆ แค่เรื่องนี้ทำไมถึงมีเรื่องกันง่ายขนาดนั้น อย่างไรก็ตามเขาไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องนี้มากนัก นักเลงทั้งสองคนที่พุ่งมาทางเขาได้มาถึงตรงหน้าเขาแล้ว
“ปึ้กกก!!!”
เสียงหมัดที่รุนแรงและแข็งแกร่งของจี้เฟิงพุ่งเข้าไปกระแทกที่ท้องส่วนล่างของนักเลงคนที่อยู่ทางซ้ายอย่างหนักหน่วง
“ผั๊วะ”
นักเลงที่เพิ่งโดนต่อยไม่มีแม้แต่เวลาจะส่งเสียงร้องก็ถูกจี้เฟิงกระแทกด้วยหมัดหนักๆอีกครั้งและล้มลงกับพื้นอย่างแรงเขาหันไปสบตาเพื่อนนักเลงแวบหนึ่งก่อนจะเป็นลมสลบไป
นักเลงคนที่เหลือถึงกับผงะไปชั่วขณะ เขาไม่คาดคิดว่าไอ้เด็กผู้ชายหน้าติ๋มๆคนนี้จะมีพละกำลังมากขนาดนี้ นักเลงคนที่เหลือกัดฟันแน่นเขาถือมีดขึ้นมาและแทงไปที่จี้เฟิงอย่างสุดแรง
“นี่มันตั้งใจจะฆ่ากันเลยนี่หว่า!”
แสงเย็นวาบในดวงตาของจี้เฟิงปรากฏขึ้น และทันใดนั้นร่างของจี้เฟิงก็พุ่งไปข้างหน้ากระแทกเข้ากับแขนข้างที่ถือมีดอยู่ของนักเลงคนนั้น หลังจากนั้นจี้เฟิงใช้หมัดกระแทกเข้าที่ไหล่อย่างแรง
“กร๊อบ!” เสียงแตกละเอียดของกระดูกส่วนหัวไหล่ของนักเลงถึงกับดังออกมาพร้อมกับมีดที่อยู่ในมือก็กระเด็นหลุดทันที
“อ๊ากกก!!”
นักเลงร้องอย่างเจ็บปวดพร้อมกับเอามืออีกข้างจับไหล่ของตัวเองไว้
“ผั๊วะ” จี้เฟิงไม่รีรอต่อยเข้าไปที่ท้องน้อยของนักเลงที่กำลังงอตัวด้วยความเจ็บปวดอยู่ จนล้มลงไปกับพื้น
นักเลงคนที่พุ่งตรงไปยังจางเล่ยตอนนี้ก็กำลังนอนกรีดร้องอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวดจากการเตะของจางเล่ย
จี้เฟิงรีบเดินไปหาจางเล่ยอย่างรวดเร็วและพูดด้วยเสียงต่ำ “เล่ยซือฉันว่าเรื่องนี้มีอะไรแปลกๆ!”
จางเล่ยพยักหน้าและกล่าวว่า “ใช่ ปกตินักเลงพวกนี้จะไม่พกมีด ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันดูเหมือนจะไม่ได้เพ่งเล็งแค่ฉัน มันแปลกมาก!”
“เอาเป็นว่าฉันจะโทรหาผู้กองหยานก่อนก็แล้วกัน!” ปฏิกิริยาของจางเล่ยเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่ทันทีที่เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเขาก็ต้องหยุดชะงัก เพราะมีเสียงที่ตะโกนดังออกมาจากด้านข้าง
“หยุด!! ทั้งหมดวางอาวุธลง!”
…จบบทที่ 96~❤️