ตอนที่ 204 งานสบายข้าชอบ
ทั้งสองออกจากร้านตีเหล็กไปยังที่แห่งหนึ่ง ที่ห่างจากที่นั่นประมาณสองกิโลเมตร พวกเขาได้พบกับกำแพงสีทองสูงยี่สิบเมตร เมื่อทั้งสองขึ้นบนกำแพงก็พบว่าความหนาของกำแพงนั้นหนามาก เพียงพอให้รถม้าแปดคันวิ่งพร้อมกันโดยไม่เบียดได้เลยทีเดียว
เมื่อมองเข้าไปด้านในกำแพงก็พบกับลานทองคำโล่ง กินพื้นอย่างน้อยห้าถึงหกร้อยไร่ ใจกลางลานโล่งนั้นมีอารามสีทองขนาดใหญ่หลังหนึ่ง ที่รายล้อมไปด้วยรูปปั้นทหารทองคำสูงสองเมตรยืนนิ่ง มีจำนวนห้าถึงหกพันตน ยืนต่อแถวเป็นขบวนเหมือนกองทัพจริง ๆ ทั้งยังมีแม่ทัพทองคำขี่ม้าอยู่ด้วย
“ที่นั่นมีอะไร” เหนือภพถามบุหรง พลางชะเง้อมองสำรวจหุ่นปั้นแต่ละตัว
บุหรงล้วงเข้าไปในอกเสื้อตัวเอง ก่อนดึงสมุดบันทึกพร้อมกับเอาแผนที่นครทองคำ ที่แนบอยู่ในบันทึกเล่มนั้นออกมา
“ข้าเจอมันในศพของใครสักคนที่เคยมาที่นี่ ดูเหมือนพวกเขาจะจดบันทึกทุกอย่างเอาไว้ บอกทั้งทางเข้า สิ่งที่พบเจอ และสิ่งที่ของที่อยู่ภายในอารามทองคำ”
เหนือภพเอาบันทึกไปอ่าน แล้วเขาก็เข้าใจ อารามทองคำอยู่ใจกลางของนครทองคำ ซึ่งนครทองคำแบ่งออกเป็นเมืองทางตะวันออก และเมืองทางตะวันตก โดยมีอารามทองคำกั้นระหว่างกลางเอาไว้
ดูเหมือนว่าคณะเดินทางเจ้าของบันทึกและแผนที่จะไม่ได้เข้ามาทางเดียวกับเขา ทางที่เขาเข้ามานั้นมันเป็นเพียงประตูหน้า ส่วนทางที่เจ้าของบันทึกเข้ามาคือด้านหลังถ้ำเหมืองซึ่งน่าจะเป็นเส้นทางลับ หรือทางที่ขุดขึ้นใหม่ มันอยู่อีกฟากของอารามทองคำหรือนครทองคำทางตะวันออก และพวกเขาก็ตั้งใจเข้ามาก็เพื่อสิ่งของระดับพิภพ ‘เตาหลอมโลกันตร์’
เหนือภพพยักหน้าในใจรู้สึกตื่นเต้น เขารู้จักสิ่งของระดับพิภพจากตำราที่บุหรงให้เขาอ่าน แม้เขาจะอ่านไปเพียงครั้งเดียว
ระดับของสิ่งของไม่ว่าอาวุธหรือชุดเกราะ แบ่งออกเป็น 10-เหล็ก 9-แร่ 5-พิภพ 3-นภา เป็นคุณภาพที่บันทึกเอาไว้ในตำราหลอมอาวุธขั้นพื้นฐาน
ซึ่งสิ่งของระดับเหล็ก ก็คืออาวุธหรือสิ่งของทั่วไป ที่สร้างขึ้นจากเหล็กกล้า เหล็กทั่วไปหรือเหล็กไหล มีระดับแยกตามคุณภาพตั้งแต่ 1 ถึง 10 ระดับ
ส่วนระดับแร่ใช้เรียกอาวุธหรือสิ่งของจำพวกที่มีผลกับอาคม อาวุธอาคม แบ่งออกเป็น 9 ระดับ ซึ่งแต่ละระดับนั้นเรียกตามแร่มีสีที่ใช้ในการหลอมสร้าง
ส่วนระดับพิภพได้ถูกจารึกเอาไว้ในตำนานโบราณ มันคืออาวุธหรือสิ่งของที่ถูกหลอมสร้างจากแร่ 9 สี ราชันย์เหล็กไหล วัตถุดิบล้ำค่าจากสัตว์อสูรระดับดิน และจิตวิญญาณสิ่งมีชีวิตเป็นเพียงวัตถุดิบเสริม ยังมีส่วนผสมอีกอย่างที่ไม่มีใครรู้ จึงทำให้สิ่งของระดับดินในปัจจุบันไม่มีใครสร้างได้อีก มันแบ่งออกด้วยกัน 5 ระดับ เป็นอาวุธที่มีชีวิต มีอำนาจสั่นสะเทือนพื้นพิภพ และก็ถูกนับว่าเป็นอาวุธต้องสาป
และสุดท้ายระดับนภา มีเพียงชื่อและคำกล่าวอ้าง แต่กลับไม่ข้อมูลหรือรายละเอียด ว่ากันว่ามี 3 ระดับ
“เจ้าต้องการมัน อีกอย่างหากเราต้องออกไป ยังไงก็ต้องข้ามที่นี่ไปอยู่ดี ดังนั้นจะดียิ่งกว่าหากนำของระดับนี้ไปด้วย เจ้าอยากทิ้งให้มันเสียของหรือไง”
บุหรงหันมาถาม ส่วนเหนือภพก็ยิ้มตอบ เพราะในบันทึกไม่เพียงบอกว่ามีสิ่งของระดับพิภพ แต่ยังมีสิ่งของล้ำค่ามากมาย มันคงทำกำไรให้เขามหาศาล เขาต้องการเงินเพื่อที่พัฒนาวิชาลมปราณราชันย์ยักษา นั่นก็คือเนื้อสัตว์อสูร ซึ่งการจะได้มันก็คือต้องมีเงินและต้องเป็นเงินแบบพิเศษอย่างเหรียญนพรัตน์ เขาต้องเอาของล้ำค่าพวกนี้นำไปประมูลเพื่อหาเหรียญนพรัตน์ให้มากที่สุด
“งั้นก็จัดไปรุ่นพี่”
เหนือภพกับบุหรงพูดคุยวางแผนตกลงกัน ถ้าจะบุกไปยังอารามทองคำนั้นต้องเผชิญหน้ากับนักรบทองคำนับหลายพัน ที่ไม่ต้องคิดซับซ้อนก็มั่นใจได้ว่าพวกมันโจมตีพวกเขาแน่ในทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในอาณาเขตของมัน ดังนั้นที่บุหรงต้องเตรียมคืออาวุธและต้องมั่นใจว่าจะแกร่งพอที่จะบดทำลายหุ่นนักรบทองคำเหล่านั้น
ทั้งสองแยกกันทำงาน เหนือภพใช้เวลาว่างการอ่านตำราวิชาหลอมสร้างโลหะพื้นฐาน หลอมแร่แปรธาตุ และวิชาที่เกี่ยวเนื่องกับหลอมตีอาวุธอีกหลายเล่ม เพียงไม่กี่รอบเขาก็จำมันได้ขึ้นใจ หวังว่าจะช่วยอะไรบุหรงได้บ้าง แต่นั่นยังไม่พอ เขาต้องอ่านตำราที่บุหรงให้มาอีกนับสิบเล่มที่เป็นระดับกลางซึ่งยากกว่า
เหนือภพต้องใช้เวลาสองถึงสามวันถึงจะทำความเข้าใจและจดจำมันได้ แต่มันยังไม่จบเท่านั้น บุหรงยังเอาหนังสือออกมาให้เขาอ่านอีก จนเขาเริ่มสงสัยแล้วว่าหน้าอกใหญ่โตของนาง มันเป็นเพราะนางยัดหนังสือเอาไว้หรือว่าเป็นที่กรรมพันธุ์ ทำไมนางถึงสามารถนำตำราออกมาได้มากมายเช่นนั้น
ยิ่งการเรียนรู้มาถึงระดับสูง เหนือภพก็ต้องใช้เวลาไปนับสามอาทิตย์ในการทำความเข้าใจ ยังดีที่เขาไม่ได้ใช้เวลาไปกับการอ่านเพียงอย่างเดียว เพราะทองคำภายในนครแถบตะวันตกที่เขาอยู่ เก้าในสิบส่วนถูกเขาลอกออกมาจนหมด ไม่ว่าจะเป็นสมบัติของล้ำค่าทั้งหลายล้วนถูกเหนือภพเก็บกวาดไปจนสิ้น เหลือไว้แค่ส่วนที่บุหรงทำงานอยู่ ซึ่งที่นั่นคือที่ที่เขาตั้งใจว่าจะลอกมันออกเป็นส่วนสุดท้ายก่อนจากไป
“ในที่สุดก็สำเร็จ”
บุหรงพูดออกมาอย่างโล่งใจ นางใช้เวลาไปเกือบสี่อาทิตย์ในการซ่อมแซมและพัฒนาหอกเขี้ยวเงิน กับดาบร้อยคมแปรผัน
รอยแตกร้าวบนดาบร้อยคมแปรผันถูกกำจัด รอยบิ่นและหักงอของหอกเขี้ยวเงินถูกลับและหลอมสร้างด้วยลูกธนูระดับแปด ในตอนนี้มันไม่ใช่สีเงินอีกต่อไปแล้ว แต่มันเป็นสีทองล้วนไม่เว้นแม้แต่รอยคมเขี้ยวแปรผัน และนี่ก็คือความต้องการของเหนือภพเอง
“คุณสมบัติใหม่เป็นยังไง” เหนือภพถามหลังได้ยินสิ่งที่นางพูด
“ต้องลองดู ข้าได้สับเปลี่ยนกลไกดาบนิดหน่อย เจ้าลองแยกใบดาบออกดู”
เหนือภพทำตาม ก่อนจะเริ่มใช้ลมปราณราชันย์ยักษาในการขับเคลื่อน
ฟุบ ฟุบ ฟุบ
เสียงของร้อยคมเขี้ยวแตกออกมาจากใบดาบร้อยคมแปรผันราวกับผึ้งแตกรัง แต่มันกลับไม่ได้แตกออกมาทั้งหมด เหลือแกนกลางของดาบเอาไว้ ทำให้เหนือภพในตอนนี้กำลังถือดาบยาวสองคมขนาดเล็กลง ขณะที่มีร้อยคมเขี้ยวบินวนอยู่รอบตัวดาบ
“นี่มัน”
“เท่าที่สังเกตดู แม้การปล่อยเศษคมอาวุธจะสามารถโจมตีในระยะไกลได้ก็จริง แต่เจ้าจะเสียเปรียบหากมีศัตรูประชิดจำนวนมาก ดังนั้นข้าคิดว่าควรลดจำนวนคมมีดบินแล้วนำมาเสริมดาบ เท่ากับว่าเจ้าจะเปลี่ยนรูปแบบดาบได้ สามรูปแบบ แต่ละรูปแบบจะมีประสิทธิภาพและจุดประสงค์ในการใช้งานต่างกัน ซึ่งรูปลักษณ์แรกตัวดาบปกติสามารถใช้สู้ตัวต่อตัว ตัวดาบจะมีความคล่องแคล่วพอตัว และรูปแบบสองคือดาบใหญ่ เน้นการทุบทำลาย เหมาะสำหรับการโจมตีคนหมู่มาก อีกทั้งด้วยใบหน้าดาบที่ใหญ่สามารถใช้เป็นโล่ได้ในยามคับขัน ส่วนรูปแบบที่สามเด่นทั้งการโจมตีระยะไกล ระยะประชิด และต่อสู้ทั้งแบบเดี่ยวและหมู่มาก นับว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าสองรูปแบบแรก แต่ข้อเสียคือการควบคุมดาบอาจจะต้องใช้กำลังภายในและสมาธิเป็นอย่างมาก ถึงจะดึงประสิทธิภาพออกมาได้มากที่สุด เท่ากับว่าเจ้าสามารถโจมตีระยะไกลและใกล้ได้พร้อมกัน”
บุหรงร่ายยาวด้วยความภาคภูมิใจ เธอมั่นใจมากว่าความสามารถในด้านอาวุธของเธอก็ไม่เป็นรองใคร
เหนือภพพยักหน้า การแบ่งแยกสมองให้ควบคุมสองอย่างมันยากจริง ๆ แต่หากฝึกฝนสักหน่อย อาจจะเป็นไปได้
“นั่นไม่น่าจะเป็นปัญหา เจ้ามั่นใจแค่ไหนว่าอาวุธพวกนี้จะฟันนักรบทองคำนั้นเข้า”
“ข้าคิดว่าว่าไอ้ตัวเล็กพวกนั้นคงไม่แข็งแกร่งไปกว่าหุ่นสังหารยักษ์ตัวนั้นหรอกมั้ง ขนาดเจ้านั้นยังถูกลูกศรระดับแปดพวกนี้เจาะจนพรุน แม้ดาบพวกนี้จะไม่ได้สร้างขึ้นด้วยความประณีตนัก แต่รับรองได้เลยว่าประสิทธิภาพของมันนั้นไม่ธรรมดา ข้าเอาหัวเป็นประกันเลย”
เหนือภพมองสบตาที่แสนมั่นใจของเธอ จากนั้นเขาก็พยักหน้า
“งั้นก็ไปกันเถอะ”
“อืม”
บุหรงเก็บข้าวของ หลังจากออกมาจากร้านตีเหล็กเธอก็อ้าปากค้าง เมื่อเห็นนครทำคำดูมืดมน แม้จะมีแสงสว่างจากคบเพลิงนิรันดร์ให้แสงสว่างตามจุดต่าง ๆ ของเมือง แต่ก็ไม่สว่างเท่าก่อนหน้า
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
“ช่างเถอะน่า ไปกันเถอะ”
เหนือภพดันบุหรงให้เดินต่อไปข้างหน้า ขณะที่เขาพูดในใจว่า ‘เก็บ’ เพื่อดูดเอาทองคำตลอดทาง จนกระทั่งถึงกำแพงทองคำ บุหรงในตอนนี้ที่เก็บงำความคิดมาตลอดจับจ้องไปยังเหนือภพ
“ดูเหมือนเจ้าจะมีของดีจำพวกลอกทองคำสินะ”
เหนือภพได้แต่ยิ้ม
“แหมรุ่นพี่ คนเราก็ต้องมีความลับกันบ้างสิ รุ่นพี่เองก็มี ข้ายังไม่อยากรู้เลย”
“หน็อยเจ้าเด็กบ้า ฝากไว้ก่อนเถอะ”
บุหรงหน้ามุ่ย แต่ก็จับจ้องไปยังอารามทองคำ ก่อนจะหันไปมองเหนือภพ
“เจ้าคิดว่าหากเราบุกกันเข้าไป จะมีโอกาสรอดกี่ส่วน”
เหนือภพชูกำปั้น ซึ่งแสดงออกว่าโอกาสเป็นศูนย์ ทำให้บุหรงนิ่วหน้า
“เจ้านี่มันไม่ให้กำลังใจกันเลยนะ”
“พวกเราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่ อีกอย่างในกองทัพนักรบนั้นมีพลยิงธนูอย่างน้องตกสองพันนาย หากเป็นอย่างที่ข้าคิด ทันทีที่เราลงไป ยังไม่ทันที่จะถึงตัวมันลูกธนูพวกมันก็ถึงพวกเราก่อน อย่าลืมนะตอนนี้ข้าไม่ได้มีชุดเกราะ รุ่นพี่เองก็ไม่ได้เป็นอมตะ ขืนไม่คิดให้ดี ๆ ได้เป็นผีเฝ้านครครานี้แน่”
“แล้วเจ้ามีความคิดยังไง”
“ระเบิด” เหนือภพพูดอย่างมั่นใจ
“ห่ะ”
“ยังจำวิชาที่ข้าใช้กับจักรพรรดิค้างคาวได้ไหม ข้าจะทำแบบเดียวกัน ข้าจะเริ่มยิงมันจากฝั่งโน้น”
เหนือภพเอ่ยพร้อมกับชี้ไปยังด้านของกำแพงซึ่งอยู่ทางใต้ของอาราม โดยบุหรงอยู่ที่เดิมทางตะวันตกของอาราม
“ทันทีที่พวกมันจะวิ่งเข้าหาข้า ข้าจะดึงพวกมันไว้ ส่วนรุ่นพี่ก็ฉวยโอกาสนั้นเข้าไปในอารามให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“ได้” บุหรงรับคำโดยไม่คัดค้าน
“นี่รุ่นพี่”
เหนือภพที่กำลังจะเดินจากไปเพื่อทำตามแผน หันกลับมามองหญิงสาวที่กำลังทำหน้าจริงจัง เพื่อจะทำตามแผนเช่นกัน
“เอ่อ ในสถานการณ์แบบนี้ เจ้าควรจะแย้งข้า หรือห้ามข้าหน่อยไม่ใช่หรือ ข้าไปทำงานอันตรายเลยนะ”
บุหรงได้ยินเช่นนั้นก็มองสบตาเหนือภพ แล้วกะพริบตาปริบ ๆ
“ทำไมล่ะ งานสบายข้าชอบ เรื่องอะไรข้าจะต้องไปเสี่ยงตายกับเจ้าเล่า รีบ ๆ ทำเถอะน่า ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่นานนัก”
เฮ้อ
เหนือภพส่ายหน้าให้กับรุ่นพี่ตัวแสบของเขา ก่อนจะแยกตัวไปตามแผน ส่วนบุหรงได้แต่ยิ้ม พลางจับจ้องแผ่นหลังชายหนุ่ม แม้จะกังวลแต่เธอรู้ดีว่า แย้งไปแล้วได้อะไร ถึงอย่างไรเธอก็ทำแบบชายหนุ่มไม่ได้ ไม่มีอะไรเปลี่ยนความจริงที่ว่าเธออ่อนแอ ทางเลือกแบบนี้จึงถูกต้องที่สุด