บทที่ 9 สำนักวิชาที่หนึ่ง
สำนักวิชาชั้นนอกของสำนักดาบบูรพานั้นกินพื้นที่ภูเขาทั้งหมดเป็นจำนวน 9 ลูก แต่ละสำนักวิชาก็จะมีภูเขาของตัวเอง และก้าวแรกในพิธีรับศิษย์ชั้นนอกก็คือการเลือกว่าจะมุ่งหน้าไปยังเขาลูกใด
เหล่าศิษย์ธรรมดาที่ผ่านเกณฑ์การเข้าพิธีต่างมุ่งหน้าไปยังสำนักวิชาที่ตัวเองเลือก เดินจนไปถึงยอดและเข้ารับการคัดเลือก
วันนี้มีศิษย์ทั้งหมดจำนวน 1000 คนมุ่งหน้าไปยังตีนเขา 9 ยอด มันทำให้สำนักดาบบูรพานั้นคับคั่งไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา แน่นอนว่าทั้งหมดคือศิษย์ แต่สิ่งหนึ่งที่ศิษย์เหล่านี้มีเหมือนกันก็คือพวกเขามีลมปราณระดับทองและอายุไม่เกิน 25 ปี
นี่เป็นเกณฑ์ขั้นพื้นฐานที่ทางสำนักดาบบูรพากำหนดไว้ พวกเขาต้องเปิดลมปราณระดับทองให้ได้ก่อนอายุ 25 ปี ไม่เช่นนั้นจะไม่มีสิทธิเข้าเป็นศิษย์ชั้นนอก
หากลองนึกถึงเสินหมิงจากนิกายภูเขาหยก เขานั้นได้เป็นหนึ่งในสิบศิษย์สำนักใน ทั้ง ๆ แต่เขาเปิดลมปราณระดับทองได้ตอนที่อายุล่วงเลยเข้าไป 28 ปี ทั้ง ๆ ที่เป็นอย่างนั้นเขากลับได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดคนในนิกายภูเขาหยก แต่หากให้เขามาอยู่ในสำนักดาบบูรพา เขานั้นไม่มีปัญญาแม้แต่จะผ่านเกณฑ์การเป็นศิษย์ชั้นนอก
มันต่างกันราวฟ้ากับเหว และแน่นอนว่าสำนักดาบบูรพานั้นคับคั่งไปด้วยเหล่ายอดอัจฉริยะ เหล่าคนหนุ่มสาวจากทั่วใต้หล้าต่างภาคภูมิใจที่ตัวเองได้เข้ามาอยู่ในสำนักดาบบูรพา
เสี่ยวเฉินและโม่เจี่ยกับพรรคพวกเดินทางออกไปยังตีนเขา 9 ยอด ระหว่างทางมีศิษย์หลายคนหันหน้ามามองทางเสี่ยวเฉิน ไม่สิ หันหน้ามามองเด็กหนุ่มอายุ 18 ปีที่บรรลุปราณระดับทอง พรสวรรค์ที่เสี่ยวเฉินมีนั้นทำให้เขาเจิดจ้ากว้าใคร ๆ ในบรรดาศิษย์ธรรมดาด้วยกัน
“คิดว่าเสี่ยวเฉินจะเลือกสำนักวิชาไหน?”
“ไม่ต้องถามก็รู้ว่าต้องเป็นสำนักวิชาที่หนึ่ง บรรลุลมปราณทองด้วยอายุแค่ 18 ปีนั้นผ่านเกณฑ์ของสำนักวิชาได้สบาย ๆ ...”
“ข้าว่าอาจจะไม่ใช่ก็ได้ เพราะการคัดเลือกของสำนักที่หนึ่งนั้นเข้มงวดมาก ถึงความเร็วในการฝึกปราณของเสี่ยวเฉินจะล้ำเลิศ แต่ข้าว่ามันก็ยังน่าจะเข้าไปสู่สำนักวิชาที่หนึ่งได้ยากอยู่ดี”
“เลิกพูดจาไร้สาระเสียที ยังไงพวกเราก็ไม่มีทางไปเข้าสำนักวิชาที่หนึ่งได้อยู่แล้ว ข้าหวังเพียงว่าจะผ่านการคัดเลือกของสำนักวิชาที่แปดได้”
คนมากมายต่างหันมองดูที่เสี่ยวเฉินและซุบซิบคุยกันไปตามทาง แต่ทว่าเสี่ยวเฉินนั้นกลับมีสีหน้าแสนสุขุม จนไปถึงตีนเขา 9 ยอดในที่สุดเขาก็หันมายังโม่เจี่ยและคนอื่น ๆ
“ศิษย์พี่ชาย ศิษย์พี่หญิง ข้าขอตัวลา”
“อืม ขอให้โชคดี”
“ศิษย์น้องเสี่ยวเฉิน อย่าทำให้พวกเราขายหน้าล่ะ เจ้าต้องผ่านการคัดเลือกของสำนักวิชาที่หนึ่งให้ได้นะ”
ตอนที่เขากลับไปยังบ้านที่มณฑลหลิงซานมีศิษย์คนอื่น ๆ ตามเสี่ยวเฉินไปด้วย 7 คน พวกเขาเป็นคนที่เสี่ยวเฉินสนิทด้วยมาก หลังได้ยินคำลาของเสี่ยวเฉิน หญิงสาวคนหนึ่งในกลุ่มจึงพูดแบบนั้นขึ้น
พวกเขาไม่ได้กล้าเหมือนเสี่ยวเฉินที่จะเลือกสำนักวิชาที่หนึ่ง พวกเขาไม่มีทางผ่านได้ เพราะเกณฑ์ในการรับศิษย์ของสำนักวิชาที่หนึ่งนั้นเข้มงวดมาก ในจำนวนศิษย์ธรรมดารุ่นนี้ ไม่มีใครนอกจากเสี่ยวเฉินที่กล้าท้าทาย พวกเขาที่เหลือเลือกที่จะเข้าสำนักวิชาที่สองแทน
เขายิ้มและพยักหน้าให้ทุกคน จากนั้นเสี่ยวเฉินก็เดินตรงขึ้นไปยังที่ตั้งของสำนักวิชาที่หนึ่ง เส้นทางนี้ต่างจากเส้นทางไปยังสำนักวิชาอื่น ๆ เพราะมันมีเพียงแค่เสี่ยวเฉินเท่านั้นที่เดินขึ้นมา มันเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่แสนแน่นอน เพราะในรุ่นนี้ไม่มีใครคนอื่นเลือกจะเข้าสำนักวิชาที่หนึ่งนอกเสียจากเสี่ยวเฉิน
หลังได้ยืนมองแผ่นหลังของเสี่ยวเฉินเดินหายขึ้นไปยังภูเขาที่หนึ่ง หลาย ๆ คนต่างมองแผ่นหลังของเขาด้วยดวงตาแสนชื่นชม สำนักวิชาที่หนึ่ง สำนักวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสำนักวิชาชั้นนอก เหล่าศิษย์ที่ได้ฝึกฝนที่นั่นต่างมีแต่บรรดาสุดยอดของยอดอัจฉริยะ และว่ากันว่าตำแหน่งของศิษย์ชั้นนอกสำนักวิชาที่หนึ่งนั้นมีศักดิ์ไม่ได้ด้อยไปกว่าเหล่าศิษย์ชั้นในเลย บรรยากาศและวิชาที่พวกเขาได้ฝึกเองก็ไม่ด้อยไปกว่าศิษย์ชั้นในทั่ว ๆ ไปเลย
หลายคนต่างอิจฉาวิชาและบรรยากาศของสำนักวิชาที่หนึ่ง แต่ความอิจฉานั้นมันก็เปล่าประโยชน์ เพราะแค่อัจฉริยะธรรมดา ๆ นั้นไม่สามรถจะผ่านเข้าไปยังที่แห่งนั้นได้ ถึงพวกเขาจะโชคดีผ่านเข้าไปได้ ก็คงจะไม่สามารถทนอยู่ได้นานนัก หากให้เปรียบเทียบมันก็คงเหมือนนำเอาลูกแกะไปไว้กลางดงเสือ
เสี่ยวเฉินเดินขึ้นไปยังยอดของภูเขาที่หนึ่งอย่างเดียวดายโดยไม่สนสายตาของคนอื่น ๆ
เส้นทางการฝึกยุทธ์นั้นเดียวดาย เสี่ยวเฉินเข้าใจเรื่องนี้มานาน ตอนที่เขายังเป็นแค่คุณชายตระกูลเสี่ยว เด็ก ๆ คนอื่น ๆ ในตระกูลยังฝึกกันอยู่ที่ระดับพื้นฐานลมปราณ แต่เสี่ยวเฉินกลับบรรลุเข้าสู่ระดับเปิดชีพจร ไม่มีใครคนใดสามารถตามความเร็วของเสี่ยวเฉินได้ทัน ตอนอายุได้ 15 ปีเสี่ยวเฉินจึงคิดที่จะออกเดินทางไปฝึกที่อื่น เพราะการอยู่ต่อไปมีแต่จะรั้งความก้าวหน้าในวิชายุทธ์ของเขา
หลังได้เห็นแผ่นหลังอันเดียวดายของเสี่ยวเฉิน โม่เจี่ยก็ได้แต่ถอนหายใจอยู่ที่ตีนเขา “ข้าไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าพวกเราจะสามารถตามแผ่นหลังของน้องเสี่ยวเฉินไปได้อีกนานแค่ไหน บางทีมันอาจไม่นานนัก เพราะแม้แต่ตอนนี้ข้าก็ได้แต่มองดูเขาจากไปเสียแล้ว”
เสี่ยวเฉินนั้นพัฒนาตัวเองได้อย่างรวดเร็วมาก มากจนแม้แต่อัจฉริยะสวรรค์ส่งมาเกิดอย่างโม่เจี่ยก็ไม่สามารถตามได้ทัน
หลังได้ยินคำของโม่เจี่ย หญิงสาวรูปงามท่าทางอ่อนโยนที่พูดบอกลาเสี่ยวเฉินก็พูดออกมา “องค์รัชทายาทแห่งหลิงเฟิงเราจะดูถูกตัวเองเกินไปหรือเปล่า? ศิษย์น้องเสี่ยวเฉินนั้นพัฒนาตัวเองได้อย่างรวดเร็วก็จริง แต่มันก็แค่หมายความว่าเราต้องพยายามให้หนักขึ้น ข้านั้นไม่หวังจะตามเขาทันหรอก ข้าหวังเพียงแค่จะไม่ถูกเขาทิ้งห่างจนเกินไปก็เท่านั้น วันข้างหน้าข้าไม่อยากได้แต่ต้องมองแผ่นหลังของศิษย์น้องเสี่ยวเฉิน”
หญิงสาวคนนี้นามฉินสุยโหรวผู้มีอายุได้ 20 ปี พรสวรรค์ของเธอนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร แต่แค่ยังไม่สามารถเอาไปเทียบเคียงกับเสี่ยวเฉินได้
ระหว่างที่พูดนั้นฉินสุยโหรวมีดวงตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น หลังได้ยินแบบนั้นโม่เจี่ยก็ทำได้แค่ส่ายหัวออกมาด้วยรอยยิ้ม พวกเขาต่างรู้กันดีว่าฉินสุยโหรวนั้นแอบรักเสี่ยวเฉิน การที่ต้องมองดูเสี่ยวเฉินห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ และทำได้แต่มองดูเขาจากที่ไกล ๆ มันคงเป็นเรื่องที่เธอยอมรับไม่ได้
เสี่ยวเฉินยังคงมุ่งหน้าไปยังยอดเขาที่หนึ่งโดยไม่รู้ว่าโม่เจี่ยและคนอื่น ๆ กำลังมีความคิดแบบไหนอยู่ที่ด้านหลัง
ที่หน้าสำนักวิชา มีชายหญิงสองคนในชุดของสำนักวิชาที่หนึ่งเดินเข้ามาหยุดเสี่ยวเฉินไว้ การจะมองดูว่าใครเป็นศิษย์ของสำนักวิชาที่หนึ่งนั้นมีจุดสังเกตที่โดดเด่นอยู่ เพราะชุดของพวกเขากับชุดของศิษย์ชั้นนอกในสำนักวิชาอื่น ๆ อีก 8 สำนักนั้นมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน
เพราะชุดของสำนักวิชาอื่น ๆ นั้นจะประดับด้วยลายดาบเงินที่หน้าอก ส่วนสำนักที่หนึ่งนั้นจะเป็นลายดาบทอง แค่เห็นลายนี้บนอก หลาย ๆ คนก็สามารถแยกออกได้ทันทีว่าพวกเขาเป็นคนจากสำนักวิชาที่หนึ่ง
“หากอายุเกิน 20 แล้วจงไป สำนักวิชาที่หนึ่งเรารับแค่คนอายุต่ำกว่า 20 ปีเท่านั้น” หลังเห็นว่าเสี่ยวเฉินเดินขึ้นมาช้า ๆ ศิษย์ฝ่ายชายก็พูดออกมา
แค่เกณฑ์แรกก็เข้มงวดโหดหินแล้ว เพราะสำนักวิชาที่หนึ่งนั้นจะรับแค่ศิษย์ที่มีอายุไม่เกิน 20 ปี หมายความว่าหากจะเข้าสำนักวิชาที่หนึ่งได้ คนที่จะเข้าต้องสามารถบรรลุปราณระดับทองได้ก่อนอายุถึง 20 ปี แค่นั้นก็มากพอที่จะคัดหนึ่งในร้อยของอัจฉริยะแล้ว
แต่เสี่ยวเฉินกลับยกมือขึ้นมาทำความเคารพคนทั้งสองโดยไม่สนใจคำพูดของศิษย์ฝ่ายชายมากมายนัก “ศิษย์พี่ชายและศิษย์พี่หญิง ตัวศิษย์น้องมีนามว่าเสี่ยวเฉิน ปีนี้อายุย่างเข้า 18 ปี...”
หลังได้ยินคำของเสี่ยวเฉิน ทั้งสองคนก็แสดงท่าทางตกใจออกมา ปราณระดับทองตั้งแต่อายุ 18 นั้นเป็นเรื่องที่หายากมากแม้แต่กับสำนักวิชาที่หนึ่ง ตอนนี้นอกจากความตกใจแล้วทั้งสองคนยังมีสีหน้าที่ผ่อนคลายด้วย ศิษย์ฝ่ายหญิงพูดกับเสี่ยวเฉินด้วยรอยยิ้ม
“หมายความว่าเจ้าเองสินะคือศิษย์น้องเสี่ยวเฉิน เราคาดไว้ไม่ผิดจริง ๆ เจ้าเลือกที่จะมายังสำนักที่หนึ่งของเรา”