ตอนที่แล้วบทที่ 2 มังกรแห่งตระกูลเสี่ยว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 4 สังหาร

บทที่ 3 อ่อนแอเกินไป


เขาไม่เคยเห็นหม่าหยวนอยู่ในสายตา ด้วยพลังลมปราณแค่ระดับเปิดชีพจรขั้นมัธยม พลังแค่นี้ไม่มีทางจะต้านทานการโจมตีของเสี่ยวเฉินได้แม้แต่ครั้งเดียวอยู่แล้ว เพราะเมื่อสามปีก่อนตอนที่เขาอายุได้แค่ 15 ปี เสี่ยวเฉินก็ได้สำเร็จระดับเปิดชีพจรไปเรียบร้อยแล้ว

เขาจัดการหม่าหยวนได้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียว ทำให้เสินหมิงที่นั่งเงียบมานานเปิดปากพูดขึ้นในที่สุด “เจ้าคือมังกรแห่งตระกูลเสี่ยว อัจฉริยะที่ขึ้นชื่อดังไปทั้งมณฑลหลิงซานสินะ?”

เสินหมิงเองก็ได้เคยยินชื่อของเสี่ยวเฉินมาบ้าง และไม่ใช่แค่ตัวเขา แม้แต่เหล่าศิษย์รุ่นใหญ่ของนิกายภูเขาหยกก็เคยได้ยินชื่อเสี่ยวเฉิน เพราะพรสวรรค์ที่เสี่ยวเฉินแสดงออกมาตั้งแต่ยังเด็กนั้นเป็นสิ่งที่เหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป เดิมทีแล้วนิกายภูเขาหยกเองก็คิดจะรับเขาเข้ามาเป็นศิษย์ด้วยเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่เสี่ยวเฉินหายตัวไปก่อนเมื่อสามปีก่อน ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าตัวหายไปไหน แม้แต่นิกายภูเขาหยก

ทุกคนต่างได้ยินชื่อของเขาแต่ไม่มีใครได้พบเขา และวันนี้ก็เป็นครั้งแรกที่เสินหมิงได้พบหน้าเสี่ยวเฉิน คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเสี่ยวเฉินนั้นดูดีกว่าเสินหมิงในทุกด้าน แต่ก็เพราะแบบนั้น เสินหมิงจึงยิ่งไม่พอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นสายตาที่เฉินมู่ซือใช้มองเสี่ยวเฉิน

สายตาของเสินหมิงนั้นเต็มไปด้วยความเย็นเยือก เขาพูดออกมาช้า ๆ “หม่าหยวนเป็นแค่มดปลวกต่อหน้าเจ้า แต่เจ้ารู้ไหมว่าต่อหน้าข้า เจ้าเองก็เป็นได้แค่มดปลวกเช่นกัน...”

เขาไม่คิดจะสนใจเสี่ยวเฉิน ถึงแม้พรสวรรค์ของเขาจะโดดเด่นเพียงใด แต่เสี่ยวเฉินก็ยังเป็นแค่เด็กหนุ่มอายุ 18 ปี แล้วคนอายุเท่านี้จะมีกำลังภายในได้มากแค่ไหน? ตอนอายุเท่านี้เขาเองก็อยู่ในระดับเปิดชีพจรขั้นปัจฉิม และตอนนี้เขาอายุได้ 28 ปี พลังลมปราณของเขาเองก็อยู่ในระดับทองแล้ว

เขาไม่มั่นใจว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้ เสินหมิงมั่นใจอย่างมากว่าจะชนะเสี่ยวเฉินได้ เพราะเขาได้ฝึกวิชายุทธ์มานานกว่าเสี่ยวเฉินถึง 10 ปี

เขาคิดจะสั่งสอนเสี่ยวเฉินด้วยตัวเอง แต่ก่อนที่จะทันลงมือ ศิษย์นิกายภูเขาหยกคนหนึ่งที่ด้านหลังก็เดินออกมาต่อหน้าเขาและพูดขึ้น “ศิษย์พี่ เจ้าเด็กนี่มันไม่คู่ควรกับท่านหรอก ให้ข้าสั่งสอนมันเอง”

คน ๆ นี้เองก็เป็นศิษย์สำนักในของนิกายภูเขาหยกเช่นกัน ถึงพลังลมปราณของเขาจะต่ำกว่าเสินหมิง แต่เขาก็อยู่ในระดับเปิดชีพจรขั้นอุตมะ หลังได้ยินคำพูดนี้เสินหมิงก็หยุดคิดไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบกลับไปว่า “ดี ไม่เลวเลย แต่อย่าฆ่ามันล่ะ ขอแบบยังหายใจ”

เขามั่นใจว่าคน ๆ นี้จะสามารถจัดการกับเสี่ยวเฉินได้ หลังได้ยินแบบนั้นศิษย์คนนั้นก็เดินมาตรงหน้าเสี่ยวเฉิน พร้อมด้วยดาบยาวในมือ ก่อนจะพูดออกมาด้วยท่าทางเหยียดหยามว่า “มังกรแห่งตระกูลเสี่ยว เจ้ามันอาศัยอยู่ในโลกอันคับแคบ หากเทียบกับศิษย์นิกายภูเขาหยกเราแล้ว เจ้ามันก็แค่ระดับศิษย์ธรรมดา ๆ คนหนึ่ง วันนี้ขอให้ข้าได้สอนบทเรียนชีวิตให้เจ้าเอง...”

หลังพูดจบ ศิษย์คนนั้นก็ทิ่มดาบออกมาโดยปลายดาบเล็งไปที่ลำคอของเสี่ยวเฉิน หลังได้เห็นแบบนั้นเสี่ยวชิงก็ตะโกนออกมา “เฉิน ระวัง...”

เขานั้นมั่นใจในลูกชายของตัวเอง แต่ศิษย์นิกายภูเขาหยกนั้นมันเอามาเทียบกับหม่าหยวนและพรรคพวกไม่ได้เลย นิกายนั้นได้เปรียบด้านวิชาที่ได้รับมาจากสวรรค์ ทำให้การคัดเลือกคนเข้านิกายเป็นไปอย่างเข้มงวด เพราะฉะนั้นแม้มีพลังลมปราณในระดับเดียวกัน ความสามารถแท้จริงของศิษย์นิกายก็สูงกว่าคนทั่วไปมากนัก

เขาไม่เชื่อว่าลูกชายของตัวเองจะสามารถรับดาบนั้นไว้ได้ แต่ทว่าเสี่ยวชิงก็ต้องประหลาดใจ เมื่อภาพตรงหน้าที่ปรากฏออกมาคือภาพของเสี่ยวเฉินกำลังใช้นิ้วสองนิ้วคีบจับดาบของศัตรูไว้

ด้วยนิ้วแค่สองนิ้ว การโจมตีของศิษย์นิกายกลับถูกหยุดไว้ พอได้เห็นแบบนั้น ทุกคนต่างอ้าปากค้าง แต่ทว่าก่อนที่ทุกคนจะกลับมาตั้งสติได้ เสี่ยวเฉินก็เตะศัตรูคนนั้นจนลอยปลิวไป

มันเป็นท่า แม้จะเจอกับศิษย์ของนิกาย เสี่ยวเฉินก็ยังสามารถจัดการศัตรูลงได้

เขาจัดการศัตรูคนนี้ลงอย่างรวดเร็ว หลังได้เห็นแบบนั้นศิษย์นิกายภูเขาหยกอีก 6 คนที่เหลือที่ตามเสินหมิงมาต่างตะโกนขึ้นด้วยความโกรธ “เด็กน้อย เจ้ารนหาที่ตายแล้ว บังอาจมาทำร้ายศิษย์นิกายภูเขาหยกเรา วันนี้ไม่มีใครช่วยเจ้าได้แล้ว”

จะเรียกว่าหน้าไม่อายก็คงได้ คน 6 คนเข้ามาล้อมโจมตีเสี่ยวเฉิน ส่วนเสี่ยวเฉินก็พูดประชดกลับไปว่า “นิกายภูเขาหยกช่างเป็นนิกายที่ยิ่งใหญ่เสียจริง ๆ ช่างตอแหลได้อย่างสูงส่ง วันนี้ข้าได้เปิดหูเปิดตานัก”

“รนหาที่ตาย...” หลังได้ยินคำพูดของเสี่ยวเฉิน ศิษย์ทั้ง 6 คนของนิกายภูเขาหยกต่างตะโกนออกมาพร้อม ๆ กัน

หลังต้องรับมือคนถึง 6 คน จู่ ๆ ก็มีแสงสีเงินปรากฏขึ้นที่แหวนในมือของเสี่ยวเฉิน เผยให้เห็นดาบยาวสีเงิน

หลังจับดาบมั่น ลมหายใจของเสี่ยวเฉินก็เริ่มดุดันขึ้น ถ้าเสี่ยวเฉินคนก่อนคือดาบที่นอนเงียบอยู่ในฝัก ตอนนี้ก็คงเรียบได้ว่าเป็นดาบที่ไร้ฝักแล้ว

“แหวน...” หลังได้เห็นว่าบนมือของเสี่ยวเฉินมีแหวน เสินหมิงก็ได้แต่ต้องตกใจ

แหวนนี้ไม่ใช่สิ่งของที่คนทั่ว ๆ ไปจะมีได้ แม้แต่ตระกูลใหญ่อย่างตระกูลเสี่ยว ตระกูลเฉิน หรือตระกูลหม่าก็คงมีได้ไม่เกินแค่วงหรือสองวง หรือแม้แต่ในนิกายภูเขาหยกเอง คนที่จะมีแหวนได้ก็มีแค่เหล่าผู้เฒ่า หรือศิษย์ระดับสูงเท่านั้น แต่เสี่ยวเฉินที่อยู่ตรงหน้านี้กลับมีมันติดตัว

ถึงมันจะน่าตกใจอยู่บ้างที่เสี่ยวเฉินมีแหวน แต่แม้เสินหมิงจะตกใจ การที่เสี่ยวเฉินต้องสู้กับคนถึง 6 คนนี้มันก็หมายความว่าเขาได้พ่ายแพ้ไปแล้วอยู่ดี

เขาได้รับการขนานนามว่าเป็นมังกรแห่งตระกูลเสี่ยวมาตั้งแต่เล็ก เสี่ยวเฉินนั้นไม่ได้มีแค่ความเร็วในการฝึกลมปราณ แต่มีพลังในการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดาด้วย หากอยู่ในระดับเดียวกัน เสี่ยวเฉินก็แสดงความแข็งแกร่งกว่าใครออกมาตั้งแต่ยังเด็ก

ในจำนวนศิษย์นิกายภูเขาหยก 6 คน 3 คนอยู่ในระดับเปิดชีพจรขั้นอุตมะ อีก 3 คนอยู่ในระดับเปิดชีพจรขั้นปัจฉิม แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าเสี่ยวเฉิน มันก็ยังไม่พอ แค่ยืนสู้กันต่อหน้า ผลมันก็ออกมาอย่างชัดเจน

ด้วยดาบยาวในมือ ไม่มีใครมองอออกว่าเสี่ยวเฉินใช้วิชาสำนักไหน เพราะเขาใช้เพียงแค่กระบวนท่าดาบง่าย ๆ อย่างการแทง ยก กวาด และอื่น ๆ แม้ว่านักสู้ทุกคนจะสามารถใช้วิชาพื้นฐานพวกนี้ได้ แต่เมื่อมันถูกใช้ออกมาโดยเสี่ยวเฉิน กระบวนท่าเหล่านี้กลับเปลี่ยนไป แต่ละท่าที่เขาปล่อยออกมามันมีพลังมากกว่าที่คนอื่น ๆ ใช้หลายขุม

เขาใช้กระบวนท่าพื้นฐานต่อสู้กับศิษย์สำนักในนิกายภูเขาหยก แต่ละการแทงมีตำแหน่งที่ผิดแปลก รวดเร็ว และรุนแรง

“เป็นไปได้ยังไงกัน กระบวนท่าพื้นฐานจะมีพลังที่มากขนาดนี้ได้ยังไง...” ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่ากระบวนท่าดาบพื้นฐานจะมีพลังทำลายที่ทรงอำนาจขนาดนี้ จนทำให้ศิษย์นิกายภูเขาหยกต้องพูดออกมาด้วยความตระหนก

“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ข้าคงพูดได้แค่ว่าเจ้ายังไม่รู้จักมันดีพอก็เท่านั้น” หลังได้ยินคำพูดสุดตระหนกของศิษย์นิกายภูเขาหยก เสี่ยวเฉินจึงตอบกลับไปเบา ๆ ก่อนจะตวัดดาบออกไปจัดการกับผู้พูด

หลังจัดการศัตรูไปได้หนึ่งคน คนต่อ ๆ มาเองก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร หลังผ่านไปได้ประมาณ 15 นาที ในที่สุดศิษย์ของนิกายภูเขาหยกก็พ่ายแพ้ต่อเสี่ยวเฉินจนหมด

ทั้ง 6 คนไม่มีใครสามารถเอาชนะเสี่ยวเฉินได้ ตอนนี้ฝ่ายนิกายภูเขาหยกเหลือเพียงแค่เสินหมิงเท่านั้น หลังได้เห็นศิษย์ร่วมนิกายนอนเรียงรายอยู่บนพื้น เสินหมิงก็ได้แต่ทำหน้าไม่สู้ดี จนเสี่ยวเฉินพูดขึ้น

“เป็นมุกตลกที่ไม่น่าขำเลยจริง ๆ ถ้าเจ้ากลับไปตอนนี้จะไม่มีใครต้องเจ็บตัวอีก แต่หากคิดจะทำอะไรโง่ ๆ แล้วล่ะก็ คราวนี้คงไม่ได้จบแค่การเจ็บตัวแน่”

คำพูดนี้ของเสี่ยวเฉินมุ่งตรงไปยังเสินหมิง หลังได้ยิน เสินหมิงก็รู้สึกคับแค้นอยู่ในอก ที่เขาพูดออกมาแบบนี้มันหมายความว่าเขาไม่เห็นนิกายภูเขาหยกอยู่ในสายตาเลย...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด