บทที่ 10 การทดสอบพื้นฐาน
ชื่อของเสี่ยวเฉินนั้นไม่ได้แค่โด่งดังในหมู่ศิษย์ธรรมดาเท่านั้น แต่มันยังโด่งดังไปจนถึงหูของสำนักวิชาชั้นนอกทั้ง 9 สำนักด้วย ก่อนที่จะถึงวันงานคัดเลือกนี้ หลายต่อหลายคนต่างคาดเดากันว่าเสี่ยวเฉินจะต้องไปยังสำนักวิชาที่หนึ่ง และก็เป็นไปดังที่หลาย ๆ คนคาดการณ์ วันนี้เสี่ยวเฉินได้มาที่สำนักวิชาที่หนึ่งแล้ว
ด้วยอายุเพียง 18 ปีเขาก็สามารถบรรลุปราณระดับทอง ทำให้สามารถผ่านเงื่อนไขแรกได้ จากนั้นศิษย์หญิงคนนี้ก็นำพาเสี่ยวเฉินเข้าไปยังด้านในตัวสำนักวิชาที่หนึ่ง
ที่นี่ต่างจากสำนักอื่น ๆ เพราะสำนักวิชาที่หนึ่งนี้ดูร้างกว่าสำนักไหน ๆ แต่มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกอะไร เพราะเกณฑ์ในการผ่านเข้ามาเรียนที่นี่นั้นแสนจะเข้มงวด คนที่สามารถผ่านเข้ามาเรียนที่นี่ได้จึงเป็นคนจำนวนแค่น้อยนิด
หลังเดินมาถึงตึกหลักของสำนัก ศิษย์หญิงที่นำทางเสี่ยวเฉินมาก็อธิบายถึงเรื่องราวของสำนักวิชาที่หนึ่งอย่างคร่าว ๆ ให้เสี่ยวเฉินฟัง
เธอมีนามว่าเฉินหลิ่งเอ้อ อายุ 22 ปีมีพลังปราณระดับทองขั้นปัจฉิม
จากที่เฉินหลิ่งเอ้อเล่ามา เสี่ยวเฉินก็ได้รู้ว่าสำนักวิชาที่หนึ่งนี้มีศิษย์ทั้งหมด 160 คน และหากเสี่ยวเฉินผ่านการคัดเลือกเขาก็จะได้เป็นศิษย์ลำดับที่ 161
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าด้วยจำนวนแค่ร้อยกว่าคนนั้นเป็นจำนวนที่น้อยมากหากเทียบกับสำนักวิชาอื่น ๆ ที่มีศิษย์อยู่เกิน 1000 คน แต่หากมองจากอีกมุม มันก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างดีว่าสำนักวิชาที่หนึ่งนั้นเข้มงวดในการคัดเลือกศิษย์มากแค่ไหน หากไม่ใช่สุดยอดของยอดอัจฉริยะก็คงไม่มีทางผ่านเข้ามาได้
หลังเดินไปจนถึงห้องโถงใหญ่ของสำนัก ตอนที่เสี่ยวเฉินไปถึงเขาก็ได้พบว่าผู้อาวุโสของสำนักนั้นกำลังนั่งรออยู่แล้ว
เขาเป็นชายวัยกลางคนในชุดสีฟ้า เฉินหลิ่งเอ้อทำความเคารพและกล่าวออกไปว่า “ผู้อาวุโสมู่ นี่คือเสี่ยวเฉิน ปีนี้อายุได้ 18 ปีบรรลุลมปราณระดับทองและเลือกสำนักวิชาที่หนึ่งของเรา”
หลังได้ยินคำรายงานของเฉินหลิ่งเอ้อ ผู้อาวุโสมู่ก็พยักหน้ารับ ก่อนจะหันมามองเสี่ยวเฉินตั้งแต่หัวจรดเท้า
เขาเองก็เคยได้ยินชื่อจองเสี่ยวเฉินมาเช่นกัน ในฐานะคนที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาศิษย์ธรรมดารุ่นนี้ ด้วยตำแหน่งผู้อาวุโสของสำนักวิชาที่หนึ่ง เขาต้องสนใจเป็นธรรมดา
“การคัดเลือกจะจัดโดยข้า เสี่ยวเฉิน ต้องขอเตือนไว้ก่อนเลยนะว่าแม้เจ้าจะมีพรสวรรค์ที่สูงล้ำ มันก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะผ่านการคัดเลือกของสำนักวิชาที่หนึ่งเราได้ หากเจ้าไม่ผ่าน เจ้าก็จะเสียสิทธิในการเข้าสำนักวิชาอื่นไปด้วย และจะเสียโอกาสฟ้าประทานนี้ไปตลอดกาล ก่อนจะเริ่มกันจริง ๆ ข้าจะให้เจ้าได้มีโอกาสคิดอีกครั้ง เจ้าแน่ใจเหรอที่จะเข้ารับการคัดเลือกของสำนักวิชาที่หนึ่งเรา?” หลังมองดูเสี่ยวเฉินตั้งแต่หัวจรดเท้า ในที่สุดผู้อาวุโสมู่ก็พูดออกมา
ในพิธีเข้าเป็นศิษย์ชั้นนอกนั้น ทุกคนมีสิทธิที่จะเลือกสำนักวิชาที่ตัวเองต้องการ หากเพียงแต่ว่าเมื่อพวกเขาไม่ผ่านการคัดเลือก พวกเขาจะไม่สามารถกลายเป็นศิษย์ชั้นนอกของสำนักดาบบูรพาได้อีก
หลังได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสมู่ เสี่ยวเฉินก็พยักหน้ารับอย่างไร้ซึ่งความลังเล “ขอบพระคุณผู้อาวุโสที่ตักเตือน แต่ศิษย์ได้ตัดสินใจไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องคิดทบทวนอะไรอีก”
เขาคิดมานานมาแล้วก่อนที่จะเลือกมาที่นี่ สำนักวิชาที่หนึ่งเท่านั้นที่จะเป็นสถานที่ที่เขาเข้าเรียน ในสำนักดาบบูรพา สถานที่ที่มีอัจฉริยะเดินอยู่ทุกหนแห่งนี้ ที่สำนักวิชาที่หนึ่งนี้เป็นสถานที่ที่เหล่ามังกรต่างต่อสู้แย่งชิงความเป็นหนึ่งกัน เสี่ยวเฉินจึงต้องมาร่วมสังเวียนด้วย ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยยอดคนนี้ เขาจะกลายเป็นแสงที่สาดส่องตำนานของตัวเอง
โดยไร้ซึ่งความลังเลใด ๆ สายตาเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น หลังได้เห็นคำตอบของเสี่ยวเฉิน ผู้อาวุโสมู่จึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
ในฐานะศิษย์ของสำนักวิชาที่หนึ่ง พรสวรรค์นั้นเป็นเรื่องสำคัญ แค่ความมุ่งมั่นเองก็สำคัญไม่แพ้กัน ถ้าไม่มั่นใจมากขนาดนี้ก็คงไม่มีทางเป็นศิษย์ของสำนักวิชาที่หนึ่งได้
เสี่ยวเฉินสร้างความประทับใจได้อย่างดี และขั้นต่อไปก็คือการทดสอบจริง
การทดสอบเพื่อคัดเลือกนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 ขั้น และขั้นแรงก็คือการทดสอบพื้นฐาน
พื้นฐานนั้นสำคัญในทุกเรื่อง หากคนเราไม่มีพื้นฐานวิชาลมปราณที่แน่นพอ ต่อให้ผ่านระดับเปิดชีพจรหรือแม้แต่จะบรรลุระดับทองมาได้มันก็ไร้ประโยชน์
ผู้อาวุโสมู่หยิบหยกก้อนหนึ่งออกมาจากแหวนของตัวเองและกล่าว “นี่คือหินที่เรียกว่าหินทดสอบพื้นฐาน จงเพ่งปราณใส่ลงไปในหยกก้อนนี้ จากนั้นมันจะส่องแสงออกมาตามระดับพื้นฐานปราณที่เจ้ามี จากต่ำไปสูง จะมีแสงสีขาว สีเขียว สีน้ำเงิน สีม่วง และสีทอง และมีแต่คนที่ได้สีม่วงขึ้นไปเท่านั้นถึงจะผ่านเกณฑ์”
เสี่ยวเฉินค่อย ๆ ฟังเกณฑ์ของการผ่านจากปากผู้อาวุโสมู่ และระหว่างนั้นศิษย์คนอื่น ๆ ของสำนักวิชาที่หนึ่งก็เริ่มมามุงดูกันนอกโถงหลัก
เดิมทีแล้วจำนวนศิษย์ของสำนักวิชาที่หนึ่งนั้นมีน้อย แต่ตอนนี้คนจำนวนมากมายเกือบครึ่งของศิษย์ทั้งหมดกลับมาล้อมโถงหลักไว้ พวกเขาต่างสนใจว่าใครแบบไหนจะมาเป็นศิษย์คนใหม่ และจะเก่งกาจแค่ไหน
หลังต้องตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน เสี่ยวเฉินก็ค่อย ๆ กดมือขวาลงไปยังหินทดสอบพื้นฐาน ก่อนจะเพ่งปราณใส่ลงไป ทำให้หินส่องแสงออกมา
ตอนแรกมันส่องแสงสีขาว แต่ก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวแทบจะในทันที จากนั้นก็น้ำเงิน จนเริ่มกลายเป็นสีม่วง ตอนที่สีม่วงปรากฏออกมามันก็หมายความว่าเสี่ยวเฉินได้ผ่านเกณฑ์ของสำนักที่หนึ่งแล้ว แต่เรื่องมันยังไม่จบ เพราะหลังจากแสงสีม่วงสว่างขึ้น แสงสีทองก็ค่อย ๆ ปรากฏตามมา
หลังผ่านไปได้ประมาณ 10 วินาที แสงสีม่วงก็หายไปและแทนที่มาด้วยแสงสีทองอร่าม
“แสงสีทอง นี่มัน... หรือว่าสำนักที่หนึ่งของเราจะได้คนที่ทำลายขีดจำกัดพื้นฐานมาอีกคนแล้วกัน?”
หลังเห็นแสงสีทองปรากฏขึ้น สีหน้าของศิษย์หลาย ๆ คนก็เริ่มเปลี่ยนไป พวกเขาเหล่านี้ต่างเป็นสุดยอดของยอดอัจฉริยะ แต่ทว่าแสงสีทองนี้หมายถึงคนที่พื้นฐานปราณอยู่ในขั้นสูงสุด และจากที่ผ่าน ๆ มาในประวัติศาสตร์ของสำนักวิชาที่หนึ่ง มันก็มีแค่ 3 คนเท่านั้นที่มี หากรวมเสี่ยวเฉินเข้าไปด้วย เขาก็จะเป็นคนที่ 4
เหล่าสุดยอดอัจฉริยะหลาย ๆ คนในสำนักวิชาที่หนึ่งมองมาที่เขาด้วยสายตาที่แฝงความริษยาไว้ ทางด้านผู้อาวุโสมู่เองหลังได้เห็นแสงสีทองนั้น ดวงตาก็เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน เพราะนี่คือคนที่ 4 ที่มีปราณพื้นฐานถึงขีดสุด เป็นอัจฉริยะในการฝึกฝน เป็นสุดยอดอัจฉริยะสวรรค์ส่งมาเกิดที่สำนักที่หนึ่งต้องการจริง ๆ
หลังจากผ่านการทดสอบแรกไป ผลการทดสอบของเสี่ยวเฉินก็เรียกได้ว่าผ่านอย่างล้นเหลือ ต่อไปคือการทดสอบพื้นฐานวิชาดาบ ซึ่งต้องชำนาญถึงระดับเปลี่ยนแปลง
เช่นเดียวกันกับวิชาพื้นฐานลมปราณ วิชาพื้นฐานการต่อสู้นั้นก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ อีกสิ่งหนึ่ง ถึงมันจะดูเป็นแค่วิชาพื้น ๆ ธรรมดา ๆ แต่วิชาการต่อสู้ชั้นสูงทุกวิชาก็มาจากการเปลี่ยนแปลงวิชาระดับพื้นฐานทั้งสิ้น คนเราต้องฝึกวิชาขั้นพื้นฐานให้ถึงที่สุดก่อน จึงจะสามารถแสดงคมของดาบออกมาได้ถึงที่สุด
หลังได้ยินแบบนั้น เสี่ยวเฉินก็ไม่พูดอะไรให้มากความและเริ่มแสดงวิชาดาบพื้นฐานต่อหน้าทุกคน
แทงสั้น ยก แยก แทง และอื่น ๆ เสี่ยวเฉินแสดงวิชาดาบพื้นฐานออกมาเรื่อย ๆ อย่างไม่มีช่องว่าง
วิชาดาบพื้นฐานง่าย ๆ แต่กลับดูทรงพลังเหลือเกินเมื่อเสี่ยวเฉินแสดงออกมา มันหมายความว่าเขาต้องมีความชำนาญวิชาเหล่านี้ถึงขั้นเปลี่ยนแปลงแล้วเท่านั้นจึงจะทำแบบนี้ได้
“สุดขีดขั้นเปลี่ยนแปลง ไม่เลว ๆ ...”
เสี่ยวเฉินผ่านการทดสอบสองขั้นอย่างสมบูรณ์แบบ สุดขีดพื้นฐานลมปราณและสุดขีดวิชาดาบพื้นฐานขั้นเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นวิชาลมปราณหรือวิชาดาบ เสี่ยวเฉินก็เรียกได้ว่าเกือบจะทำมันได้ถึงจุดสมบูรณ์แบบ แม้แต่ผู้อาวุโสมู่ที่มีพลังลมปราณระดับสวรรค์ก็ยังไม่สามารถหาจุดจะตำหนิเขาได้
“เขาคนนี้คือเสี่ยวเฉิน ผู้มีทั้งสุดขีดพื้นฐานลมปราณและสุดขีดวิชาดาบพื้นฐานขั้นเปลี่ยนแปลง ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ สำนักวิชาที่หนึ่งของเราคงได้ครึกครื้นกันอีกแล้ว...”
“หืม ศิษย์ใหม่ ต่อให้มีพรสวรรค์แค่ไหน อย่างน้อย ๆ ก็ต้องใช้เวลาอีกหนึ่งปีถึงจะสู้กับเหล่ามังกรและพญาเสือได้”