ตอนที่ 201 ร..ระ..รุ่นพี่ ท่านจะทำ..อ..อะ...ไร
“รีบ ๆ ทำเร็ว !”
ฉึก !! บุหรงรีบกระชากลูกศรอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเหนือภพไม่กระตุกสักนิด แต่บาดแผลและเลือดที่ไหลทะลักออกมาก็ทำให้เขาต้องเบือนหน้าหนี
“ทนอีกหน่อย ยังเหลืออีกห้าดอก”
“อืม”
เหนือภพพยักหน้า บุหรงพยายามอย่างมากที่จะดึงหัวธนูออกมาโดยไม่ขยายแผลให้ใหญ่ขึ้น เสียงลูกธนูถูกกระชากออกจากบาดแผลดังต่อเนื่อง ขณะที่ใบหน้าขาวซีดของเหนือภพยังคงนิ่ง เขาได้แต่นั่งกินเม็ดยาฟื้นเลือดโดยไม่กรีดร้องอะไรออกมา
“ยังไม่ต้องดึงข้างล่าง ทำแผลข้างบนก่อน”
เหนือภพรีบบอกขณะที่บุหรงทำท่าจะดึงลูกศรสามดอก ที่ช่วงต้นขาของเขา
“อืม”
เหนือภพพยายามถอดชุดเกราะนาคาซ่อนออก ทว่าความรู้สึกชาจากการเสียเลือดก็เริ่มมากขึ้น เรี่ยวแรงเคยที่มีเริ่มหดหาย แม้แต่กระดิกนิ้วก็ทำได้ลำบาก เขาไร้ความรู้สึกไปทุกที
“ช่วยข้า...” เหนือภพพูดเบา ๆ
บุหรงมองสบตาเขา แล้วก็หน้าแดง เธอเข้าใจว่าเหนือภพหมายถึงอะไร เธอช่วยถอดให้ แต่กว่าจะถอดชุดเกราะที่แนบเนื้อได้ ก็ทำให้หญิงสาวเหงื่อตก ยิ่งต้องมาเผชิญหน้ากับแผงอกขาวแน่น กับก้อนเนื้อแข็งหกก้อนที่อยู่ช่วงท้อง พวกมันเปียกชื้นไปด้วยหยาดเหงื่อผสมกับเลือดของเหนือภพ มือไม้ที่เคยคล่องแคล่วของเธอก็เริ่มอ่อนแรง
“รีบเข้า ก่อนที่เลือดข้าจะหมดตัว” เหนือภพไม่พูดเปล่า เขาใช้เรี่ยวแรงที่เหลือน้อยนิดผลักกระเป๋าสัมภาระไปให้บุหรง
“ในนั้นมียากับผ้าพันแผลอยู่ เจ้าหยิบเอา”
บุหรงพยักหน้า เธอมีเพื่อนที่สนิทคนหนึ่งเป็นหมอ ดังนั้นเธอจึงเคยเห็นการปฐมพยาบาลมาบ้าง เธอจึงพอมีพื้นฐานการใช้ยาและพันผ้าพันแผลระดับหนึ่ง ใช้เวลาไม่นานก็สามารถห้ามเลือดแผลถูกธนูยิงได้สำเร็จ
แต่พอเธอเลื่อนสายตามองไปยังลูกธนู ที่ปักอยู่บนต้นขาของเหนือภพอีกสามดอก ใบหน้าเธอก็พลันแดงเรื่อ เพราะเธอพอจะดูออกว่าชุดเกราะเกล็ดสีดำที่ชายหนุ่มใส่นั้นเป็นชุดเกราะชิ้นเดียว ดังนั้นถ้าจะรักษาบาดแผลตรงต้นขาชายหนุ่ม เธอก็ต้องถอดชุดเกราะของเขาออกจนหมด นั่นเท่ากับว่าเธอจะต้อง...
พอบุหรงคิดถึงตรงนี้ เธอก็หลับตาปี๋ แล้วส่ายหน้าพูดออกมาอย่างลืมตัว
“ไม่เอา ๆ ให้ตายข้าก็ไม่เอา เจ้าคนฉวยโอกาส”
“ไม่เอาอะไร ฉวยโอกาสอะไรของเจ้า รีบ ๆ ทำ ตอนนี้ข้าเริ่มขยับไม่ได้แล้ว”
ในสมองของเหนือภพเวลานี้ไม่มีเรื่องชายหญิงอยู่เลย เขาต้องการรักษาบาดแผลให้เร็วที่สุด ถึงร่างกายเขาจะพิเศษใช้เวลาสักหน่อยร่างกายก็จะรักษาตัวเอง แต่หากมีลูกศรปักอยู่ ต่อให้รักษาตัวเองได้ก็เกรงว่าจะเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี
“จ...จะ...เจ้า”
บุหรงจนใจ เธอรู้สึกว่าให้เธอแก้ผ้ายังง่ายกว่าถอดกางเกงผู้ชายออก โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงส่วนนั้นของผู้ชายที่ไม่ได้ใส่อะไรเลย ก็ทำให้เธออายจนหน้าม้วน
เหนือภพมองหน้าบุหรงนิ่ง ขณะกล่าวเสียงเบา
“ส่วนกางเกงถอดยากที่สุด ถ้าเจ้าไม่รีบทำตอนที่ข้ายังมีแรงช่วย เกรงว่าเจ้าคนเดียวคงถอดไม่ออก”
ในใจเหนือภพนิ่งสงบ หากไม่ใช่พราวจันทร์ หญิงสาวคนอื่นก็สั่นคลอนความรู้สึกเขาไม่ได้แม้แต่น้อย ยิ่งในสถานการณ์เช่นนี้ เขาแทบจะตายแล้ว เลือดรินไหลจนแทบจะเปลี่ยนลูกกลมทองคำเป็นสีเลือดอยู่รอมร่อ
“ได้ ๆ”
บุหรงพยายามทำใจดีสู้เสือ พลางจับเสื้อเกราะตรงช่วงเอวของเหนือภพ ก่อนจะค่อย ๆ ลอกมันออกจนเห็นบั้นเอว มาจนถึงก้นแน่นจนนางต้องหลับตาปี๋ แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่ชายหนุ่มจะพูดเป็นความจริง ทำให้เธอต้องออกแรงดึงมากขึ้น แม้จะมีแรงเหนือภพค่อยช่วยบ้าง แต่แทบจะไม่ได้ผลมากนัก ยังคงเป็นนางที่ต้องดึงสุดแรง
“ด..ดะ..เดี๋ยวก่อน !” จู่ ๆ เหนือภพก็พูดโพล่งขึ้นมา
“อะไรเล่า”
ในตอนนี้บุหรงหลับตา เธอทั้งโกรธและอาย ยิ่งพยายามออกจนสุดแรงแล้วกางเกงไม่หลุด ก็ทำให้เธอหงุดหงิดมากขึ้น
“เจ้าไม่ดึงลูกธนูออกก่อนหรือไง”
บุหรงเบิกตากว้าง นางลืมเสียสนิทเลย ส่วนเหนือภพนั้นแม้จะไม่รู้สึกเจ็บ แต่พอเขาได้เห็นนางกระตุกชุดเกราะอย่างแรงจนลูกธนูทั้งสามดอกโยกไปมา เขาก็รู้สึกหวาดเสียวไม่น้อย บาดแผลคงเปิดกว้างขึ้นไปอีกระดับแน่
“ข้าขอโทษ ทำไมเจ้าไม่ร้องออกมา ทำตัวเก่งอยู่ได้”
บุหรงอายจนหน้าแดง และเพื่อกลบความรู้สึกนั้นเธอก็ได้แต่ชวนทะเลาะ ขณะที่มือดึงลูกศรทั้งสามดอกออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะช่วยถอดกางเกงออก ซึ่งเธอก็รู้สึกว่าไม่ยากเหมือนทีแรก
เหนือภพยังรู้ว่าอะไรควรไม่ควรระหว่างหญิงชายอยู่บ้าง เขาจึงนำเอาเสื้อผ้ามาปกปิดแก่นกายของตัวเอง เผยให้ขาอ่อนขาวอัดแน่นไปด้วยมัดกล้ามทั้งสองข้าง ที่ถูกลูกธนูเจาะบาดแผลเป็นรูเหวอะหวะเลือดไหลซึม หากไม่เป็นเพราะกล้ามเนื้อที่อัดแน่น เลือดคงไหลออกมามากกว่านี้หลายเท่า
บุหรงระวังอย่างมากในการรักษาบาดแผลชายหนุ่ม ถึงเธอจะอายมากเมื่อต้องอยู่ระหว่างขาของเขา แต่หญิงสาวก็รู้ดีว่าหากไม่เป็นเพราะความเลินเล่อของเธอ บาดแผลของเขาคงไม่กว้างเช่นนี้ เธอจำเป็นต้องทำความสะอาดแผลด้วยน้ำเกลือ ตามด้วยผงยาห้ามเลือด ปิดทับด้วยตัวยาสมานบาดแผล และใช้ผ้าดิบพันให้รอบ
โชคดีที่เหนือภพเป็นคนเตรียมพร้อมเสมอ ภายในสัมภาระของเขานั้นมีเสื้อผ้าผลัดเปลี่ยน ทั้งอาหารและยาพร้อม หากเป็นผู้อื่นเจอแบบนี้คงต้องนั่งรอความตายอย่างเดียว
บุหรงทั้งอึ้งและก็นับถือในตัวเหนือภพ ตลอดช่วงเวลาการทำความแผลตั้งแต่ต้นจนจบ ชายหนุ่มไม่ร้องออกมาสักแอะ เขาช่างมีความอดทนสูงจริง ๆ ทำให้ภายในใจของเธอรู้สึกหวั่นไหวแปลก ๆ
“เจ้าก็รีบใส่เสื้อผ้าได้แล้ว ยังไงข้าก็เป็นหญิงสาวที่ไม่ได้แต่งงาน ให้เกียรติกันบ้าง”
บุหรงพูด พลางหันหน้าหนีไปเก็บของ
“ขอโทษ”
เหนือภพรู้สึกใจอ่อนลงมาก ปกติเขามักจะหาเรื่องกับรุ่นพี่เป็นประจำ หากเป็นเขาก่อนหน้านี้ที่ได้ยินคำพูดแบบนั้น เขาคงเลิกผ้าให้นางดูเป็นแน่ แต่พอได้ผ่านอะไรมาด้วยกัน มันก็ทำให้ใจคนและความรู้สึกเปลี่ยน นางช่วยเหลือเขามาก เขาควรทำดีตอบแทน
หลังจากที่เหนือภพผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เสร็จ บุหรงจึงหันกลับมาชวนคุย ทำทีว่าเรื่องที่ผ่านมาไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“ไม่คิดว่าคนสมองน้อย ๆ อย่างเจ้าจะเป็นคนที่เตรียมความพร้อมได้มากขนาดนี้ เจ้ารู้อยู่ก่อนแล้วหรือว่าจะเกิดเรื่อง ถึงได้เตรียมของออกมากับข้า”
เหนือภพส่ายหน้าหรอก ก่อนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่น แววตาเลื่อนลอยคิดถึงอดีต
“ตอนเด็ก ข้าต้องรับผิดชอบอะไรหลายอย่างด้วยตัวคนเดียวเสมอ ต้องทำงานหาเงิน ต้องเผชิญเรื่องอันตรายนับครั้งไม่ถ้วน ในสถานการณ์แบบนั้นนอกจากตัวข้าแล้ว ก็ไม่มีใครอื่นนอกจากตัวข้า ดังนั้นข้าจึงเตรียมพร้อมเสมอ แม้ว่าข้าจะเข้านอน หรือแค่ไปเดินเที่ยวตลาด ข้านึกระลึกเสมอว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ ต่อให้ข้ามั่นใจว่าแข็งแกร่งสุด แต่หากเรื่องมันจะเกิดต่อให้ข้าแข็งแกร่งแค่ไหน มันก็ต้องมีเรื่องที่ข้าหลีกหนีไม่พ้น อย่างวันนี้”
บุหรงได้ฟังก็คิดตาม พลางจ้องไปยังใบหน้าของผู้ที่ได้ชื่อว่าเพื่อนร่วมเป็นตาย พลางจินตนาการถึงความโหดร้ายในชีวิตวัยเด็กของชายเบื้องหน้า ต้องเป็นสถานการณ์แบบไหนกันถึงหล่อหลอมคนให้รู้จักเตรียมพร้อมเสมอเช่นนี้ เทียบกับสิ่งที่เธอเผชิญมาในอดีตแล้ว ช่างต่างกันลิบลับ เธอไม่เคยเผชิญกับความอันตรายทางกาย เพียงแค่เผชิญกับความยากลำบากทางใจ ในเมื่อครอบครัวไม่ต้องการ มันก็ทำให้จิตใจของคนคนหนึ่งสะเทือนได้อย่างถึงแก่น
บุหรงทรุดตัวครึ่งนั่งครึ่งนอน สายตาเหม่อมองไปที่ผิวทองคำรอบด้าน
“เจ้ารู้ไหม ทำไมข้าถึงพยายามจะเป็นปรมาจารย์ช่างตีดาบให้ได้”
เหนือภพส่ายหน้า เขามีท่าทางเป็นผู้ฟังที่ดีต่างจากที่ผ่านมา ที่เขามักกล่าวแทรกทำเสียบรรยากาศ
จากนั้นบุหรงก็เริ่มเล่าถึงเรื่องราวในอดีต เธอเล่าถึงตอนที่เธอยังเป็นเด็ก พ่อแม่รักและทะลุถนอมเธออย่างดีดุจไข่ในหิน แต่พออายุสิบสองปีถึงวัยที่จะต้องตรวจวัดปราณอาคม นั่นถือเป็นฝันร้ายที่สุดในชีวิตเธอ เธอถูกครอบครัวทอดทิ้งเพียงเพราะเธอเป็นแค่คนไร้พรสวรรค์ เธอต้องใช้ชีวิตตัวคนเดียวที่เมืองปัญญา โชคดีที่ท่านแม่ยังรู้ตัวว่าผู้เป็นแม่ควรกระทำเพื่อลูกบ้าง อย่างน้อยเธอก็ยังแสดงความรักผ่านเงินตรา ท่านแม่ของเธอให้ค่าใช้จ่ายให้เธอมีชีวิตที่ดี ดังนั้นบุหรงจึงสามารถยืนหยัดอยู่ได้จนทุกวันนี้
เธอพยายามทุกวี่วันเพื่อให้พ่อแม่สนใจเธออีกครั้ง ด้วยการมุ่งมั่นจะเป็นปรมาจารย์ช่างตีดาบ เมื่อไหร่ที่เธอได้เป็นปรมาจารย์ ครอบครัวต้องกลับมาสนใจเธออีกครั้งแน่ เธอเชื่อแบบนั้น เธอรู้ดีถึงความสำคัญของปรมาจารย์ช่างตีดาบ ต่อให้จักรพรรดินีแห่งแคว้นสุริยันที่แข็งแกร่งสุดในห้าแคว้น ก็ยังต้องอ่อนน้อมถ่อมตนต่อปรมาจารย์ช่างตีดาบ และเธอก็มีความหวังว่าพ่อแม่และตระกูลของเธอจะเป็นเช่นนั้นด้วย เธออยากให้พวกเขารู้สึกเสียใจที่ได้ทอดทิ้งลูกคนนี้ ความรู้สึกทั้งรักทั้งชังตีกันวุ่นอยู่ในจิตใจเธอมาช้านาน
“เจ้าก็ตีอาวุธอาคมระดับ 6 ได้แล้วนี่ ก็นับว่าเป็นปรมาจารย์แล้วไม่ใช่หรือไง”
เหนือภพเอ่ย เขาเคยฟังเรื่องนี้มาจากสมุทรตอนงานประมูล จึงทำให้เขารู้ว่าอาวุธอาคมระดับ 6 นั้นมีเพียงระดับปรมาจารย์เท่านั้นที่ตีขึ้นมาได้
บุหรงถอนหายใจยาว ก่อนเอ่ยตอบ
“ไม่ง่ายเพียงนั้น การตีอาวุธอาคมระดับ 6 น่ะ ผู้เชี่ยวชาญก็ทำได้ แต่การเป็นปรมาจารย์นั้นต้องตีอาวุธอาคมระดับ 6 เป็นสิบเล่ม และอย่างน้อยต้องสำเร็จถึงเจ็ดในสิบ แต่นั่นก็นับว่าเป็นแค่ ‘ว่าที่ปรมาจารย์’ แต่หากสามารถตีอาวุธสิบเล่มแล้วสำเร็จสิบเล่ม จึงจะนับว่าเป็นปรมาจารย์”
“อ้าวหรอ”
“แต่ก็เป็นปรมาจารย์ทั่ว ๆ ไป แม้จะมีอิทธิพลต่อขุมอำนาจบ้าง แต่ก็ไม่มากเท่ากับปรมาจารย์ที่สามารถตีอาวุธระดับ 7 ได้ นั่นถึงจะนับว่าเป็นปรมาจารย์แท้จริง ซึ่งภายในแคว้นอมตะ แคว้นสุริยัน แคว้นเหล็ก แคว้นทองหรือแคว้นเงิน ก็ยังมีปรมาจารย์แค่แคว้นละคนเท่านั้น นี่คือเป้าหมายที่ข้าต้องการ เป็นปรมาจารย์ที่แท้จริงคนที่สองของแคว้นอมตะ”
แววตาของบุหรงฉายแววมุ่งมั่น เหนือภพเห็นแล้วก็รู้สึกเลื่อมใส
“ข้าจะเป็นกำลังใจช่วย ข้าอยากจะรู้จริง ๆ ว่าพ่อแม่ของเจ้าเป็นคนตระกูลไหน ถึงได้ทอดทิ้งคนเก่งเช่นเจ้าได้”
บุหรงไม่ตอบคำถาม เธอเพียงหันหลังให้ชายหนุ่ม แล้วก็ค่อย ๆ ปลดเสื้อลงจากไหล่ เผยให้เห็นหัวไหล่ขาวเนียน และเธอก็ปลดเสื้อต่ำลงมาเรื่อย ๆ
“ร..ระ..รุ่นพี่ ท่านจะทำ..อ..อะ...ไร”