บทที่ 92 ผู้มาเยือนจากหยานจิง
บทที่ 92 ผู้มาเยือนจากหยานจิง
จี้เฟิงมองลึกเข้าไปในดวงตาของจี้เจิ้นผิงและครุ่นคิด
“ปี๊น ปี๊น!!” จู่ๆ ก็มีเสียงแตรรถดังมาจากชั้นล่าง
“หือ?” จี้เจิ้นผิงขมวดคิ้วรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน เพราะถ้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสี่คนที่เขาพามา ทุกคนต่างเป็นทหารชั้นยอด จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะบีบแตรเพื่อเร่งเขา และมันก็ไม่น่าเป็นไปได้ที่จะเป็นสัญญาณเตือนของการถูกโจมตี
คุณรู้ไหมว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะมีทักษะประหลาดๆ อย่างหลานชายของเขาที่สามารถจัดการทหารระดับสูงถึงสี่คนได้โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว
“พี่สะใภ้รอฉันอยู่นี่ก่อน ฉันจะไปดูซักหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น!” จี้เจิ้นผิงพูดขึ้นทันทีและในเวลาเดียวกันเขาก็ดึงปืนออกจากเอวของเขาด้วยสีหน้าระแวดระวัง
‘คล่องแคล่วมาก!’
เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของจี้เจิ้นผิง ดวงตาของจี้เฟิงก็ลุกวาวขึ้นทันที การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วคล่องแคล่วที่ดูก็รู้ได้เลยว่าต้องเป็นผู้ที่มีฝีมืออย่างแน่นอน
“พี่ใหญ่?!!”
ในขณะที่จี้เฟิงกำลังแอบกล่าวชื่นชมเขาอยู่ในใจ ทันใดนั้นเสียงของจี้เจิ้นผิงก็ดังมาจากด้านนอก เมื่อจี้เฟิงได้ยินน้ำเสียงที่ดูตื่นตระหนกเขาก็รู้สึกประหลาดใจ
เขาหันกลับไปมองแม่ของเขาอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นสีหน้าของเธอ จี้เฟิงก็รู้สึกราวกับว่าหัวใจเขาแทบจะหยุดเต้น คนที่จี้เจิ้นผิงเพิ่งจะเรียกว่าพี่ใหญ่ คงไม่ใช่....
ทันใดนั้นจี้เฟิงก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวายใจ แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของคนที่ชื่อจี้เจิ้นผิง แต่จากที่มองลักษณะของเขาและผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสี่คนของเขาแล้ว ก็เพียงพอที่จะทำให้จี้เฟิงเข้าใจได้ว่า จี้เจิ้นผิงนั้นไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน
แล้วจากที่จี้เฟิงได้ยินบทสนทนาที่ผ่านมา ที่จี้เจิ้นผิงพูดว่า พี่ใหญ่ของเขานั้นเป็นคนมอบหมายตำแหน่งหน้าที่ทางการทหารระดับสูงให้กับเขา แล้วคนที่เขาเรียกว่าพี่ใหญ่นั้น จะเป็นคนที่อยู่ในสถานะไหนกัน?
แต่ตอนนี้สิ่งที่จี้เฟิงรู้สึกกังวลไม่ใช่เพราะสถานะของอีกฝ่าย แต่เป็นเพราะตัวตนของคนที่อาจจะเป็นพ่อที่เขาไม่เคยพบหน้าเลยต่างหาก
สีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดของเซียวซูเหม่ยในเวลานี้แสดงให้เห็นว่าเธอกำลังตัดสินใจบางเรื่องอย่างยากลำบาก
และในขณะนั้นเอง ประตูได้ถูกเปิดออก และชายวัยกลางคนที่มีร่างกายกำยำแข็งแรงและดูสง่างามก็ก้าวเข้ามา
ทันทีที่จี้เฟิงเห็นใบหน้าของผู้ชายที่ก้าวผ่านประตูห้องเข้ามา เขาถึงกับตกใจและรู้สึกวิงเวียนศีรษะ เขารู้สึกได้ว่าตัวเขาเองนั้นมีความคล้ายคลึงกับชายวัยกลางคนคนนี้มาก มากจนแทบจะเรียกได้ว่าหากย้อนไปในวัยหนุ่ม ชายคนนี้คงมีหน้าตาแทบไม่ต่างจากเขาในเวลานี้แน่นอน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ชายวัยกลางคนคนนี้คือจี้เฟิงในอีกหลายสิบปีต่อมา!
ที่สำคัญไปมากกว่านั้น จี้เฟิงรู้สึกได้ถึงความเชื่อมโยงบางอย่างระหว่างเขากับชายคนนี้ทันทีที่ได้เห็นหน้า มันเป็นความรู้สึกแปลกๆ ที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้อย่างชัดเจน มันเหมือนกับว่าเขาและชายคนนี้มีความเชื่อมโยงกันทางสายเลือด เขารู้สึกแบบนั้นจริงๆ
คงไม่ต้องหาอะไรมาพิสูจน์ให้มาก จี้เฟิงก็เหมือนจะรู้แล้วว่าตัวตนของผู้ชายวัยกลางคนคนนี้คือพ่อของเขาที่ไม่เคยได้พบหน้ากันมาก่อนอย่างแน่นอน!
เมื่อชายวัยกลางคนที่สง่างามเห็น จี้เฟิงและเซียวซูเหม่ย ใบหน้าของเขาก็ดูตื่นเต้นขึ้นทันที ริมฝีปากของเขาขยับเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เงียบไป เขาไม่รู้จะทำอย่างไร จึงได้แต่มองไปที่ภรรยาและลูกชายของเขาอย่างตื่นเต้น
สีหน้าของเซียวซูเหม่ยก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน หลังจากที่เธอก้มหน้าเธอก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “เจิ้นหัว คุณมาทำอะไรที่นี่?!”
ปรากฏว่าชายวัยกลางคนคนนี้หรือพ่อของจี้เฟิง เขามีชื่อว่า จี้เจิ้นหัว ในที่สุด จี้เฟิงก็ได้รู้ชื่อพ่อของเขา อารมณ์ที่ซับซ้อนที่อธิบายไม่ได้ก็เกิดขึ้นภายในใจของเขา
เป็นเวลาสิบแปดปีแล้วที่เขาอยากรู้มาโดยตลอดว่าพ่อของเขาคือใคร แต่เขาก็ไม่เคยได้รู้เลยและเขาก็ไม่กล้าพูดเรื่องนี้ต่อหน้าแม่ของเขา เพราะตอนเด็กๆ ถ้าเขาพูดถึงพ่อของเขา เขาจะถูกแม่ตำหนิทันที และเมื่อเขาโตขึ้นมันทำให้เขาได้เรียนรู้ด้วยตัวเองว่า ถ้าเขาเอ่ยถึงพ่อมันจะทำให้แม่ต้องเสียใจ ดังนั้นในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เขาเก็บงำความสงสัยและเก็บคำถามเหล่านี้ไว้ในใจและไม่เคยพูดเลย
“ซูเหม่ยเธอยังไม่ให้อภัยฉันอีกหรือ” จี้เจิ้นหัวมองไปที่เซียวซูเหม่ยอย่างรู้สึกผิด “ฉันขอโทษที่ไม่ได้บอกความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดในตอนนั้นกับเธอ แต่เหตุการณ์นั้นมันก็ผ่านไปนานมากแล้ว”
เขามองไปที่จี้เฟิงอีกครั้งและพูดอย่างตื่นเต้น “เธอ..เธอคือจี้เฟิงใช่มั้ย?”
จี้เฟิงพยักหน้า แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อดี จนในที่สุดเขาจึงพูดได้แค่ “สวัสดีครับ”
ดวงตาของ จี้เจิ้นหัวฉายแววเศร้าสร้อย และกล่าวว่า “อ่า.. สวัสดี”
“ไอ้หนู ออกมากับฉัน!” เมื่อเห็นจี้เฟิงยืนทื่อทำหน้าเอ๋อ อยู่ระหว่างพ่อและแม่ของเขา จี้เจิ้นผิงที่อยู่ด้านข้างก็คว้าแขนของจี้เฟิง และดึงเขาออกไปจากสถานการณ์ตรงหน้า และปล่อยให้เซียวซูเหม่ยกับจี้เจิ้นหัวอยู่ในห้องกันสองคน
เมื่อพวกเขาลงมาถึงชั้นล่าง จี้เฟิงก็สะบัดข้อมือของเขาออกจากการจับของจี้เจิ้นผิงทันที เขาพูดเบาๆ “จะทำอะไร?”
จี้เจิ้นผิงจ้องมองเขาและพูดอย่างไม่พอใจเล็กน้อยว่า “ไอ้หนู อย่าคิดว่ามีทักษะการต่อสู้ที่ดีแล้วจะพูดกับฉันแบบไหนก็ได้ เธอควรจะเคารพผู้ที่อาวุโสกว่า และไม่ว่าเธอจะยอมรับหรือไม่ฉันก็เป็นอาของเธอ!”
“เหอะๆ” จี้เฟิงหัวเราะออกมาอย่างเซ่อๆ จะให้เขายอมรับง่ายๆ ได้อย่างไร เพราะจู่ๆ คนแปลกหน้าที่ไหนก็ไม่รู้โผล่มา แล้วมาบอกว่าเป็นอาของเขา
แต่ลึกๆในใจของจี้เฟิงนั้นรู้ดีอยู่แก่ใจ ไม่ว่าเขาจะยอมรับมันออกมาหรือไม่ ความสัมพันธ์ทางสายเลือดก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
“.. นั่น แล้วแม่ของฉัน...” จี้เฟิงพูดออกมาอย่างลังเลสองสามครั้ง สุดท้าย จี้เจิ้นผิงก็ทนไม่ไหวจึงพูดคำถามที่อยู่ในใจของจี้เฟิงขึ้นมาแทน
“ไอ้หนู เธอต้องการถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างพ่อกับแม่ของเธอใช่ไหม?”
จี้เฟิงพยักหน้าและพูดว่า “ใช่ ฉันอยากรู้”
“อืม..เรื่องนี้มันออกจะซับซ้อนนิดหน่อย แถมมันยังเป็นเรื่องที่นานมากแล้วด้วย และมีอะไรหลายๆ อย่างที่แม้แต่ฉันเองก็ไม่รู้และไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก แต่ฉันจะเล่าให้เธอฟังก็แล้วกัน!”
จี้เจิ้นผิงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งและเริ่มเล่าว่า “ไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา อืม.. เธอไม่จำเป็นต้องรู้อะไรที่เจาะลึกมากนัก แต่เอาเป็นว่าเรื่องมันนานมากแล้ว มันเป็นสมัยที่คุณปู่ของเธอเป็นนายพลที่เก่งกาจติดตามบรรพบุรุษที่ยิ่งใหญ่ไปทำการรบในสงครามโลก และระหว่างนั้นเขาได้สนิทกับนายพลอีกคนหนึ่งที่มีอำนาจไม่แพ้กับคุณปู่ของเธอ ในตอนนั้นคุณปู่ของเธอและนายพล ได้ตกลงทำสัญญากันว่าให้พ่อของเธอและลูกสาวของนายพลเกี่ยวดองกันในอนาคตเมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น”
“การแต่งงาน?!”
จู่ๆ จี้เฟิงก็เริ่มมองภาพออกอย่างชัดเจน สัญญาที่ว่านั่นก็คือการแต่งงาน!
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นเป็นเวลาสิบปีแห่งความวุ่นวาย คุณปู่ของเธอและนายพลได้ถูกบังคับให้ยอมรับความผิดที่เกิดการปฏิรูปภายในประเทศ พวกเขาถูกทรมานอย่างโหดร้ายโดยผู้ไร้มนุษยธรรม โชคดีที่คุณปู่ของเธอรอดมาได้ แต่เนื่องจากนายพลได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการรบครั้งก่อนจึงทำให้สุขภาพของเขาไม่ดีนักสุดท้ายเขาไม่สามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้ และเสียชีวิตจากการถูกบังคับใช้แรงงานอย่างโหดร้ายในครั้งนั้น”
จี้เจิ้นผิงเล่าต่ออีกว่า “อย่างไรก็ตามครอบครัวของนายพลได้รับการลบล้างข้อกล่าวหาในเวลาต่อมา ดังนั้นครอบครัวของนายพลจึงได้มีโอกาสฟื้นฟูธุรกิจ และกลับมามีอำนาจเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่แห่งหยานจิง ส่วนคุณปู่ของเธอยังคงอยู่ในข้อกล่าวหาตั้งแต่ครั้งที่ประเทศมีการปฏิรูปและถูกใช้แรงงานอย่างหนัก!”
“แล้ว?” จี้เฟิงถามต่อด้วยความรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เรื่องราวเหล่านี้ซับซ้อนมากจริงๆ
“แล้วหลังจากนั้นครอบครัวของนายพลเห็นว่าคุณปู่ของเธอยังไม่รับการลบล้างข้อกล่าวหา และแม้ว่าข้อเท็จจริงอาจจะถูกพิสูจน์ในอนาคตแต่มันก็ไม่ได้มีความหวังมากนักในเรื่องนี้ ดังนั้นครอบครัวของนายพลจึงรู้สึกเสียใจในเรื่องการแต่งงานของพวกเขา”
จี้เจิ้นผิงส่ายหัวและมีแววเย้ยหยันปรากฏอยู่ในรอยยิ้มของเขา “ครอบครัวของนายพลคิดไม่ถึงว่าคุณปู่ของเธอจะได้รับการลบล้างความผิดที่ไม่เป็นธรรมในเวลาต่อมา ร่างกายของท่านค่อยๆ ฟื้นฟูและดีขึ้นเรื่อยๆ และหลังจากที่สุขภาพของคุณปู่ของเธอกลับมาเป็นปกติ คุณปู่ของเธอได้รับคำสั่งให้กลับสู่ตำแหน่งและสถานะโดยหัวหน้าและได้รับอำนาจกลับคืนมา”
“คุณปู่ต้องทรมานมากแน่ๆ!” จี้เฟิงถามพร้อมกับถอนหายใจ ความรู้สึกของเลือดที่ข้นกว่าน้ำทำให้จี้เฟิงยอมรับคุณปู่ของเขาโดยไม่รู้ตัว
“ใช่มันทรมานมาก ถ้าคุณปู่ของเธอไม่อดทนจนผ่านมันมาได้ ฉันเกรงว่าเขาคงต้องตายตั้งแต่เหตุการณ์ในครั้งนั้น” จี้เจิ้นผิงส่ายหัวและพูดต่อว่า “ปีที่ปู่ของเธอได้รับการคืนสู่ตำแหน่ง เป็นปีเดียวกับที่ฉันเกิด ฮ่าฮ่าๆ พ่อของฉันนั้นยังแข็งแรงมากจริงๆ”
ทันใดนั้นหน้าผากของจี้เฟิงก็มีเส้นเลือดปูดๆ ขึ้นมาสองสามเส้น อาของเขาช่างกล้าที่จะพูดเรื่องแบบนี้
“และหลังจากนั้น เมื่อครอบครัวของนายพลเห็นว่า คุณปู่ของเธอได้ตำแหน่งและอำนาจต่างๆ กลับคืนมา พวกเขาจึงรู้สึกเสียใจและเสียดาย จึงได้พูดถึงเรื่องสัญญาระหว่างนายพลและคุณปู่ของเธอขึ้นมาและต้องการให้มีการแต่งงานระหว่างพ่อของเธอและลูกสาวนายพลเหมือนเดิม”
จี้เจิ้นผิงส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจและกล่าวต่อไปว่า “ปู่ของเธอก็เห็นด้วยเช่นกัน เพราะเขาและนายพลได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขผ่านอะไรด้วยกันมามาก รวมถึงเรื่องที่นายพลเสียชีวิตภายในอ้อมแขนของคุณปู่ของเธอ มิตรภาพระหว่างพวกเขาทั้งสองไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาอย่างเราจะเข้าใจได้!”
“นี่ เมื่อไหร่จะถึงเรื่องแม่ของฉันเหรอ” จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะถาม “คุณช่วยเล่าที่มันเนื้อๆหน่อยได้ไหม”
“ไอ้เด็กนี่.. ฉันก็อยากจะเล่าย่อๆ ให้ฟังอยู่หรอกนะ แต่ฉันบอกไปแล้วไงว่ามันมีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นระหว่างนั้น” จี้เจิ้นผิงมองค้อนไปที่จี้เฟิงก่อนจะเล่าต่อ “แน่นอนว่าพ่อของเธอไม่เห็นด้วยกับสัญญาการแต่งงานนี้”
จี้เฟิงพยักหน้า เพราะถ้าหากเป็นเขา เขาก็คงไม่ทำตามสัญญาการแต่งงานกับครอบครัวหัวสูงเช่นนั้นเหมือนกัน มันเป็นความจริงที่ว่าในช่วงเวลาแห่งความปั่นป่วนเหล่านั้น ทุกคนต่างก็ต้องการที่จะปกป้องตัวเอง จะเรียกได้ว่ามันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ก็ว่าได้ แต่อย่างไรสิ่งที่อีกฝ่ายทำกลับเป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกหนาวเหน็บในหัวใจ ถึงแม้ว่าจะเข้าใจในเหตุผล แต่มันก็เป็นเรื่องยากที่จะกลับไปสู่ความสัมพันธ์แบบเดิม
“แล้วคุณปู่ว่าอย่างไร?” จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะถาม
“แน่นอนว่าคุณปู่ของเธอไม่เห็นด้วยที่พ่อของเธอปฏิเสธการแต่งงานของครอบครัวนายพลเพื่อนของเขา คุณปู่ของเธอนั้นบอกว่า แม้ว่าสหายเก่าของเขาจะจากไปแล้วแต่คำสัญญานั้นก็ยังอยู่ และเขาก็จะทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้อย่างแน่นอน” จี้เจิ้นผิงหัวเราะเบาๆ “พ่อของเธอก็ดื้อรั้นไม่ต่างจากคุณปู่ของเธอ เขาไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งเขาหาเหตุผลต่างๆนานา มาถกเถียงกับคุณปู่ของเธอ แต่เขาก็ไม่สามารถเอาชนะคุณปู่ของเธอได้ จนสุดท้ายพ่อของเธอจึงเกิดความคิดบางอย่างขึ้น”
“ความคิดอะไร?” จี้เฟิงสนใจขึ้นมาทันที
“พ่อของเธอ ไปจีบผู้หญิงมาคนหนึ่ง แล้วเมื่อคุณปู่ของเธอรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นท้องและพ่อของเธอกำลังจะแต่งงานกันผู้หญิงคนนั้น” จี้เจิ้นผิงยิ้มเยาะ “ในตอนนั้นคุณปู่ของเธอโกรธมาก แทบจะหักขาพ่อของเธอเป็นท่อนๆ ตอนนั้นพวกเราพี่น้องต่างกลัวพ่อมาก จนไม่มีใครกล้าพูดอะไร โชคดีที่คุณย่าของเธอได้ช่วยห้ามไว้ ไม่งั้นป่านนี้พ่อของเธอคงได้เป็นคนพิการไปแล้ว”
จี้เฟิงมองเขาด้วยรอยยิ้มจางๆ “แล้วคุณไม่กลัวว่าเขาจะได้ยินเหรอ”
จากนั้นจี้เฟิงก็มองไปที่ห้องของแม่ที่ด้านบน
จี้เจิ้นผิงถึงกับชะงักเขายิ้มแหยๆ และพูดว่า “ไอ้หนู เธอห้ามพูดเรื่องนี้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากฉันโดยเด็ดขาด เข้าใจมั้ย!”
จี้เฟิงอดยิ้มไม่ได้และพูดว่า “โอเคๆ ฉันสัญญาว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อีก และจะไม่บอกใครด้วย เชิญคุณเล่าต่อได้เลย”
“เหมือนกันจริงๆ!”
จี้เจิ้นผิงบ่นพึมพำพร้อมกับหยิบซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าของเขาและจุดไฟที่บุหรี่หนึ่งมวนและเริ่มสูบหลังจากพ่นควันไปสองสามทีเขาจึงเล่าต่อว่า “ต่อมาคุณปู่ของเธอก็ไม่ได้ลงโทษพ่อของเธออีก แต่เขาไม่ยอมรับและได้ปฏิเสธผู้หญิงคนนั้นไป และหลังจากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็จากไป ไม่ว่าพ่อของเธอจะขอร้องอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ นั่นคือเหตุผลที่พ่อและคุณปู่ของเธอ เกิดความสัมพันธ์ที่ไม่ดีมานานกว่าสิบปีแล้ว หากไม่ใช่เพราะว่าคุณปู่ของเธอไม่ได้มีสุขภาพที่ไม่ค่อยดีในช่วงสองปีที่ผ่านมา เกรงว่าความโกรธที่อยู่ในใจของพ่อเธอก็คงยังไม่จางหายไป!”
“ผู้หญิงคนนั้นคือแม่ของฉันเหรอ?!” ใบหน้าของจี้เฟิงจมลง ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ อย่าว่าแต่ยอมรับหรือให้อภัยเลย แต่เขาจะแก้แค้นตระกูลจี้ให้กับแม่ของเขาด้วยซ้ำ!
…จบบทที่ 92~❤️