ตอนที่ 191 ผลึกแร่
เหนือภพได้แต่ส่ายหน้า แล้วก็ยิ้มกับตัวเอง บุหรงมีท่าทีราวกับเด็กน้อย นางดูจะมีความสุขโดยเฉพาะเกี่ยวกับเงิน ซึ่งก็ไม่ได้ต่างจากเขาเลย ไม่แปลกที่พวกเขาสองคนจะเข้ากันได้เป็นอย่างดีแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่รู้จักกัน
เหนือภพขุดต่อไป เขาใช้ความพยายามราวสามชั่วโมง สุดท้ายก็นำเอาแร่หกสีอีกสองก้อนออกมาได้ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา แม้เขาจะไม่รู้สึกเหนื่อยอะไร แต่เพราะความทรงจำเก่า ๆ ในวัยเด็กผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด พอย้อนคิดถึงอดีต มันก็ทำให้เขารู้สึกตัวว่าเขาในตอนนี้กับเขาในอดีตนั้น ช่างห่างกันไกลมาก เขามาไกลเหลือเกิน
“นี่เจ้ากำลังจะทำอะไรกับมัน”
เหนือภพจ้องมองการกระทำของบุหรง เธอนำเอาอัญมณีหลากหลายสีมาคัดแยกออกจากกัน อีกทั้งยังแบ่งแร่มีสีเก็บมาแยกออกเป็นกอง
แร่หนึ่งสี แร่สองสี แร่สามสี แร่สี่สี แร่ห้าสี รวมไปถึงแร่หกสีที่เขากับนางตกลงแบ่งกันคนละครึ่ง ถูกกองเอาไว้ตามตำแหน่งทั้งหกทิศ โดยมีกองอัญมณีมีสีอยู่ตรงกลาง แต่ละกองดูเหมือนจะไม่เท่ากัน แต่กลับมีปริมาณของน้ำหนักที่ใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะกลุ่มอัญมณีสีที่ดูเหมือนจะมีปริมาณน้ำหนักเท่ากับแร่ทั้งหกสีรวมกัน นางกำลังทำอะไรบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจ
ร่างกายของบุหรงในตอนนี้แผ่คลื่นความร้อนออกมาจากร่างราวกับเตาหลอม กลิ่นอายบางอย่างที่เหนือภพเองก็บอกไม่ถูก แผ่กระจายออกมาจากร่างนาง
ในขณะนั้นเองจู่ ๆ กลุ่มอัญมณีที่อยู่ใจกลางแร่หกสีก็เริ่มลอยขึ้นด้วยอำนาจอะไรบางอย่าง เมื่อกลุ่มอัญมณีที่ลอยขึ้นมาระยะหนึ่ง มันก็เริ่มเปล่งแสง เบื้องหน้าใบหน้างดงามที่มีสีหน้าเคร่งเครียด จนเกิดออร่าแสงสีแดงเรืองรองทั่วร่างหญิงสาว ไปพร้อมกับปรากฏเส้นสายแดงเพลิงเป็นลวดลายเอกลักษณ์บางอย่าง
‘เหล็กไหล’
เหนือภพจดจำลักษณะการทำงานของเหล็กไหลได้ บุหรงในตอนนี้กำลังปลุกพลังของเหล็กไหลขึ้นเพื่อทำอะไรบางอย่างกับแร่เบื้องหน้า
ชายหนุ่มผมม่วงจับจ้องไปยังใบหน้างดงาม ที่เวลาพร่างพราวไปด้วยหยาดเหงื่อทั่วใบหน้า เพียงไม่กี่วินาทีต่อมา กลุ่มก้อนแร่หนึ่งสีที่กองอยู่บนพื้นก็เริ่มเคลื่อนไหว มันลอยเข้าหา กลุ่มอัญมณี และแล้วทั้งสองต่างก็วนกันไปทางเดียวกัน เพียงไม่นานก็ก่อให้เกิดเสียง
ชิ้ง !
แร่หนึ่งสีถูกหลอมรวมเข้ากลุ่มก้อนอัญมณี แปรเปลี่ยนผลึกแร่ กลายเป็นบางอย่างที่ทั้งงดงามราวกับอัญมณี แต่ในขณะเดียวกันก็มีพลังงานเหมือนกับแร่หนึ่งสี มันถูกเรียกว่า ‘ผลึกแร่หนึ่งสี’
บุหรงไม่หยุดต่อเพียงเท่านั้น เธอยังคงทำต่อไป กลุ่มแร่สองสีถูกดึงให้ลอยขึ้น ทำกระบวนการเดียวกับแร่หนึ่งสีก่อนหน้า
ชิ้ง !! ผลึกแร่สองสี
เหนือภพจ้องมองอย่างใจจดใจจ่อ เขามองกระบวนการซ้ำแบบเดิม จนกระทั่ง...
ชิ้ง !!...ผลึกแร่สามสี
ชิ้ง !!...ผลึกแร่สี่สี
ชิ้ง !!...ผลึกแร่ห้าสี
ชิ้ง !!...ผลึกแร่หกสี
ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดีอย่างน่าอัศจรรย์ ขณะที่สีหน้าของบุหรงซีดขาวมากขึ้น เหงื่อไหลทั่วใบหน้าและซอกคอจนชุ่ม อุณหภูมิความร้อนรอบกายสูงขึ้นมาก แม้แต่เหนือภพที่มีเหล็กราชันย์สุริยัน ที่เป็นเจ้าแห่งความร้อนทั้งปวงยังต้องหน้านิ่วคิ้วขมวด แม้ร่างกายเขาจะไม่ได้เป็นอะไร แต่เขาก็รู้สึกร้อนวูบทั่วผิวกาย ผิวหนังแห้ง ราวกับสูญเสียน้ำไปอย่างเฉียบพลัน
เพล้ง !
เกิดเสียงราวกับกระจกแตก สร้างความตกใจกับเหนือภพไม่น้อย ขณะที่ร่างของบุหรงคล้ายกับมีแรงตีสะท้อนบางอย่าง เธอยกมือกดหน้าอกแล้วพ่นเลือดออกมาเป็นสาย กระจายออกไปทั่ว
เหนือภพมองแร่หกสีที่แหลกสลายออกเป็นผุยผง แสงหกสีระยิบระยับก่อนมันจะจางหายไปในอากาศ ทิ้งไว้เพียงผลึกแร่หกสีที่ร่วงตกไปที่พื้น ก่อให้เกิดเสียง จากนั้นมันก็กลายเป็นเพียงผลึกแร่ห้าสี ลำดับถูกลงไปหนึ่งขั้นอย่างน่าเสียดาย
“เกิดอะไรขึ้น”
เหนือภพถาม พลางป้อนยาฟื้นเลือดให้พี่พันธะตัวเอง เมื่ออาการของนางดีขึ้นนางจึงบอกกับเขาว่า
“ข้าคิดจะหลอมผลึกแร่เจ็ดสีขึ้นมา หากทำได้สำเร็จ ข้าก็สามารถสร้างอาวุธอาคมระดับ 7 ได้ไม่ยาก และข้าเองก็จะได้เลื่อนขึ้นไปสู่ระดับปรมาจารย์ช่างหลอมอาวุธ แต่ข้า.. ข้าทำไม่สำเร็จ”
บุหรงพูดออกมาอย่างเศร้าใจ ในตอนนี้เธออยู่เพียงแค่ระดับผู้เชี่ยวชาญหลอมอาวุธ ซึ่งผ่านการตีหลอมอาวุธอาคมระดับ 6 ครั้งหนึ่งมาแล้ว เพียงแต่ว่าการจะทำอาวุธอาคมระดับนั้นอีกไม่ใช่เรื่องง่าย ทรัพยากรสำคัญอย่างแร่หกสีนั้น ปีหนึ่งใช่ว่าจะพบเจอกันง่าย ๆ ถึงพบมันก็เป็นที่ต้องการของตลาดจนขาดแคลน สิบปีไม่รู้ว่าจะถึงมือเธอหรือเปล่า
“ไม่ใช่ว่าต้องหาขุดมันเหรอ แร่เจ็ดสีนั่น”
แม้เหนือภพจะอยู่ภาควิชาหลอมแร่แปรธาตุ แต่ระดับความรู้ของเขายังไม่อาจเข้าใจการหลอมผลึกแร่อย่างที่บุหรงทำ ทุกการหลอมทำให้ผลึกแร่มีสีเพิ่มขึ้น แต่คุณสมบัติยังคงบริสุทธิ์ไม่ได้แตกต่างจากแร่มีสีในธรรมชาติจริง ๆ
“ไม่จำเป็น ตามทฤษฎีแล้วมีความเป็นไปได้ และเคยมีคนทำสำเร็จมาแล้ว แต่ข้าในตอนนี้ไม่ไหวแล้ว แม้ว่าเหล็กไหลนางพญาแดงที่ข้าครอบครองอยู่จะทำให้ ข้าเรียนรู้ ‘พลังเตาหลอม’ แต่ขีดจำกัดของข้าคงอยู่ที่ผลึกแร่หกสีจริง ๆ หากคิดจะไปให้สูงกว่านี้คงต้องเพียรพยายามอีกหลายปี ช่างเถอะ ได้แค่นี้ก็ยังดี”
บุหรงตัดสินใจบอกเรื่องส่วนตัวกับเหนือภพ เพราะเห็นว่าเป็นพี่น้องพันธะ ร่วมหัวจมท้ายกันมาขนาดนี้ เขาควรจะได้รับรู้อะไรบ้าง เมื่อเธอมีสีหน้าดีขึ้นก็คว้าผลึกแร่ห้าสีขึ้นมา แม้จะเป็นเพียงผลึกแร่ห้าสี แต่มันก็มีราคาสูงมาก นับว่ามีราคากว่าก้อนแร่ห้าสีทั่วไปที่ยังไม่ผ่านกระบวนการคัดแยกด้วยซ้ำ
“สอนข้าบ้างพลังเตาหลอมอะไรนั่นน่ะ”
เหนือภพก็เอ่ยขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกาย หากเขาสามารถทำผลึกแร่มีสีได้ กำไรในอนาคตย่อมอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
บุหรงหันไปจ้องเหนือภพนิ่ง ๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเสียดาย
“ร่างเจ้าไม่มีเหล็กไหลสถิตอยู่ทำไม่ได้หรอก เจ้าก็รู้ดี ความแตกต่างระหว่างเรากับผู้มีพรสวรรค์คือปราณอาคม ดังนั้นเจ้าที่ไม่มีเหล็กไหลจึงเรียนรู้มันไม่ได้หรอก”
ลึก ๆ ในใจของบุหรงนั้นอยากสอนเหนือภพ แต่เหนือภพทำให้เธอคิดถึงรุ่นน้องพันธะคนแรกของเธอ เขามีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ อีกทั้งเขาผู้นั้นยังมีเหล็กไหลสถิตอยู่ภายในร่าง แต่น่าเสียดายเขาอายุสั้น พอบุหรงคิดถึงเรื่องนี้ก็กระดกเหล้าเข้าปากเพื่อย้อมใจ
“ถ้าเรื่องแค่นั้นล่ะก็ ข้ามีคุณสมบัติ”
เหนือภพไม่พูดเปล่า เขายังกระตุ้นการทำงานของเหล็กไหลสองราชันย์ภายในร่าง จนเกิดออร่าแสงสีส้มแดงเรืองรอง บนร่างปรากฏเส้นสายส้มแดงเป็นเอกลักษณ์บางอย่าง แม้แต่ดวงตาก็ยังแปรเปลี่ยนไป ทำให้บุหรงที่หันกลับมาดูอย่างตกใจ
“ทำไมข้าไม่รู้มาก่อนว่าเจ้ามี”
มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่บุหรงจะไม่รู้ว่าเหนือภพมีเหล็กไหลภายในร่าง แม้แต่เหนือภพเองก็ยังไม่รู้เช่นกัน ว่าบุหรงก็มีเหล็กไหลสถิตอยู่ หากไม่ใช่เพราะกระบวนการหลอมนั้น เหนือภพก็คงไม่รู้ไปอีกนาน
“ก็เจ้าไม่เคยถามข้า”
เหนือภพยืดตัวขึ้นแล้วก็ยักคิ้วอย่างโอ้อวด ถ้านางรู้ว่าเขาไม่เพียงแค่มีเหล็กไหลชนิดเดียว แต่ยังมีถึงสองชนิดภายในร่าง นางคงตกใจมากกว่านี้
“ไอ้เด็กบ้านี่ เจ้ามีความลับอะไรอีก บอกมา ไม่งั้นข้าจะอัดเจ้า”
“เรื่องไรข้าจะบอกยัยแก่อย่างเจ้ากัน”
เหนือภพยิ้มแล้วก็วิ่งเข้าไปในเหมืองในส่วนที่ลึกขึ้น ขณะที่บุหรงยิ้มเหี้ยมขณะวิ่งไล่ตาม
“หยุดนะเจ้าเด็กบ้า เจ้าจะไปไหน”
เหนือภพที่วิ่งเหยาะ ๆ อยู่กลับหยุดนิ่ง เขาขมวดคิ้วนิ่วหน้า ทำให้บุหรงที่วิ่งตามมา เธอพุ่งชนเข้ากับแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยอาวุธดังโป๊ก หน้าผากของบุหรงแดงช้ำ ขณะที่เหนือยังคงยืนปักหลักราวกับเสาหิน
บุหรงอยากจะด่า แต่กลับถูกเหนือภพเอามือปิดปากเธอเอาไว้ ขณะที่เหนือภพลากเธอลงข้างทาง ย่อตัวลงเพื่อหลบบางอย่าง ก่อนแหงนหน้ามองขึ้นไปด้านบนถ้ำ
“เกิดอะไรขึ้น”
บุหรงกระซิบถามเสียงเบา ขณะชะเง้อหัวออกไปมองตามเหนือภพ ก่อนเธอจะรีบปิดปากตัวเองอย่างตื่นตะลึงระคนหวาดกลัว
ทั้งสองมองไปยังพื้นที่เบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยแสงสว่างจากหินส่องแสง ที่อยู่ตามผนังถ้ำโดยธรรมชาติ มันดูงดงามราวกับสวนสวรรค์ แต่ความสว่างนั้นก็ทำทำให้หญิงสาวเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น สัตว์อสูรค้างคาขนาดตัวเท่าแม่วัวสามตัวห้อยหัวอยู่บนเพดานถ้ำ แค่มองก็รู้ว่าน่าจะเป็นระดับราชา ระดับแรงค์คงไม่ได้ต่ำกว่าแรงค์ C แน่นอน หรืออาจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำ ไม่เพียงเท่านั้นผนังเพดานโดยรอบก็มีสัตว์อสูรค้างคาวขนาดเท่าแม่หมาอีกจำนวนนับไม่ถ้วน พวกมันห้อยหัวกันอยู่เป็นแพสีดำ มีความเคลื่อนไหวเล็ก ๆ ตามจังหวะหายใจ มองดูแล้วยุบยับน่าขยะแขยงอย่างบอกไม่ถูก แต่มันมีสิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้น
เหนือภพสะกิดบุหรง แล้วก็ชี้ไปยังด้านในสุด ลึกเข้าไปสักห้าหกร้อยเมตร หรืออาจจะมากกว่านั้น ในเส้นทางดังกล่าวมันตรงข้ามกับจุดที่พวกเขาอยู่พอดิบพอดี พวกเขาจึงสามารถเห็นประตูสีทองเหลืองอร่ามจากที่ไกล ๆ ได้
“หรือว่าตำนานจะเป็นจริง”
บุหรงกระซิบถาม เหนือภพไม่ตอบ แต่เขาส่ายหน้า ก่อนจะส่งสัญญาณให้ถอยออกมาก่อนชั่วคราว เพื่อวางแผนพูดคุย จะได้รู้ว่าควรไปต่อหรือหยุดเพียงเท่านั้น
“เล่าให้ข้าฟังที ตำนานอะไร”
เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้ว เหนือภพก็กระซิบถาม เขายังไม่วางใจที่จะพูดเสียงดัง ซึ่งบุหรงก็เห็นด้วย
“เรื่องนี้มันเริ่มเมื่อหลายสิบปีก่อน เจ้าเคยได้ยินเรื่องที่มีเสียงกรีดร้องมาจากเหมืองมหาลาภหรือเปล่า”
เหนือภพพยักหน้า
“แล้วเรื่องข่าวลือ ราชวงศ์อมตะกำลังสร้างกองกำลังลับที่นี่ล่ะ”
เหนือภพพยักหน้าอีกครั้ง
“ดีแล้วข้าจะได้ไม่ต้องเล่ามาก ทั้งสองเรื่องนั้นมีความเกี่ยวข้องกัน ที่สำคัญเจ้ารู้ใช่ไหมว่าห้าสถานที่ต้องห้ามบนแผ่นดินนี้คืออะไร”
เหนือภพพยักหน้า ห้าสถานที่ต้องห้ามคือสถานที่ที่ฮันเตอร์ไม่สามารถปฏิบัติงานได้ มันจึงนับว่าเป็นสถานที่อันตรายได้ แก่ใต้น้ำ บนฟ้า โบราณสถาน ดินแดนมรดก และอย่างสุดท้ายคือเหมืองโบราณ
พื้นที่ทั้งห้านั้นไม่ใช่เข้าไม่ได้ แต่มันอันตรายและซับซ้อนเกินไป อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่เกินกว่ามนุษย์จะคงอยู่ได้ อย่างเช่นใต้น้ำที่มนุษย์ไม่สามารถหายใจได้ หรือบนฟ้าที่มนุษย์ไม่ได้มีปีก แม้จะบินได้ด้วยอาคมแต่ก็เป็นเพียงชั่วระยะเวลาสั้น ๆ หากไปเจอสัตว์อสูรเข้าก็จะไม่อาจต่อกรด้วยได้
“เมื่อหลายสิบปีก่อน ดูเหมือนราชวงศ์อมตะจะพบเจอโบราณสถานแห่งหนึ่งที่ก่อตั้งบนเหมือนโบราณ ภายในป่าโบราณที่ถูกเรียกว่า ‘ดงพญาไฟ’ ภายในนั้นพวกเขาค้นพบความลับเกี่ยวกับแร่เจ็ดสี พวกเขาเริ่มพยายามก้าวข้ามห้าสถานที่ต้องห้าม ด้วยการก่อสร้างกองกำลังลับเฉพาะเพื่อปฏิบัติงานภายในเหมือง โดยใช้เหมืองมหาลาภที่ถูกเรียกว่าเหมืองที่ตายแล้ว มาเป็นสนามจำลองในการฝึก”
เหนือภพอ้าปากค้าง มองบุหรงที่เล่าเรื่องเป็นตุเป็นตะ แต่เขาก็ยังไม่พูดอะไร ได้แต่ฟังอย่างเดียว