บทที่ 89 จี้เฟิงเป็นคนของตระกูลใหญ่ ????
บทที่ 89 จี้เฟิงเป็นคนของตระกูลใหญ่ ????
จนกระทั่งเธอออกจากโรงภาพยนตร์ ถงเล่ยยังคงรู้สึกว่ามีอะไรเหนียวๆ บนใบหน้าของเธอ เธอเผลอเช็ดโดยไม่รู้ตัวไปสองสามครั้ง แต่พบว่ามันแห้งไปแล้ว ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงแค่เหลือบมองไปที่จี้เฟิงเท่านั้น
จี้เฟิงได้แค่หัวเราะแห้งๆ อย่างไรก็ตามเขาเป็นเพียงวัยรุ่นหนุ่มที่ยังไม่มีประสบการณ์ เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้ใบหน้าของถงเล่ยต้องเลอะแบบนั้น…
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อจี้เฟิงมองย้อนกลับไปเขารู้สึกว่าพฤติกรรมที่เขาทำนั้นมันค่อนข้างจะอุกอาจ
“ฉันคิดว่านายเป็นเพียงผู้ชายที่ใสซื่อ ที่แท้นายก็ไม่ต่างจากหมาป่าที่อยากจะขย้ำลูกแกะ ดูเหมือนว่าประโยคที่ในทีวีมักจะพูดเกี่ยวกับผู้ชายไว้นั้นไม่ผิดเลย!” ถงเล่ยบ่นอย่างช่วยไม่ได้ แม้ว่าคำพูดของเธอจะดูเหมือนเป็นการตำหนิจี้เฟิง แต่แววตาที่เขินอายของเธอไม่ได้หมายความตามที่พูดแม้แต่น้อย
มันเป็นเรื่องปกติที่ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนเมื่อทำสิ่งนี้กับแฟนเป็นครั้งแรกจะต้องรู้สึกเขินอาย ไม่ต้องพูดถึงว่าเด็กสาวอย่างถงเล่ยที่ถูกเลี้ยงดูอย่างเข้มงวดมาโดยตลอด มันจึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้หากเธอจะรู้สึกประหม่า
“เล่ยเล่ย เรากลับกันเถอะ ฉันจะไปส่งเธอที่บ้านเอง” จี้เฟิงเกาหัวของเขาและรีบเปลี่ยนเรื่องคุย “ถ้ากลับดึกเกินไปฉันเกรงว่าคุณลุงกับคุณป้าจะเป็นห่วง!”
“อืม” ถงเล่ยพยักหน้าอย่างเขินๆ เมื่อเธอคิดว่าถ้าพ่อแม่ของเธอรู้ว่าเธอเพิ่งทำอะไรให้จี้เฟิง พวกเขาจะคิดยังไง เมื่อเธอคิดเช่นนั้นเธอก็ยิ่งรู้สึกละอายใจ
ตั้งแต่โรงภาพยนตร์ไปจนถึงบ้านพักครอบครัวของคณะกรรมการประจำเขต ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันเลยสักคำ แต่ความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมของทั้งสองกลับค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
พวกเขาหยุดเดินเมื่อมาถึงจุดที่มียามยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้าเขตที่พักของคณะกรรมการประจำเขต
“จี้เฟิง นายต้องการเข้าไปนั่งเล่นก่อนมั้ย?” ถงเล่ยรู้สึกเศร้าแม้ว่าเธอจะขี้อาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่ต้องการที่จะอยู่กับจี้เฟิงต่อ เมื่อในเวลานี้เธอต้องแยกกับจี้เฟิง เธอก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
“ไม่ดีกว่า ตอนนี้มันก็ดึกมากแล้ว” จี้เฟิงยังคงรู้สึกเขินอายอยู่เล็กน้อย อย่างไรก็ตามหลังจากที่เขาเพิ่งจะมีความสนิทสนมกับถงเล่ยมา ถ้าหากเขาต้องเจอถงไค่เต๋อและภรรยา เขาก็ไม่รู้ว่าจะสามารถทำตัวให้ดูปกติได้หรือไม่
ถงเล่ยดูเหมือนจะอ่านความคิดของเขาออก เธออดไม่ได้ที่จะมองเขาด้วยแววตาอันลึกซึ้ง จากนั้นเธอก็ยืนเขย่งเท้าและจูบไปที่แก้มของจี้เฟิงเบาๆ จากนั้นก็หัวเราะคิกคักและวิ่งหนีไป
จี้เฟิงมองไปที่ด้านหลังของถงเล่ยที่กำลังวิ่งหนีไปด้วยความเขินอาย เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม
ยามที่ยืนปฏิบัติหน้าที่อยู่ มองไปที่จี้เฟิงอย่างรู้สึกแปลกใจ โดยปกติแล้วคนที่ทำงานในด้านนี้จะต้องมีไหวพริบและสายตาที่เฉียบแหลมอยู่แล้วเป็นปกติ ดังนั้นสำหรับยามรักษาการณ์ผู้นี้ จึงเรียนรู้รายละเอียดเกี่ยวกับสมาชิกในบ้านของผู้นำของตนเองเป็นอย่างดี
ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มคนนี้อาจจะเป็นลูกเขยของถงไค่เต๋อเลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำเขต ในอนาคต เมื่อคิดได้เช่นนี้ ยามก็รู้สึกกระตือรือร้นและถามด้วยรอยยิ้ม “ชายหนุ่ม มาส่งแฟนงั้นเหรอ?”
จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้ากล่าวว่า “ใช่แล้วพี่ชาย ทำงานหนักเลยนะวันนี้”
ยามรักษาการณ์ตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “ไม่หรอก สบายๆ!”
อย่างน้อยฉันก็ได้พูดคุยกับว่าที่ลูกเขยของคนระดับเลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำเขต ยามอดไม่ได้ที่จะแอบเพ้อฝัน ถ้าเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับชายหนุ่มคนนี้ เขาอาจจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าพนักงานรักษาความปลอดภัยในอนาคต…
จี้เฟิงเอามือลูบแก้มของตัวเองที่เพิ่งถูกถงเล่ยจูบเมื่อสักครู่อย่างเก้อๆ พร้อมกับยิ้มเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็หันหลังและเดินจากไปโดยที่ไม่รู้เลยว่า ยามที่เขาเพิ่งทักทายกันสั้นๆ เมื่อสักครู่กำลังคิดอาศัยบารมีที่เขาอาจจะมีในอนาคตอยู่
...............
ถงไค่เต๋อและภรรยานั่งดูข่าวอยู่ในห้องนั่งเล่น เมื่อเห็นลูกสาวที่เพิ่งกลับบ้านมาด้วยสีหน้าเขินอายของเด็กสาวที่กำลังมีความรัก พวกเขาต่างมองหน้ากันแล้วอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวแล้วยิ้ม
ลูกสาวของเขาโตพอที่จะรู้จักกับความรักในที่สุด
“เล่ยเล่ย มาหาแม่หน่อยลูก” นางถงกวักมือเรียกลูกสาวของเธอและถามด้วยความอ่อนโยน “ไหนเล่าให้แม่ฟังหน่อยซิ เด็กหนุ่มจี้เฟิงคนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
“แม่ ทำไมจู่ๆถึงถามเรื่องนี้!”ถงเล่ยอดไม่ได้ที่จะหน้าแดงและพูดด้วยเสียงเบา
“ทำไมถึงถามไม่ได้ล่ะ ลูกสาวมีแฟนทั้งที ในฐานะคนเป็นแม่จะถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้เลยหรือ?” นางถงแสร้งทำเป็นโกรธ
“จี้เฟิงเป็นคนดีมากเขาจะไม่รังแกหนูแน่นอน ดังนั้นแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ” ถงเล่ยคิดว่าแม่ของเธอคิดว่าจี้เฟิงอาจจะเป็นคนไม่ดีและรังแกเธอ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะรีบพูดเพื่อปกป้องจี้เฟิง แต่อันที่จริงจี้เฟิงก็ไม่ได้รังแกหรือทำไม่ดีกับเธอ นอกเสียจากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในโรงภาพยนตร์วันนี้นั้น เรียกว่าเป็นการรังแก งั้นถงเล่ยก็คงถูกรังแกแล้วแน่นอน
เมื่อเห็นความมั่นใจของลูกสาวที่มีต่อแฟนหนุ่ม นางถงก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เล่ยเล่ย ลูกรู้หัวนอนปลายเท้าของจี้เฟิงหรือเปล่า เขาได้เล่าเรื่องครอบครัวของเขาให้ลูกฟังบ้างไหม?”
ถงเล่ยรู้สึกตกใจกับคำถามของแม่เธอรีบพูดอย่างร้อนรน “แม่! หนูรู้ว่าถ้ามองจากสายตาของแม่ ครอบครัวของจี้เฟิงเขาอาจจะไม่เหมาะสมกับครอบครัวเราเท่าไหร่ แต่หนูมั่นใจว่า จี้เฟิงเขาชอบหนูจริงๆ แม่อย่ามองคนแต่ที่ภายนอกสิ หนูอยากให้พ่อกับแม่ลองเปิดใจมองเขาที่จิตใจดู!”
นางถงยิ้มบางๆ “เล่ยเล่ยอย่าเพิ่งมองพ่อกับแม่ในแง่ร้ายแบบนั้น แม่ไม่ได้ต้องการจะห้ามไม่ให้ลูกคบหากัน แม่เพียงแค่อยากรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ในครอบครัวของจี้เฟิง ว่าเขาเป็นลูกเต้าเหล่าใคร นิสัยเป็นอย่างไร ลูกรู้จักเขาดีพอแล้วหรือยัง แม่ไม่อยากให้ลูกของแม่ต้องมาเสียใจภายหลัง แต่ถ้าลูกมั่นใจว่าจี้เฟิงชอบลูกจริงๆ พ่อกับแม่ก็จะไม่คัดค้าน ส่วนเรื่องของคุณลุงและคุณปู่ของลูก พ่อกับแม่จะช่วยพูดให้เอง ไม่ต้องเป็นห่วง!”
“จริงเหรอคะ?!!”
ถงเล่ยคลี่ยิ้มออกมาอย่างสดใส เธอทำหน้าเหมือนเด็กน้อยขี้อ้อนแล้วพูดกับแม่ว่า “หนูรู้อยู่แล้วว่าแม่ของหนูน่ารักที่สุด ไม่มองคนที่ภายนอกเหมือนคนอื่นๆ!”
“ยัยลูกคนนี้ ถ้าแม่คัดค้านไม่อยากให้ลูกคบกับจี้เฟิง มีหรือที่จะปล่อยให้ลูกออกไปเดินเที่ยวกับเขาแบบนี้?” นางถงพูดพร้อมกับส่ายหัว เธอทำเสียงดุขึ้นเล็กน้อยแล้วถามว่า “แล้วทีนี้ลูกจะเล่าเรื่องของจี้เฟิงให้พ่อกับแม่ฟังได้หรือยัง?”
“อื้ม!” ถงเล่ยพยักหน้าและพูดว่า “ปกติแล้วจี้เฟิงเขาจะเป็นคนเงียบขรึม ไม่ชอบพูดเท่าไหร่ แต่เวลาทำอะไรเขาจะใจเย็นมีความอดทนและตั้งใจมาก ยิ่งไปกว่านั้นความจำของจี้เฟิงนั้นยอดเยี่ยมมาก...”
ถงเล่ยสามารถพูดถึงข้อดีและข้อเสียทั้งหมดของจี้เฟิงได้โดยไม่ต้องคิด
เห็นได้อย่างชัดเจนว่า เวลาคนเรานั้นชอบใครจริงๆ เราจะรู้จักคนคนนั้นดีกว่ารู้จักตัวเองเสียอีก
เมื่อฟังลูกสาวพูดถึงจี้เฟิง ถงไค่เต๋อและนางถง
ต่างแอบพากันพยักหน้าอยู่ในใจ ‘เด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนที่ดีอย่างแน่นอน’
การที่เป็นคนที่เงียบขรึมไม่ใช่ข้อบกพร่อง เพราะเมื่อเช้าตอนที่จี้เฟิงมาที่บ้าน การแสดงออกของเขาก็น่าทึ่งไม่น้อย นั่นหมายความว่าไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนเงียบขรึมที่ไม่ชอบพูด แต่เขาเป็นคนที่มีความมั่นคงและเป็นผู้ใหญ่กว่าคนทั่วไปในวัยเดียวกัน
สำหรับเรื่องความจำอันยอดเยี่ยมของจี้เฟิง ถงไค่เต๋อรู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก เพราะเขาไม่เคยเห็นใครที่จะสามารถจดจำได้โดยไม่มีวันลืมเลย จี้เฟิงคนนี้เป็นคนที่พิเศษจริงๆ
“ดูเหมือนว่าเพื่อนเก่าของฉันจะมีลูกชายที่ดีมาก” ถงไค่เต๋อพูดด้วยความโล่งอกในใจ
นางถงถามลูกสาวต่อ “แล้วเรื่องสถานการณ์ของครอบครัวจี้เฟิงล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง?”
ทันทีที่เธอถามจบ เธอก็เห็นถงเล่ยมุ่ยปาก นางถงเลยรีบพูดขึ้นทันทีว่า “เล่ยเล่ย ที่แม่ถามนี่ไม่ได้มีความหมายอื่นแอบแฝง แต่เนื่องจากเขาเป็นแฟนของลูกสาวสุดที่รักของแม่ เพราะฉะนั้นคงไม่ใช่เรื่องผิดที่แม่ต้องการจะรู้ ถูกไหม?”
ใจจริงๆ ของถงเล่ยไม่ใช่ว่าไม่อยากจะเล่า แต่เธอกลัวว่าถ้าแม่รู้เกี่ยวกับครอบครัวของจี้เฟิงแล้ว แม่จะห้ามเธอไม่ให้ติดต่อกับเขาอีก แต่เมื่อแม่ของเธอพูดถึงขนาดนี้ เธอก็ไม่สามารถหาเหตุผลที่ดีพอมาปฏิเสธได้
“สถานการณ์ของครอบครัวจี้เฟิงไม่ค่อยดีนัก เขามีแม่เพียงคนเดียว พวกเขาสองคนแม่ลูกต้องคอยพึ่งพาอาศัยกัน แล้วก็... หนูเคยได้ยินมาว่า จี้เฟิงดูเหมือนจะเป็นลูกนอกสมรสและเขาก็ไม่เคยรู้ว่าพ่อของเขาเป็นใคร ส่วนแม่ของเขามีอาชีพเป็นแม่ค้าขายผักที่ตลาด... อาศัยอยู่ในชุมชนแออัด...” ถงเล่ยนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง “นั่นคือเรื่องที่หนูรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับครอบครัวของจี้เฟิง จริงๆ หนูก็ไม่ได้รู้อะไรมากนัก เพราะเราเพิ่งจะเริ่มคบหากัน”
“ยัยเด็กโง่คนนี้ มัวพูดเรื่องอะไรอยู่ เธอทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดชะมัด!”
จางเล่ยที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องได้แอบฟังการสทนาของถงเล่ยกับพ่อแม่ของเขา เขาได้ยินถงเล่ยตอบคำถามของพ่อกับแม่อย่างตรงไปตรงมา แถมเธอยังทำให้เรื่องในครอบครัวของจี้เฟิงได้รับการเปิดเผย
จางเล่ยยิ้มและส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ แม้ว่าน้องสาวคนนี้ของเขาจะเป็นคนฉลาด แต่เธอก็ยังอ่อนต่อโลกมาก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอจะไม่สามารถต้านทานคำถามของพ่อกับแม่ได้
ยัยน้องสาวซื่อบื้อ ฉันไม่อยากจะคิดเลย ตอนนี้พ่อกับแม่ก็รู้ถึงสถานการณ์ในครอบครัวของจี้เฟิงหมดแล้ว แล้วทีนี้พวกเขาจะอนุญาตให้เธอกับจี้เฟิงคบกันต่อได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตามสิ่งที่จางเล่ยไม่คาดคิดว่าจะได้ยินก็เกิดขึ้น หลังจากที่นางถงฟังคำพูดของลูกสาวแล้วเธอก็มองไปที่ถงไค่เต๋อสามีของเธอ
จากนั้นเธอก็พูดขึ้นว่า “เล่ยเล่ย แม่เชื่อว่าลูกโตพอที่จะเลือกสิ่งที่ดีเพื่ออนาคตของตัวเองได้แล้ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่แม่อยากจะขอห้าม ก่อนที่ลูกจะเรียนจบมหาวิทยาลัย ลูกต้องไม่ทำอะไรที่เกินเลย ไม่เช่นนั้นแม่กับพ่อจะไม่มีวันให้อภัยแน่นอน เข้าใจไหม?!”
…!!
ใบหน้าสวยของถงเล่ยแดงระเรื่อด้วยความอาย อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าเกินเลย?
เธอรีบแสร้งทำเป็นไม่แยแสและพูดว่า “หนูรู้แล้วหน่า แม่มีอะไรอีกไหม?”
“ยัยลูกคนนี้นี่น้า..” นางถงยิ้มและส่ายหัวจากนั้นจึงกล่าวว่า “งั้นเราก็ไปพักผ่อนเถอะ!”
“โอเคค่ะ แม่,พ่อ ราตรีสวัสดิ์” ถงเล่ยรีบวิ่งกลับเข้าห้องไปอย่างมีความสุข เพราะเธอไม่คาดคิดว่าเรื่องของจี้เฟิงจะสามารถผ่านด่านของพ่อแม่ไปอย่างง่ายดาย
“มันไม่ง่ายเกินไปหน่อยเหรอ?” จางเล่ยรู้สึกประหลาดใจมาก เขาสงสัยว่าเรื่องนี้อาจมีเบื้องหลังอะไรที่เขาไม่รู้ แต่เขาไม่กล้าพอที่จะเปิดประตูออกไป จึงทำได้แค่แอบกังวลอยู่หลังประตู
ที่ห้องนั่งเล่นในเวลานี้เหลือเพียงถงไค่เต๋อและภรรยาของเขา ทั้งสองมองหน้ากัน ถงไค่เต๋อกระซิบขึ้นว่า “ดูเหมือนการคาดเดาของผมจะถูกต้อง จี้เฟิงเป็นลูกชายคนเดียวของทายาทคนโตตระกูลจี้ และผมก็ไม่ได้คาดหวังว่าเจ้าสาวที่หายตัวไปก่อนวันแต่งงานคิดที่จะซ่อนตัวอยู่ในบ้านเกิดของเธอ แต่ลูกชายคนโตตระกูลจี้คงจะคิดไม่ถึง!”
“คุณโทรศัพท์ไปบอกเพื่อนเก่าของคุณเรื่องจี้เฟิงไปแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วเขาตอบกลับมาว่ายังไงบ้าง?” นางถงอดไม่ได้ที่จะถาม
ถงไค่เต๋อส่ายหัวเล็กน้อยและพูดว่า “เขาจะพูดอะไรได้ ในตอนนั้นเขาทำได้แค่เพียงเชิญผมไปที่บ้านของเขาในฐานะแขกถ้าผมพอมีเวลา!”
“เขาพูดแค่นั้นเหรอ?” นางถงถามด้วยความประหลาดใจ “เขาไม่สนใจลูกชายของเขาเลยเหรอ?”
“ฮ่าฮ่า~!”
ถงไค่เต๋อหัวเราะและกล่าวว่า “เขาจะไม่สนใจได้อย่างไร แต่ในฐานะที่เขาเป็นลูกชายคนโตของตระกูลใหญ่ การที่เขาจะเดินทางไกลมันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ สิ่งที่เขาจะทำได้ในตอนนี้คือเชิญผมไปที่บ้านในฐานะแขก คุณรู้ไหมว่าเขาไม่เคยเชิญใครไปที่บ้านของเขาในฐานะแขกมาก่อน! ผมอยากจะไปเยี่ยมตาเฒ่าแห่งตระกูลจี้มานานแล้ว นี่ถือว่าเป็นโอกาสดีสำหรับตระกูลถงของเรา!”
“โอกาสดีอย่างไร?” นางถงค่อนข้างไม่เข้าใจในเรื่องแบบนี้เท่าไหร่นัก
ถงไค่เต๋อกระซิบ “คุณนึกถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตระกูลจี้ดู ตระกูลจี้ถูกจัดอยู่ในตระกูลชั้นหนึ่ง ในตอนนี้อำนาจของพวกเขาครอบคลุมในหลายๆมณฑล และยังมีแนวโน้วที่จะแผ่ขยายเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต แม้ว่าตอนนี้ผู้นำตระกูลจี้คนปัจจุบันจะสุขภาพไม่ค่อยดี แต่ผู้นำของตระกูลจี้รุ่นที่สองนั้นแข็งแกร่งมาก เมื่อเทียบกับตระกูลถงของเราซึ่งเป็นเพียงตระกูลชั้นสองหรือสามเท่านั้น หากเราสร้างสัมพันธไมตรีที่ดีกับตระกูลจี้ได้ นี่จะเป็นข้อได้เปรียบอย่างยิ่งสำหรับพวกเรา!”
“เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าแค่การโทรศัพท์เพียงครั้งเดียวก็สามารถแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ได้มากมายขนาดนี้” นางถงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
“เฮ้อ..ถูกต้องแล้ว” ถงไค่เต๋อพยักหน้าและถอนหายใจเช่นกัน “ฉันเป็นเพื่อนกับลูกชายตระกูลจี้มาก็หลายปี แต่ก็ไม่เคยสร้างสัมพันธ์ที่ดีได้สำเร็จเสียที คิดไม่ถึงจริงๆว่าการโทรศัพท์เพียงแค่สายเดียวจะทำให้มีโอกาสที่ดีขนาดนี้...”
ในเวลานี้จางเล่ยที่ยังคงแอบอยู่ในห้องเขานั้นถึงกับช็อกอ้าปากค้างไปแล้ว เขาคิดไม่ถึงว่าเพื่อนซี้ที่เขามักจะเรียกว่าไอ้บ้าอยู่เป็นประจำ จะมีต้นกำเนิดที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เขาเป็นถึงลูกของลูกชายคนโตแห่งตระกูลจี้ เพราะฉะนั้นจี้เฟิงก็เหมือนกับมีตำแหน่งเจ้าชายรอยู่ในอนาคต!
“แล้วหัวหน้าตระกูลจี้จะทำอย่างไรกับจี้เฟิง?” นางถงอดไม่ได้ที่จะถามอีกครั้ง
ถงไค่เต๋อยิ้มและพูดว่า “คุณน่าจะพอเดาได้นะ เพราะขนาดแค่โทรศัพท์สายเดียวยังสามารถแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ได้มากขนาดนี้ แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่า หลานชายของตระกูลจี้นั้นมีความสำคัญแค่ไหน ถ้าให้ผมเดา ตระกูลจี้น่าจะส่งคนไปหาจี้เฟิงเร็วๆนี้ เผลอๆ อาจจะเป็นวันพรุ่งนี้เลยก็ได้!”
…...จบบทที่ 89~❤️