LCEW เล่มที่ 1 ตอนที่ 35 - วันสิ้นโลกเมื่อมนุษย์กินกันเอง
เล่มที่ 1 ตอนที่ 35 - วันสิ้นโลกเมื่อมนุษย์กินกันเอง
เจ้าหญิงอาร์เซนอลก้มหน้า ผมสีบลอนด์หยิกยาวพริ้วไสวไปตามสายลมยามค่ำคืน "ถ้าหากพวกเราสามารถฝ่ามันออกไปได้อย่างที่เธอพูด เราอาจจะค้นพบสิ่งมีชีวิตใหม่ หรือไม่ก็สถานที่ที่เหมาะสมกับการอยู่อาศัยที่มากกว่าที่นี่…"สายตาของเธอจดจ่ออยู่กับเส้นขอบฟ้าตัดผ่านความมืดมิด เธอยิ้มมุมปากด้วยความหวัง
"ไม่ต้องกังวล ฉันเป็นถึงนักผจญรังสี ฉันสามารถเดินอยู่ในเส้นวงแหวนรังสีได้!!"ฉันใช้มือตบหน้าอกเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเธอ ซิงชวนเคยบอกกับฉันว่าฉันคือนักผจญรังสี ไม่ใช่พวกเหนือมนุษย์
เจ้าหญิงอาร์เซนอลยิ้มเล็กน้อย "หลัวปิง นักผจญรังสีมีภูมิคุ้มกันแค่เพียงระดับหนึ่ง เธอจะเดินได้เพียงแค่ขอบเส้นรังสีเท่านั้น…."
ฉันสามารถเดินอยู่รอบๆเส้นขอบรังสีได้……
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง เจ้าหญิงอาร์เซนอลกำลังหมายความว่าเราติดอยู่ที่นี่ แล้วนอกวงเส้นรังสีล่ะ? มันน่าจะมีโซนเมืองอื่นที่เหมือนกับเมืองโนอาห์อยู่ด้วย? มันอาจจะฟังดูไม่เหมือนกับยุคสมัยโบราณ แต่ก็คล้ายกันตรงที่มันถูกขวางกั้นด้วยภูเขาและแม่น้ำ
"ตราบใดที่เรามีพลังงานเพียงพอ ยานป้องกันรังสีก็จะสามารถฝ่าเขตรังสีเพื่อไปยังบริเวณที่อยู่อาศัยอื่น หรือไม่ก็ตามหา ค้นหาทรัพยากร เช่น….."เจ้าหญิงอาร์เซนอลมองไปทางทิศตะวันออก "เมืองเกราะฟ้าที่ตั้งอยู่ในเขตแปดฝั่งตะวันออกของพวกเรา พวกเขามีทรัพยากรที่ดีกว่าเรามาก และทุกอย่างก็มีราคาแพง…."
"เขตแปด แล้วพวกเราอยู่ใน…."
"เขตเก้า"เจ้าหญิงอาร์เซนอลยิ้มสีหน้ากลับมามีอารมณ์อีกครั้ง "นี่แหละจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม หลัวปิง เราขอบคุณเธอมาก เมื่อฤดูเก็บเกี่ยวแอปเปิ้ลปีหน้ามาถึง พวกเราก็จะเอาเมล็ดแอปเปิ้ลไปแลกเปลี่ยนกับข้าวโพดหรือไม่ก็เมล็ดพันธุ์อื่น เด็กๆของเราก็จะมีอาหารให้กินหลากหลายมากขึ้น!!"ดวงตาเจ้าหญิงอาร์เซนอลเปล่งประกายระยิบระยับดุจดวงดาวใต้แสงจันทร์ คล้ายกับว่าเธอกำลังมองเห็นความหวังอันยิ่งใหญ่
ฉันละอายใจต่อความกระตือรือร้นของเธอ เธอมองฉันราวกับว่าฉันเป็นฮีโร่ ทั้งๆที่ฉันแค่มอบแกนกลางแอปเปิ้ลที่มักจะโยนทิ้งหลังกินเสร็จให้กับเธอ
"อันที่จริงแล้ว ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย…."ฉันเงยหน้ามองเมืองพระจันทร์เงินอย่างเก๋งๆกังๆ จู่ๆฉันก็รู้สึกสับสน "แล้วเมืองพระจันทร์เงินล่ะ? พวกเขาไม่ได้อยู่บนฟ้าหรือ? พวกเขาสามารถบินผ่านไปยังเขตรังสีอื่นได้"
ผู้หญิงอาร์เซนอลมองดูเมืองพระจันทร์เงิน "ใช่แล้วล่ะ พวกเขาสามารถไปยังเขตอื่นได้ อย่างไรก็ตาม ถึงยานป้องกันรังสีจะสามารถเข้าสู่เขตรังสีได้ คนของพวกเขาก็ไม่สามารถออกจากงานเพื่อค้นหาทรัพยากรได้เช่นกัน แต่สุดท้าย…..พวกเขาก็ยังเป็นความหวังของเรา…."ดวงตาของเจ้าหญิงอาร์เซนอลเผยเห็นความอ่อนโยนอีกครั้ง "พวกเขาค้นพบเมล็ดพันธุ์มากมายตามเขตต่างๆ และกำลังศึกษาหาวิธีทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ เราเองก็หวังว่าแผ่นดินของเราจะกลับมาอุดมสมบูรณ์ แผ่นดินปกคลุมไปด้วยพืชพรรณ เกษตรผล"
เจ้าหญิงอาร์เซนอลเป็นเพียงเด็กสาวไร้เดียงสา ดวงตาของเธอแขวงให้เห็นถึงความหวังอันริบหรี่และอนาคตที่แสนสดใส เธอช่างแตกต่างจากเหอเล่ยที่ดวงตานั้นมีเพียงแค่ความเกลียดชังและความสิ้นหวัง
"ฉะนั้น….ในเมื่อทรัพยากรมันหายาก ทุกคนก็เลยสนใจแต่ตัวเอง?" ฉันมองดูเมืองพระจันทร์เงิน "พวกเขาเห็นแก่ตัวจริงๆ!"
"หลัวปิง โปรดอย่าพูดแบบนั้นกับเมืองพระจันทร์เงิน"เธอจับมือฉัน สีหน้าโศกเศร้าแฝงอยู่ภายใต้ใบหน้าอ่อนโยน "พวกเขาไม่มีทรัพยากรมากพอจะช่วยเหลือเรา พวกเขาแก้ไขไม่ได้เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังคงปกป้องทรัพยากรสุดท้าย รวมไปถึงพวกเรา พวกเขาเป็นคนจัดทำแผนที่ของแต่ละเขต เพื่อบอกกับเราว่าเมืองใดเป็นพันธมิตร เครื่องให้พวกเราทำการแลกเปลี่ยนทรัพยากรกันได้ ดังนั้น ถ้าหากเมืองใดไม่ใช่พันธมิตร พวกเราก็จะได้รักษาระยะห่างเพื่อความปลอดภัยของเราเอง!!"
"อย่างเช่นเมืองภูติคราสอย่างนั้นหรอ?"ฉันกล่าวถาม
ความผวาเกิดขึ้นในสายตาเจ้าหญิงอาร์เซนอล มันเป็นสัญชาตญาณความกลัว เธอกระพริบตาและก้มหน้า "ใช่ เมืองภูติคราสเป็น...เมืองที่น่ากลัว พวกเขาจะออกปล้นสะดม ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านหรือเมืองใดที่ถูกพวกมันเจอ สุดท้ายจะต้องเจอกับการกวาดล้าง ผู้หญิงจะถูกจับไปบ่มเพาะ ส่วนผู้ชาย…..ผู้ชาย…"น้ำเสียงของเจ้าหญิงอาร์เซนอลสั่นเครือ ฉันรีบจับมือเธอทันที "ช่างมันเถอะ พวกมันไม่มีทางหาเราเจอ!!"ฉันนึกไม่ถึงเลยว่าเมืองภูติคราสจะทำให้เจ้าหญิงอาร์เซนอลขวัญผวาขนาดนี้
ไม่ ฉันควรจะบอกทุกคนบนโลกถึงความน่ากลัวของพวกมัน ตอนที่ฉันได้พบกับเหอเล่ย ผู้คนที่ถูกเมืองภูติคราสจับตัวต่างก็สั่นกลัวด้วยความหวาดผวา สายตาของทุกคนนั้นบ่งบอกเป็นนัยว่าได้สูญสิ้นความหวังในชีวิตไป
แต่…...คำพูดที่ว่าผู้หญิงถูกจับไปบ่มเพาะ มันหมายความว่าอย่างไร?
ฉันมองเจ้าหญิงอาร์เซนอลที่สงบสติอารมณ์ลง และอดไม่ได้ที่จะถามไปว่า "คำพูดที่ว่าผู้หญิงมีไว้เพื่อบ่มเพาะนั้นมันหมายถึงอะไรหรือ?"
เจ้าหญิงอาร์เซนอลมองมาทางฉันด้วยความตกใจ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมฉันถึงไม่รู้เรื่องนี้ แต่ในไม่ช้าเธอก็นึกถึงบางอย่าง ก่อนจะแสดงสีหน้าภาพลักษณ์ที่น่าอิจฉา "หลัวปิง ยอดเยี่ยมไปเลยที่เธอความจำเสื่อม เธอจึงจำไม่ได้ว่าโลกนี้น่ากลัวเพียงใด เมืองภูติคราสน่ากลัวเพียงใด…….."
ฉันได้แต่ตกตะลึง
และแล้วสายตาของเธอก็กลายเป็นเคร่งขรึม "โลกนี้ขาดสารอาหาร และผู้หญิงก็สามารถ….."ใบหน้าของเธอซีดจาง "สามารถให้กำเนิดบุตร เธอ….เธอเข้าใจใช่ไหมว่าฉันหมายถึงอะไร"
ฉันจ้องมองเธอ ร่างกายของฉันสั่นสะท้านด้วยความขยะแขยง แขนขาเย็นชืดท้องไส้ปั่นป่วน *แหวะ* ฉันอยากจะอ้วก เจ้าหญิงอาร์เซนอลมองฉันด้วยสายตาเศร้าโศก "พวกมันไม่คำนึงถึงศีลธรรม พวกมันสนแค่อาหารเท่านั้น หลัวปิง ฉันได้แต่หวังว่าเธอจะจำเรื่องต่างๆไม่ได้…."สายตาของเธอมองกลับไปยังความมืด "โลกใบนี้ ไม่เหลืออะไรสวยงามให้จดจำอีกแล้ว….."
ฉันหายใจเข้าเฮือกใหญ่ นึกไม่ถึงเลยว่ามนุษย์จะโหดเหี้ยมเช่นนี้ อาจารย์เคยสอนประวัติศาสตร์ว่าในช่วงสงครามโบราณ หลายต่อหลายครั้งที่มนุษย์กินกันเองเพราะอาหารขาดแคลน แต่นั่นมันก็เกิดขึ้นเมื่ออดีตกาลนานมาแล้ว แต่ตอนนี้ มันกำลังจะเกิดขึ้นรอบๆตัวฉัน ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมเหอเล่ยถึงได้โหดเหี้ยม ไม่แม้แต่จะแสดงความปราณีต่อคนเมืองภูติคราส!!
พวกคนเมืองบาปมันควรจะหายไปจากโลกนี้!!
ฉันกำลังอัดแน่นเพราะความโกรธ
"หลัวปิง ทำไมเธอถึงไม่อยู่เมืองพระจันทร์เงินล่ะ?" สายตาที่เธอมองมานั้นเต็มไปด้วยความสับสน "เราได้ยินจากราฟเฟิลว่ามีอุปกรณ์ส่งสัญญาณฟังอยู่บนตัวกระสวยอวกาศหลบหนีที่มาจากเมืองพระจันทร์เงิน พวกเขาจะต้องกลับมาตามหาเธอแน่นอน…."
ฉันคลายหมัดและเริ่มหัวเราะ "ฉันถูกสงสัย หืม พวกเขาไม่เชื่อใจฉัน"
"เพราะว่าเธอเป็นคนแปลกหน้าสำหรับพวกเขา"เจ้าหญิงอาร์เซนอลพูดถึงเมืองพระจันทร์เงินอีกครั้ง ฉันเข้าใจดีถึงเหตุผลว่าทำไมซิงชวนไม่ไว้ใจฉัน สำหรับโลกที่ยืนอยู่บนกฎป่าเถื่อน ยังมีคนที่เชื่อได้อีกหรือ?
"ในสายตาของคนบนโลกใบนี้ ใครก็ตามที่เมืองพระจันทร์เงินออกแรงตามตัวกลับไปเพื่อสอบสวน คนคนนั้นจะต้องแข็งแกร่งกว่าผู้ที่อยู่บนพื้นดิน….."เจ้าหญิงอาร์เซนอลชายตามองพื้นที่รอบๆที่มีแต่ความแห้งแล้ง ไร้อนาคต มีเพียงแค่ความสิ้นหวัง