บทที่ 86 ห้องของถงเล่ย
บทที่ 86 ห้องของถงเล่ย
“เออจี้เฟิง แล้วนายมีแผนจะไปเจียงโจวเมื่อไหร่?!” จางเล่ยถามด้วยอารมณ์หงุดหงิดเล็กน้อย
จี้เฟิงหัวเราะและส่ายหัว “อย่างน้อยก็ต้องรอกว่านายจะได้รับอนุญาต ดีไหม?”
จางเล่ยยิ้มแห้งๆ “ฉันไม่ได้ไปไหนนอกจากโรงเรียนมาตลอดสามปี! มันทำให้ฉันจะเป็นบ้าอยู่แล้ว!”
“จี้เฟิง นายอย่าไปให้ความสนใจเขามากนักเลย!” ถงเล่ยอดไม่ได้ที่จะมองจางเล่ยด้วยสายตาที่ว่างเปล่า เธอยิ้มอย่างเหนื่อยใจ
“จี้เฟิง นายอยากไปดูห้องของฉันหน่อยมั้ย?!”
“ไปสิ!” จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้า
“คนเราพอมีแฟนแล้วก็ลืมพี่ชาย!” จางเล่ยบ่นพึมพำข้างๆ พวกเขาทั้งสองคน จี้เฟิงและถงเล่ยต่างหัวเราะออกมาพร้อมกัน
จางเล่ยทำตัวเหมือนคนรู้งาน เขาพูดหาข้ออ้างสุ่มๆ แล้ววิ่งกลับเข้าห้องไปนั่งเล่นอินเทอร์เน็ต ทิ้งให้จี้เฟิงและถงเล่ยไปที่ห้องของเธอกันสองคน
นี่เป็นการมาห้องส่วนตัวของผู้หญิงเป็นครั้งแรกของจี้เฟิง ทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้อง เขาก็ได้กลิ่นหอมจางๆ มันทำให้หัวของเขารู้สึกโล่งและสดชื่น
“ฮ่าฮ่าๆ~!”
สิ่งที่ทำให้จี้เฟิงเผลอหัวเราะออกมาอย่างเซ่อๆ ก็คือบนเตียงของถงเล่ยนั้นเต็มไปด้วยตุ๊กตาขนาดต่างๆ ไม่ต่างจากห้องของเด็กเล็กๆ
“อย่าหัวเราะนะ!” ถงเล่ยอดไม่ได้ที่จะหน้าแดง เธอตีไปที่แขนของจี้เฟิงเบาๆ
เมื่อมองไปที่ใบหน้าสวยงามที่กำลังแดงระเรื่อเพราะความเขินอาย จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจเต้นอย่างรุนแรง เขาคว้าเอวอ่อนนุ่มของถงเล่ยเอาไว้
“อุ๊ย!”
ถงเล่ยตกใจที่จู่ๆ จี้เฟิงก็คว้าเอวของเธอ ขาของเธอถึงกับอ่อนแรงจนล้มลงไปบนเตียงพร้อมกันกับจี้เฟิงที่กดทับตัวเธอลงมาบนเตียงเช่นเดียวกัน
“อ๊ะ!”
ร่างกายของถงเล่ยแข็งทื่อโดยทันที ใบหน้าที่สวยงามของเธอนั้นแดงก่ำพร้อมกับหัวใจที่เต้นตึกตักอย่างแรง
เมื่อจี้เฟิงมองไปที่ริมฝีปากแดงสวยที่กำลังปล่อยลมหายใจที่แรงขึ้นจากความตื่นเต้นของเธอ เขาก็ประกบปากจูบลงไปทันทีอย่างไม่ลังเล
เมื่อริมฝีปากของทั้งสองคนสัมผัสกัน พวกเขาทั้งคู่ต่างรู้สึกเหมือนถูกกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้าที่แล่นไปทั่วร่างกายของพวกเขา และทันใดนั้นร่างกายส่วนล่างของจี้เฟิงก็ตอบสนองทันที
ถงเล่ยไม่รู้จะทำตัวอย่างไร เธอจึงทำเพียงแค่หลับตาลงอย่างเขินอาย จี้เฟิงยังคงจูบริมฝีปากนุ่มของถงเล่ยโดยสัญชาตญาณ พร้อมกับที่มือใหญ่ของเขาก็ค่อยๆ ไต่จากเอวของถงเล่ยไปจุดที่สูงขึ้นและบีบมันเบาๆ โดยอัตโนมัติ
“อื้มม!”
ถงเล่ยเผลอครางออกมาอย่างไม่รู้ตัว เธอยังคงหลับตาด้วยความรู้สึกละอายแต่ก็ไม่ได้ขัดขืนการกระทำของจี้เฟิงแต่อย่างใด
“ปิ๊ง~! ป่อง~!!”
เสียงกริ่งประตูหน้าบ้านดังขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้พวกเขาทั้งสองตกใจ และผละออกจากกันในทันที
แก้มของถงเล่ยแดงระเรื่อ เธอรีบจัดเสื้อผ้าของเธอด้วยความตื่นตระหนก แต่ขณะนั้นเธอดันบังเอิญเหลือบไปเห็นร่างกายส่วนล่างของจี้เฟิง ตรงส่วนนั้นของกางเกง... มันทำให้เธอถึงกับหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม
แต่ถงเล่ยไม่ได้รู้สึกโกรธ เธอเพียงแค่มองไปที่จี้เฟิง ที่ตอนนี้แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเสน่ห์หาในตัวเธออย่างเห็นได้ชัด
ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนมากดกริ่งขัดจังหวะ เกรงว่าในเวลานี้จี้เฟิงคงจะกอดถงเล่ยไว้ในอ้อมแขนอีกครั้งพร้อมกับแสดงความรักที่อัดอั้นอยู่ในใจของเขาออกมาอย่างที่เขาต้องการ
………………..
จนกระทั่งเธอออกมาจากห้อง ใบหน้าที่สวยงามของถงเล่ยก็ยังคงแดงระเรื่อ แต่ก็ดีขึ้นกว่าเดิมมาก ไม่เช่นนั้นไม่ว่าใครก็คงสังเกตเห็น
อย่างไรก็ตามแม้ว่าถงเล่ยจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกปิดมัน แต่จางเล่ยที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องก็สายตาไวและเห็นมันเข้าอยู่ดี
เขาแอบยกนิ้วโป้งให้กับจี้เฟิงและกระซิบที่หูของเขาว่า “พวกนายนี่สุดยอดจริงๆ แต่ฉันว่าในบ้านมันจะไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่น๊า ถ้าพวกนายอยากแสดงความรักต่อกันจริงๆ ฉันขอแนะนำให้พวกนายไปข้างนอกจะดีกว่า นายไม่รู้หรอกว่าตาแก่ที่บ้านฉันน่ะหัวโบราณแค่ไหน!”
จี้เฟิงรู้สึกอับอายอย่างที่สุด เขาพูดอะไรไม่ออก เขาจึงทำได้แค่หันหน้าหนีและแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น แต่ในใจของเขายังคงนึกถึงริมฝีปากสีแดงอ่อนอันอวบอิ่มของถงเล่ยและเนินอกที่เนียนนุ่มคู่นั้นของเธอ
“ปิ๊ง~! ป่อง~!
เสียงกริ่งประตูหน้าบ้านดังขึ้นอีกครั้ง ถงเล่ยจึงรีบวิ่งไปเปิดประตู “พ่อกลับมาแล้ว!”
ผู้ชายที่เดินเข้ามาเป็นชายในวันสี่สิบต้นๆ แต่ดูเหมือนใบหน้าของเขาจะมีอายุเพียงสามสิบเจ็ดถึงสามสิบแปดปีเท่านั้น เขายังคงดูหนุ่มกว่าอายุจริงมาก โครงคิ้วของเขาค่อนข้างคล้ายกับถงเล่ย
โดยไม่จำเป็นต้องบอก จี้เฟิงก็รู้ได้ในทันทีว่า ชายผู้นี้ต้องเป็นพ่อของถงเล่ยและจางเล่ยอย่างแน่นอน เขาคือถงไค่เต๋อผู้ที่ตอนนี้ดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำเขตหมางซือ!
ในความเป็นจริง แม้ว่า ถงไค่เต๋อและถงเล่ย จะไม่ได้หน้าตาเหมือนกันมาก แต่จี้เฟิงก็สามารถจดจำได้อย่างรวดเร็วว่าชายผู้นี้เป็นใคร แม้ว่าเขาจะไม่ได้ดูทีวีบ่อยนัก แต่เขตเก่าแก่อย่างหมางซือนั้น ตั้งแต่ถงไค่เต๋อมาที่เขตนี้เมื่อสามปีก่อน หลังจากที่เขาดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำเขตแล้ว เขาก็เริ่มการปฏิรูปครั้งใหญ่ นั่นจึงทำให้ภาพถ่ายและชื่อของเขามีอยู่แทบทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นข่าวในทีวีหรือหนังสือพิมพ์ก็ตาม มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะมีคนไม่รู้จักเขา
จี้เฟิงลังเลอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเขาก็ก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อทักทายและกล่าวว่า “สวัสดีครับคุณลุง”
ถงไค่เต๋อชะงักอยู่ครู่หนึ่งเขาหันไปตามเสียงทักทาย และถามว่า “คุณคือ...”
ในขณะที่จี้เฟิงและจางเล่ยกำลังจะอ้าปากตอบ ถงเล่ยที่อยู่ข้างๆ พวกเขาก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “พ่อ ให้หนูแนะนำก็แล้วกัน คนนี้เป็นเพื่อนร่วมชั้นของพี่แล้วก็ของหนูด้วย เขาชื่อ จี้เฟิง เขาเป็นเพื่อนที่ดีกับพวกเรามาก เพราะงั้นครั้งนี้พวกเราก็เลยชวนเขามาที่บ้านในฐานะแขก!”
ถงไค่เต๋อเหลือบมองไปที่จี้เฟิงอย่างครุ่นคิดและยิ้ม “โอเค ไว้เดี๋ยวเราค่อยคุยกันนะ เด็กๆ คุยกันไปก่อนเลย ฉันมีอะไรต้องทำ!”
“ได้เลยครับคุณลุง ตามสบายครับ!” จี้เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลังจากรอให้ถงไค่เต๋อเดินเข้าห้องทำงานไป จางเล่ยก็พูดกับจี้เฟิงว่า “เจ้าบ้า นายไม่ต้องคิดมากนะ ตาแก่ของฉันเขาเป็นคนบ้างานแบบนี้แหละ จะสนใจฉันก็ต่อเมื่อฉันเผลอไปทำอะไรผิด เอาเป็นว่านายไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก เราไปหาอะไรเล่นกันดีกว่า!”
จี้เฟิงมองเขาพร้อมกับยิ้มยียวนและพูดว่า “โอเค ฉันจะไม่สนใจเขา งั้นฉันกลับก่อนนะ!”
“เฮ้ยๆ เดี๋ยวๆ!” จางเล่ยรีบคว้าจี้เฟิงไว้และพูดด้วยรอยยิ้ม “น้องชาย จะรีบไปไหน นายลืมอะไรไปหรือเปล่า ถ้านายไปใครจะช่วยพูดกับพ่อให้ฉันเรื่องนั้นเล่า!”
“เฮ้อ..” จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เขารู้ดีว่างานที่จางเล่ยมอบหมายให้เขาในครั้งนี้ มันไม่ง่ายเลย ขนาดว่ายังไม่ทันได้คุยอะไรกัน เขาก็รู้สึกประหม่าตั้งแต่เห็นหน้าถงไค่เต๋อพ่อของจางเล่ยเดินเข้าประตูมาแล้ว
ทันทีที่คิดถึงเรื่องนี้ จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและยิ้ม เขาไม่ได้มีตำแหน่งหน้าที่อะไร มาพูดคุยแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ แล้วทำไมเขาถึงต้องกลัวที่จะพูดคุยกับพ่อของเพื่อนแบบนี้ด้วย? เมื่อคิดได้ จี้เฟิงก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ดู เหมือนเขาจะกลัวคนที่มีตำแหน่งใหญ่โตอย่างที่ไม่ควรจะเป็น
“อีกสักพักตอนเรากินข้าวกัน นายกับตาแก่ของฉัน ก็คุยกันไปซักสองสามคำก่อนเพื่อทำความคุ้นเคย แล้วนายค่อยคุยกับเขาเรื่องที่จะชวนฉันไปเจียงโจว มันจะได้ง่ายขึ้น”
จางเล่ยดูเหมือนจะคิด และมีแผนชัดเจนแล้วว่าจะทำอะไรก่อนหลัง มันจึงทำให้จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
“สรุป นายแค่อยากออกจากบ้านเพื่อไปเที่ยวเล่น?” จี้เฟิงถาม
“แล้วทำไม จะไม่ใช่ล่ะ!” จางเล่ยตอบด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“เจ้าบ้า นายไม่เข้าใจถึงความทุกข์ทรมานของพี่ชายคนนี้หรอก ที่เวลาอยู่บ้านจะต้องฝึกฝนนู่นนี่นั่นอย่างเข้มงวด แต่กลับกันความอิสระและสะดวกสบายไม่ได้เข้มตามเลย จะขยับทำอะไรทีก็ต้องระวังไปเสียทุกอย่าง โดยเฉพาะเวลาตาเสือแก่นั่นจ้องมาที่ฉันทีนึงนะ ฉันก็เหมือนจะชาไปทั้งตัวในทันทีเลย เฮ้อ...” จางเล่ยพูดจบเขาถึงกับถอนหายใจ
จี้เฟิงรับฟังพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา แต่เมื่อเขามองเลยไปทางด้านหลังของจางเล่ย ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
จี้เฟิงมองไปที่ประตูห้องทำงาน พ่อของจางเล่ยกำลังหันมามองพวกเขาอยู่พอดี จากนั้นเขาก็หันกลับไปทำงานต่อ…
เขาจะได้ยินบทสนทนาระหว่างฉันกับจางเล่ยหรือไม่? จี้เฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็มั่นใจว่า ถงไค่เต๋อต้องได้ยินคำบ่นของจางเล่ย อย่างแน่นอน!
ในความจริงแล้ว ดูจากการที่จางเล่ยพูดถึงพ่อของเขาแล้ว เราจะสามารถรู้ได้เลยว่า แม้ถงไค่เต๋อจะเข้มงวดกับจางเล่ยมาก แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสองพ่อลูกก็ลึกซึ้งมากเช่นเดียวกัน ไม่เช่นนั้น จางเล่ยคงจะไม่กล้าเรียกเขาว่า ‘ตาแก่ของฉัน’ หรือ ‘ตาเสือเฒ่า’ อย่างแน่นอน
ถ้าคิดอีกแง่มุมหนึ่ง แม้ว่าจางเล่ยอาจจะได้รับการฝึกสอนอย่างเข้มงวดจากที่บ้านจนเขารู้สึกเครียดจริงๆ แต่เกรงว่าจุดประสงค์หลักของเขานั้นคือการได้ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกบ้านอย่างอิสระมากกว่าอยู่ดี
เมื่อจี้เฟิงเข้าใจถึงสิ่งนี้ เขาก็ตัดสินใจในทันที ไม่ว่าจางเล่ยจะบอกใบ้อย่างไร เขาก็จะไม่เปิดปากเพื่อขอร้องให้กับเขา อย่างน้อยเขาก็จะปล่อยให้ผู้ชายคนนี้ได้ทำเอง
หลังจากที่ถงไค่เต๋อจัดการธุระเสร็จสิ้นและก้าวเข้ามาในห้องที่พวกเขาอยู่ พวกเขาทั้งสามคนก็อดไม่ได้ที่จะทำตัวสงบเสงี่ยมและเรียบร้อยขึ้นในทันที
ในตอนนี้จี้เฟิงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นแล้วหลังจากคิดได้ว่า ถึงถงไค่เต๋อจะเป็นคนมีอำนาจใหญ่โต แต่ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่เขาจะต้องกลัวขนาดนั้น เขาไม่ได้ทำอะไรผิด (เอ็งเพิ่งจูบลูกสาวเค้านะเว้ยย ในบ้านเค้าเลยด้วย - -“) แต่จางเล่ยกับถงเล่ยนั้นแตกต่างออกไป จางเล่ยที่กลัวการถูกฝึกอย่างเข้มงวด ส่วนถงเล่ยนั้นรู้สึกกดดันจากความเขินอายของเธอ
แต่โชคดีที่แม่ของจางเล่ยและถงเล่ย หรือนางถงภรรยาของถงไค่เต๋อเลขาธิการพรรค เธอได้จัดโต๊ะอาหารเสร็จพอดี “เสี่ยวเล่ย, เล่ยเล่ย เรียกเพื่อนมาทานข้าวได้แล้วลูก”
“ใช่! กินข้าว!” ดวงตาของจางเล่ยสว่างวาบขึ้นมาทันที เขาพูดด้วยเสียงเบาๆ “เจ้าบ้า นายอย่าลืมที่เราคุยกันไว้นะ เพื่อนของนายจะมีชีวิตที่แสนสุขในช่วงปิดเทอมนี้หรือไม่ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับนายแล้ว!”
จี้เฟิงพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “อันที่จริง ฉันคิดว่านายควรอยู่บ้านในช่วงปิดเทอมนี้เพื่อรับการฝึกฝนจากที่บ้านนะ นายคิดว่าไง?”
“พูดเป็นเล่น?!” จางเล่ยเริ่มวิตกกังวลขึ้นมาทันใด “นายกำลังทำลายความฝันเพียงสิ่งเดียวของฉัน ฉันจะต้องไปเจียงโจวกับนายให้ได้ นายจะต้องไม่ทิ้งฉัน เพื่อนรัก!”
จี้เฟิงส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น
…จบบทที่ 86~❤️