บทที่ 85 บ้านของถงไค่เต๋อ
บทที่ 85 บ้านของถงไค่เต๋อ
“เฟิงเอ๋อการสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็เสร็จหมดแล้ว ลูกมีแผนจะทำอะไรต่อหรือเปล่า?” เซียวซูเหม่ยมองไปที่ท่าทีที่ดูอึดอัดของลูกชาย เธอจึงอดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
จนกระทั่งกลับถึงบ้าน จี้เฟิงยังคงฟุ้งซ่านเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าจางเล่ยต้องการที่จะตามไปด้วยหลังจากได้ยินว่าเขาอาจจะไปเจียงโจว
แต่พอนึกถึงสถานะของจางเล่ยเวลาที่เขาต้องอยู่บ้านภายใต้ความกดดันที่เข้มงวดแล้ว จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม
คนอื่นอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมจางเล่ยถึงอยากให้เขาไปหาที่บ้านในวันพรุ่งนี้ แต่จี้เฟิงนั้นเข้าใจได้อย่างชัดเจน
จางเล่ยมักจะต้องฝึกฝนอย่างเข้มงวดในหลายๆ เรื่องเวลาเขาอยู่ที่บ้าน การสอนของถงไค่เต๋อพ่อของเขาผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำมณฑลนั้นเข้มงวดมาก หากผิดพลาดเพียงเล็กน้อย จางเล่ยจะโดนลงโทษอย่างไม่ปรานี เพราะฉะนั้นแล้วมันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายหากเขาต้องการเดินทางไกล
เห็นได้ชัดว่าความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวที่จางเล่ยต้องการให้จี้เฟิงไปหาเขาที่บ้านในวันพรุ่งนี้นั่นก็คือ ผู้ชายคนนี้ต้องการจะไปเจียงโจวกับจี้เฟิง แต่ไม่สามารถขออนุญาตจากที่บ้านได้ด้วยตัวเอง เขาจึงต้องใช้เพื่อนของตัวเองมาเป็นข้ออ้างและช่วยเขาในการโน้มน้าวถงไค่เต๋อพ่อผู้เข้มงวดของเขานั่นเอง
เมื่อคิดถึงเหตุผลเหล่านี้จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม จางเล่ยคนนี้ชอบหาเหาใส่หัวจริงๆ
ทุกคนในเขตหมางซือต่างรู้ดีว่า ถงไค่เต๋อเลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำเขต เป็นบุคคลที่มีความสง่างามมีนิสัยที่แข็งกร้าวและมีระเบียบวินัย โดยเฉพาะการสั่งสอนลูกๆ ของเขาด้วยความเข้มงวด
หากจะต้องโน้มน้าวบุคคลที่มีบุคลิกลักษณะนิสัยเช่นนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น การไปในฐานะใดก็เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญเช่นกัน
หากคุณไปเยี่ยมบ้านของ ถงไค่เต๋อ ในฐานะแขกในนามของจางเล่ย ก็ไม่มีปัญหา เพราะการที่ลูกชายของเลขาธิการพรรคมีเพื่อนมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่อย่างไรก็ตาม หากจี้เฟิงไปในฐานะเพื่อนร่วมห้องของจางเล่ย ฐานะของเขาก็จะเป็นเพียงเด็กน้อยมาเที่ยวบ้านเพื่อนธรรมดาๆ อย่างไม่ต้องสงสัย แล้วมันจะทำให้จี้เฟิงซึ่งเป็นผู้เยาว์กล้าที่จะไปพูดโน้มน้าวผู้ที่อาวุโสกว่าได้อย่างไร
“ฉันก็ไม่รู้จะช่วยนายยังไงดี ค่อยคิดเมื่อตอนฉันไปถึงที่นั่นก็แล้วกัน!” จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อยอย่างเหนื่อยใจ
เหมือนจี้เฟิงเพิ่งจะได้ยินคำถามของแม่ เขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดว่า “แม่ อีกวันสองวันผมคิดว่าจะลองไปที่เจียงโจว ไม่ก็หยานจิง ผมจะไปดูสักหน่อยว่าในเจียงโจวเหล่านั้นพอจะมีงานพาร์ตไทม์อะไรดีๆ ที่ผมพอจะทำได้บ้างหรือเปล่า ดังนั้นผมเลยว่าจะไปทำความคุ้นเคยกับสถานที่ซักหน่อยก่อน!”
เซียวซูเหม่ยนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนที่เธอจะถามว่า “เฟิงเอ๋อ ลูกอยากไปเรียนที่หยานจิงเหรอ?”
จี้เฟิงไม่ได้สังเกตเห็นการแสดงออกของเซียวซูเหม่ย เขายิ้มและตอบแม่ของเขาว่า “ผมยังไม่ได้ตัดสินใจแน่นอน แต่อาจจะเป็นที่หยานจิง เพราะที่หยานจิงเป็นศูนย์กลางทางการเมืองโดยเฉพาะ มีทั้งมหาวิทยาลัยหยานจิง และมหาวิทยาลัยจิงหัว ซึ่งเป็นหนึ่งในสองอันดับแรกของจีน ยิ่งคุณภาพการเรียนการสอนที่มีชื่อเสียงของที่นั่น คงไม่จำเป็นต้องพูดถึง มันต้องดีมากอย่างแน่นอน ส่วนที่เจียงโจวก็ดีไม่แพ้กัน เมืองนี้เป็นหัวใจทางเศรษฐกิจของจีนและยังเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ไข่มุกแห่งตะวันออก ที่เจียงโจวก็มีมหาวิทยาลัยชื่อดังไม่แพ้กับหยานจิง ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยเจียงโจวเจียวต้า หรือมหาวิทยาลัยเจียงโจวหัวซิ่ง ทั้งสองแห่งต่างเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงรองจากมหาวิทยาลัยหยานจิงเท่านั้น แต่ก็มีมหาวิทยาลัยอื่นๆ อีกหลายแห่งในเจียงโจวก็ดีมากเช่นกัน”
หากเอาตามความตั้งใจเดิมของจี้เฟิงนั้น เขาอยากจะไปเรียนที่หยานจิง เพราะสุดท้ายแล้วด้วยเรื่องเด่นทางด้านการเมือง ทำให้สิ่งแวดล้อมและบรรยากาศภายในมหาวิทยาลัยนี้ย่อมแตกต่างจากมหาวิทยาลัยในเมืองอื่นๆ อย่างแน่นอน!
แต่ถ้าถงเล่ยจะต้องไปเจียงโจว จี้เฟิงก็จะตามไปเรียนเจียงโจวกับเธออย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้จี้เฟิง กำหนดรายชื่อมหาวิทยาลัยของเจียงโจวเป็นเป้าหมายหลัก และนั่นก็คือ ฮูซู่ฮุ่ย เธอเคยบอกกับเขาอย่างโอ้อวดว่าเธอจะเข้ามหาวิทยาลัยที่เจียงโจวให้ได้ในอนาคต
จี้เฟิงอยากเห็นด้วยตาของเขาเองว่า ฮูซู่ฮุ่ย จะมีอนาคตแบบไหนในเจียงโจว
และยิ่งไปกว่านั้น พี่สาวและพี่เขยของเธอทั้งหมดก็ต่างอาศัยอยู่ในเจียงโจวอีกด้วย ดวงตาของจี้เฟิงส่องประกายเย็นวาบ เมื่อนึกถึงพี่เขยของฮูซู่ฮุ่ย ชายผู้เป็นเศรษฐีใหม่ที่ทำตัวใหญ่โตราวกับเป็นคนที่มียศถาบรรดาศักดิ์สูงส่ง
ท่าทีของเซียวซูเหม่ยดูกระอักกระอ่วน เธอลังเลเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า “เฟิงเอ๋อ แม่ว่ามหาวิทยาลัยในเจียงโจวน่าจะดีกว่านะ ถ้าให้ดีลูกควรเลือกไปเรียนที่เจียงโจว!”
หืม?
หัวใจของจี้เฟิงกระตุกเล็กน้อย เมื่อได้ฟังน้ำเสียงของแม่ ทำไมน้ำเสียงของแม่ถึงเจือไปด้วยความรู้สึกผิด?
เขาหันหน้าไปมองใบหน้าของแม่ทันที และพบว่าดวงตาของแม่เขามีแววตาแห่งความเศร้า ราวกับว่าเธอกำลังคิดอะไรในใจ
ทันใดนั้นจี้เฟิงก็เข้าใจว่า แม่ของเขาคงจะนึกถึงเรื่องเศร้าในอดีตขึ้นมาอีกแล้ว
จู่ๆ หัวใจของจี้เฟิงก็เต้นแรงขึ้น “สิ่งที่ทำให้แม่ของเขาต้องเศร้าเสียใจ ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่า สายตาและการประชดประชันของญาติและเพื่อนๆ รวมถึงเรื่องพ่อของจี้เฟิงที่เขาไม่เคยพบ เป็นไปได้ไหมว่า ผู้ชายคนนั้นจะอยู่ที่หยานจิง?!
เมื่อคิดได้ เขาจึงรีบพูด “แม่ผมตัดสินใจได้แล้ว ผมจะไปเรียนที่เจียงโจว ที่นั่นมีมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากมายอย่างแม่ว่า!”
เซียวซูเหม่ยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิด เพื่อประโยชน์ส่วนตัวของเธอเอง เธอต้องปล่อยให้ลูกชายไปเรียนในสิ่งที่เขาไม่ชอบ มันไม่ยุติธรรมกับลูกชายของเธอเลยสักนิด
“เฟิงเอ๋อ ลูกอยากไปเรียนที่หยานจิงหรือเปล่า?” เซียวซูเหม่ยอดไม่ได้ที่จะถาม
“เปล่าแม่ ในตอนแรกผมอยากไปทั้งเจียงโจวและหยานจิงพอๆ กัน แต่ที่เจียงโจวน่าจะมีโอกาสหางานทำได้ง่ายกว่า เพราะงั้นผมเลยตัดสินใจไปเจียงโจว!” จี้เฟิงยิ้ม และพูดกับตัวเองในใจว่า “ถ้าในเมื่อแม่ไม่ต้องการให้ฉันไปหยานจิง ฉันก็จะไม่ไป ฉันจะไม่ทำให้แม่ต้องเสียใจ!”
เซียวซูเหม่ยพยักหน้าเล็กน้อย เธอกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
“อ้อ ผมลืมบอกแม่ พรุ่งนี้ผมว่าจะไปบ้านเพื่อนซักหน่อย พอดีเพื่อนที่เรียนอยู่ชั้นเดียวกันชวนผมไปเที่ยวเล่นที่บ้าน อาจจะกลับมาเย็นๆ หน่อย แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ!” จี้เฟิงกล่าว
“ไปบ้านคนอื่นก็ทำตัวดีๆ ไปให้ตรงเวลา แล้วที่สำคัญ เวลาไปบ้านเพื่อนต้องหาซื้อของขวัญติดไม้ติดมือไปด้วย!” เซียวซูเหม่ยเตือน “เอาเงินติดตัวไว้ แล้วไปซื้อของขวัญ เลือกดีๆ หน่อยนะลูก อย่าเสียมารยาทล่ะ!”
จี้เฟิงพยักหน้ารับทราบ แต่เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ในแง่ของมนุษยสัมพันธ์และมารยาทของแม่ ไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไปเลย แต่เหมือนกุลสตรีที่มาจากตระกูลใหญ่และถูกอบรมมาอย่างดี
แต่จี้เฟิงก็ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้มากนัก ถ้าเป็นเรื่องที่แม่เขาไม่อยากเล่า ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะถาม
วันรุ่งขึ้นในเช้าวันอาทิตย์ หลังจากที่จี้เฟิงช่วยแม่ของเขาถีบสามล้อไปตั้งแผงขายของที่ถนน แม่ของเขาก็นำเงินให้เขาติดตัวเพื่อให้เขาไปที่บ้านของถงเล่ยและจางเล่ย
เสียงดังบนถนนทำให้จี้เฟิงรู้สึกสับสน หลังจากการฝึกระบบฝึกของสุดยอดสายลับ ตอนนี้เขามีความแข็งแกร่งอยู่พอสมควร แต่เขาไม่มีโอกาสที่จะได้แสดงความสามารถ
เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว เขตหมางซือนั้นเล็กเกินไปและโอกาสในหมางซือนี้ก็มีไม่มาก เขาต้องไปเจียงโจวโดยเร็วที่สุด เพราะถ้าหากรอจนเข้ามหาวิทยาลัยอาจจะมีเวลาไม่เพียงพอ
จี้เฟิงที่กำลังเดินอยู่บนถนน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงผู้คนตะโกน เขาอดไม่ได้ที่จะหันหน้าไปมอง แต่พบว่าเขาเดินมาถึงทางเข้าโรงหนังโดยไม่รู้ตัว
โรงภาพยนตร์ในเขตหมางซือ เป็นโรงละครขนาดใหญ่ หากไม่มีการแสดงในเวลาปกติ ก็จะมีการฉายภาพยนตร์เพื่อรักษาธุรกิจ
ทันใดนั้นหัวใจของจี้เฟิงก็สั่นไหว แม้ว่าเขาและถงเล่ยจะเคยเดทกันในร้านอาหารมาก่อนแล้ว แต่พวกเขาก็ยังไม่เคยดูหนังด้วยกันเลย เขาว่ากันว่าการดูหนังเป็นที่ชื่นชอบสำหรับคู่รักมาก
เขาเดินเข้าไปทันที และซื้อตั๋วสองใบสำหรับคืนนี้ เขาไม่ได้ดูชื่อหนังด้วยซ้ำ เขารีบเก็บตั๋วหนังยัดใส่กระเป๋า และรีบเดินทางต่อไปยังบ้านของถงเล่ยและจางเล่ยด้วยความตื่นเต้น
………………..
เมื่อจี้เฟิงมาถึงหน้าบ้านของถงเล่ย ประตูก็ถูกเปิดออกโดยผู้หญิงวัยกลางคนอายุประมาณ 40 ปี ผู้หญิงคนนี้สวมชุดอยู่บ้านที่ดูสบาย แต่บรรยากาศรอบตัวของเธอนั้นจี้เฟิงไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ จนเขาเกือบนึกว่าเป็นแม่ของเขาเอง
ถูกต้องแล้ว บรรยากาศรอบตัวของผู้หญิงคนนี้ค่อนข้างคล้ายกับเซียวซูเหม่ยแม่ของเขามาก เพียงแต่ชุดของแม่เขานั้นเรียบง่ายกว่า
“ขอโทษนะคะ คุณคือ...?”
จี้เฟิงรีบพูดอย่างรวดเร็ว “สวัสดีครับคุณป้า ผมเป็นเพื่อนร่วมชั้นของจางเล่ย!”
“อ๋อ เป็นเพื่อนร่วมชั้นของเสี่ยวเล่ยนี่เอง เข้ามาข้างในก่อนสิ” หญิงสาววัยกลางคนเชิญจี้เฟิงเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เธอกล่าวว่า “พ่อหนุ่มนั่งรออยู่นี่ก่อนนะ เสี่ยวเล่ยอยู่ในห้อง เดี๋ยวป้าไปตามเขาให้!”
ก่อนเธอจะเดินไป หญิงวัยกลางคนก็รินชาร้อนไว้ให้จี้เฟิงถ้วยหนึ่ง
“ขอบคุณครับคุณป้า” จี้เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
จี้เฟิงแอบเดาว่า หญิงวัยกลางคนคนนี้อาจจะเป็นแม่ของจางเล่ยกับถงเล่ย จี้เฟิงรู้สึกเคารพคุณป้าคนนี้ เพราะเธอมีนิสัยใจคอคล้ายกับแม่ของเขา
หลังจากนั้นไม่นาน จางเล่ยก็ออกมาจากห้อง เมื่อเขาเห็นจี้เฟิง เขาพูดอย่างมีความสุขทันที “เจ้าเด็กบ้า นายมาจริงๆ ด้วย ฉันว่าแล้วว่านายต้องไม่ทำให้ฉันผิดหวัง!”
“เจ้าบ้านี่”
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะมองบน “นายจะดีใจอะไรขนาดนั้น ทำอย่างกับว่าถ้าฉันไม่มา นายจะไม่ได้เที่ยวเล่นในช่วงปิดเทอมตลอดสามเดือนอย่างนั้นแหละ!”
วันนี้เป็นวันที่ 8 มิถุนายนเท่านั้น กว่าจะถึงวันที่มหาวิทยาลัยเปิดก็เดือนกันยายน ยังเหลือเวลาอีกสามเดือน
“...ตึก! ...ตึก! …ตึก!”
มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น และถงเล่ยแสนสวยก็เดินเข้ามาในห้อง เมื่อเธอเห็นจี้เฟิง ดวงตาที่สวยงามของเธอก็ส่องประกายแวววาวด้วยความแปลกใจ “จี้เฟิง! ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ได้!”
จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้า เขาไม่สามารถปิดบังแววตาที่ตื่นเต้นดีใจได้เลยเมื่อเขาได้พบกับถงเล่ย
วันนี้ถงเล่ยสวมชุดสีชมพู คาดเข็มขัดผ้าสีฟ้ารอบเอวและมีโบอยู่ตรงด้านหน้า ซึ่งดูน่ารักและสวยงามมาก
ในตอนนั้นเอง แม่ของจางเล่ยได้นำผลไม้ที่หั่นแล้วมาหนึ่งจาน “เด็กๆ ทานผลไม้กันก่อนที่มันจะหายเย็น!”
จี้เฟิงพูดทันที “ขอบคุณมากครับคุณป้า!”
แม่ของจางเล่ยยิ้มตอบ หลังจากนั้นเธอก็เดินออกจากห้องรับแขก เพื่อไปทำงานบ้านต่อ
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆ ห้องรับแขกที่เขาอยู่ในตอนนี้ เฟอร์นิเจอร์และโซฟาในห้องนี้ล้วนดูเรียบง่ายและสะอาดตา รวมถึงการตกแต่งภายในทั้งหมด แทบไม่มีของมีค่าเกินจำเป็นเลย จะมีก็แต่เพียงรูปภาพเกี่ยวกับวิวทิวทัศน์เพียงไม่กี่ภาพ ที่ถูกแขวนประดับอยู่ตามฝาผนัง ซึ่งช่วยทำให้ห้องดูมีอะไรมากขึ้นมาเล็กน้อย โดยรวมแล้ว ห้องนี้เป็นห้องที่เรียบง่ายและไม่มีการแอบอวดอ้างในยศถาบรรดาศักดิ์จากของที่ประดับตกแต่งเลย
จี้เฟิงถึงกับพยักหน้าในใจ ถ้าดูจากภายนอกเท่าที่เห็น ถงไค่เต๋อ คนนี้ถือว่าเป็นบุคลากรของภาครัฐที่ซื่อสัตย์และใสสะอาด ส่วนเนื้อลึกข้างใจจริงๆ จะเป็นยังไง เขาก็ไม่อาจทราบได้ในตอนนี้
…จบบทที่ 85~❤️