ตอนที่ 180 จะประลองกับข้าหรอ แค่คิดก็ผิดแล้ว
ณ ประตูทางออกวิทยาลัย
พราวจันทร์มาปรากฏตัวทางออกของวิทยาลัย เธอมาดักขวางทางผู้คุมกฎซ้ายเอาไว้ ดวงตาเธอฉายแววมุ่งมั่นและมีแววรู้ทัน
เหนือปฐพียิ้ม
“เจ้าฉลาดกว่าลูกข้าเป็นไหน ๆ ถ้าเขามีมันสมองสักครึ่งของเจ้า ข้าคงไม่ต้องมาตามเช็ดตามล้างให้เขาอย่างทุกวันนี้”
“เป็นท่านจริง ๆ ท่านพ่อ”
แม้พราวจันทร์จะแปลกใจที่เหนือปฐพีดูมีอายุเกินวัย แต่เธอก็ไม่ถามซอกแซกมากความ
“อืม”
ต่อมาพราวจันทร์ก็ได้พูดคุยกับเหนือปฐพีสักพัก จากนั้นเธอก็ส่งเหนือปฐพีออกจากโรงเรียนไป แน่นอนว่าพวกเขามีการนัดหมายกันอีกครั้งในภายหลัง
เหนือปฐพีวางใจบอกเล่าเรื่องราวหลายอย่างที่ไม่ได้เล่าให้เหนือภพฟัง แต่เขากลับเล่าให้ลูกสะใภ้ฟัง เพราะเขารู้ว่าด้วยความฉลาด และอิทธิพลของตำแหน่งเจ้าตึกที่เธอมีอยู่ เธอจะสามารถปกป้องคุ้มครองเหนือภพได้ ในตอนนี้เหนือภพยังไร้ประสบการณ์ในการใช้ชีวิต เหนือภพยังพบเจอคนไม่มากพอ ยังไม่เคยถูกทรยศหักหลัง ยังไม่เคยเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากลำบาก ทำให้โลกของเหนือภพยังคงสว่างสดใส ในฐานะพ่อก็คงทำได้แค่รอให้เหนือภพอายุมากกว่านี้ ได้ใช้ชีวิตไปอีกสักสิบปียี่สิบปี โดยมีพราวจันทร์เคียงข้าง อะไร ๆ ก็คงจะดีขึ้น
นั่นคือหน้าที่ของพราวจันทร์ที่เหนือปฐพีมอบให้ อีกอย่างที่เหนือปฐพีขอร้องคือให้เก็บเรื่องที่เขาเป็นพ่อไว้เป็นความลับ เขาไม่ต้องการให้เหนือภพรู้ เหนือภพเข้าใจมาอย่างไร ก็ขอให้เป็นไปตามเดิม
แม้พราวจันทร์จะไม่เข้าใจความคิดของสองพ่อลูกคู่นี้มากนัก แต่เธอก็รับปาก เหนือภพเป็นชายที่เธอรักเต็มหัวใจ หากเขาไม่ทรยศหักหลังเธอ เธอก็ไม่มีวันทอดทิ้งหรือหนีเขาไปไหน เธอจะอยู่เคียงข้างเขาจนกว่าชีวิตของเธอจะหาไม่
ณ โรงอาหารส่วนกลางของวิทยาลัย
โรงอาหารแห่งนี้ตั้งอยู่ข้างตึกเรียนภาควิชาศิลปะ มันเป็นตึกที่มีทั้งหมดห้าชั้น แต่ละชั้นมีแต่ร้านขายอาหารและที่นั่งรับประทานอาหาร ที่รองรับนักศึกษาได้ไม่เท่ากัน ชั้นแรกรองรับนักศึกษาได้เพียงหนึ่งพันคน ชั้นต่อไปจำนวนที่นั่งก็ลดลงไปอีก ไม่เพียงที่นั่งลดลง ยิ่งระดับของชั้นสูงขึ้น ราคาและคุณภาพของอาหารก็สูงขึ้นตามไปด้วย
โมราพาคุณชาย เหนือภพ และมะลิมาทานอาหารที่ชั้นสาม ซึ่งราคาอาหารและคุณภาพของมันก็นับว่าเป็นมิตร เทียบได้กับร้านอาหารดัง ๆ หลายแห่ง
“นี่พวกเจ้ารู้ไหม ว่ากันว่าชั้นบนสุดของโรงอาหาร เมนูส่วนใหญ่ถูกปรุงด้วยเนื้อพิเศษของสัตว์อสูรด้วยแหละ”
มะลิเริ่มบทสนทนา สมกับเป็นสาวช่างเจรจา และเรื่องนี้ก็ทำให้เหนือภพหูผึ่ง
“เห็นว่ามีราคาสูงมาก นักศึกษาไม่กี่คนที่มีเงินมากพอที่จะซื้อได้ เรื่องชั้นห้าเลยไม่ถูกพูดถึงสักเท่าไหร่”
โมราเสริม จะว่าไปเธอเองก็รู้เรื่องนี้เหมือนกัน
“ใช่ ๆ มันแพงเกินไป แต่เนื้อส่วนพิเศษก็เป็นวัตถุดิบที่หาได้ยาก ข้าได้ยินมาว่าแต่ละวันจะมีอาหารชั้นเลิศขายสำหรับลูกค้าแค่เก้าที่นั่งเท่านั้น”
เหนือภพเงี่ยหูฟัง พลางตักข้าวคำใหญ่ใส่ปากต่อเนื่อง จนหมดเป็นจานที่ห้า ขณะที่คนอื่น ๆ เพิ่งกินได้ไม่กี่คำ
“เท่าที่ข้ารู้นะ มันมีวิธีที่จะได้กินอาหารที่ชั้นห้าฟรีด้วยนะ แต่คนคนนั้นต้องนักศึกษาอันดับหนึ่งของบ้าน แต่การแข่งขันของแต่ละบ้านนั้นสูงมาก คนปกติธรรมดาอย่างเราน่ะอย่าหวังเลย”
มะลิกล่าวตัดพ้อเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าเธอไม่เก่ง แต่ยังมีคนที่เก่งกว่าเธออีกมาก โดยเฉพาะบ้านเพชรที่เธออยู่เต็มนั้นไปด้วยคนไร้พรสวรรค์หัวกะทิที่เชี่ยวชาญศาสตร์วิชาชีพอย่างลึกล้ำ ไม่ต้องยกตัวอย่างไกล เพียงแค่จันทร์เจ้าเพื่อนของเธอ เธอก็เทียบไม่ติดแล้ว
“น้ำร้อนหมดหรือเจ้าค่ะ ได้ค่ะ เดี๋ยวข้าไปเอามาให้”
โมราสังเกตเห็นท่าทางเศร้าสร้อยของคุณชายได้ เธอลุกขึ้นแล้วนำกาน้ำร้อนติดตัวไปด้วย ด้วยระบบโรงอาหารส่วนกลางในวิทยาลัยเป็นระบบช่วยเหลือตัวเอง หากนักศึกษาต้องการสิ่งใด ก็ต้องไปยังจุดที่ให้บริการสิ่งของต่าง ๆ ที่ทางวิทยาลัยจัดเตรียมเอาไว้ให้ ซึ่งมีทั้งร้านขายอาหาร เครื่องดื่ม น้ำเย็นและน้ำร้อน
โมราเดินไปเอาน้ำร้อนตามปกติ แต่ในขณะที่เธอกำลังถือกาน้ำร้อนเดินกลับมา ก็มีกลุ่มชายหนุ่มหญิงสาวในชุดเครื่องแบบสีดำตั้งใจพุ่งชนเธออย่างแรง จนน้ำร้อนหกราดตัวโมราตั้งแต่ช่วงอกไปจนถึงปลายเท้า ทุกคนที่อยู่ในชั้นสาม หันหน้ามามองเหตุการณ์วุ่นวายนี้
คุณชายหน้าหวานและเหนือภพเลิกคิ้วขึ้น ในขณะที่มะลิรีบวิ่งเข้าไปดูอาการโมรา ก่อนจะจ้องเขม็งไปที่กลุ่มนักศึกษาจากบ้านนิลกาฬที่กำลังเดินจากไป โดยไม่หันกลับมาดูดำดูดี
“นี่พวกเจ้า ตั้งใจแกล้งนางชัด ๆ คิดว่าจะไปง่าย ๆ แบบนี้งั้นเหรอ”
ชายหนุ่มใบหน้าคมเข้ม ที่ดูโหดเหมือนหลุดออกมาจากซ่องโจร หันกลับมามองด้วยหางตามะลิ
“แล้วไง ที่ข้าทำกับนังนี่ มันไม่ต่างอะไรกับที่พวกมันทำกับเราในสังคม เจ้าไม่คิดว่ามันสมควรได้รับหรอกเหรอ”
จากนั้นเขาก็ชายตามองโมราอย่างรังเกียจ มีแต่พวกชั้นต่ำที่ปกป้องคนไร้มีพรสวรรค์
“ช่างเถอะ ข้าไม่เป็นไร”
โมราไม่อยากมีเรื่อง นี่คือถิ่นของผู้ไร้พรสวรรค์ อีกเธอไม่อยากให้คุณชายต้องลำบากใจ คุณชายก็แค่อยากมาเรียนรู้ศาสตร์การชงชาก็เท่านั้น เจ็บแค่นี้ไม่เป็นไร เธอทนได้
“ขอโทษนางซะ ไม่งั้นก็อย่าหาว่าข้าใจร้ายกับเจ้า”
เหนือภพพูด พลางลุกขึ้นช้า ๆ เขาส่งสายตาคมดุจมีดดาบ แต่ชายตัวใหญ่จากบ้านนิลกาฬกลับไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย ชายตัวใหญ่แค่หยักไหล่เบา ๆ อย่างไม่ใส่ใจ ผู้ไร้พรสวรรค์ที่ยอมหงออยู่ใต้ปีกของผู้มีพรสวรรค์น่ะ มันก็แค่พวกใจอ่อน กลัวหัวหด ที่ไม่มีค่าให้ใส่ใจ
“ไป พวกเรา”
ชายคนนั้นบอกเพื่อนของตัวเอง แล้วก็มองเมินเหนือภพ เหนือภพยิ้มมุมปาก ขณะลุกยืนขึ้นบิดข้อมือยืดเส้นยืดสาย
“ดูเหมือนว่า ถ้าไม่เจ็บตัวสักหน่อยพวกเจ้าคงไม่สำนึกสินะ”
ท่าทางอวดเบ่งของเหนือภพ ทำให้ชายหนุ่มบ้านนิลกาฬรู้สึกเหมือนโดยหยาม แบบนี้สงสัยคงจะต้องซัดกันสักตั้ง ทว่าเพื่อนในกลุ่มบ้านนิลกาฬกับซุบซิบข้างหูของชายคนนั้น
“มันเป็นเด็กบ้านบุษราคัม อย่าดีกว่า ถ้าเกิดนางปีศาจนั่นอาละวาดขึ้นมา พวกเราจะซวยเอา”
ชายหนุ่มหน้าโหดพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ
“ก็ได้ ครั้งนี้ข้ายอมก็ได้ แต่เรื่องของเจ้ากับข้าไม่จบกันแค่ตรงนี้แน่ พรุ่งนี้ตอนเย็นข้าขอท้าประลองกับเจ้า ที่โรงประลอง 17 เจ้าจะกล้ามารึเปล่า”
“ได้ เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสความพ่ายแพ้ และต้องสำนึกเสียใจที่มาท้าประลองกับข้า”
เหนือภพโต้ตอบอย่างไม่ยอมความ ท้าตีท้าต่อยกับใครไม่ท้า แต่กลับกล้ามาท้าเขา เดี๋ยวเขาจะจัดให้หนักเลย
เมื่อเหตุการณ์สงบลง มะลิก็มาช่วยดูแผลของโมราอย่างใกล้ชิด เพราะร่างกายของผู้มีพรสวรรค์กับผู้ไร้พรสวรรค์นั้นต่างกันมาก น้ำร้อนแค่นี้สำหรับคนไร้พรสวรรค์ก็ไม่ต่างจากการเอามือไปแช่ในน้ำอุ่น แต่สำหรับผู้มีพรสวรรค์ที่สร้างปราณอาคมต้านไม่ทัน ก็จะทำให้เกิดแผลพุพองได้ ซึ่งหากรักษาไม่ดี ก็อาจจะทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้
คุณชายจิบชาลุกขึ้น สีหน้าของเขาดูไม่มีความสุขเลย โมราเข้าใจดีว่าคุณชายเป็นห่วงเธอ แม้ในใจคุณชายอยากรอเจอจันทร์เจ้ามากแค่ไหนก็ตาม แต่คุณชายกลับเห็นบาดแผลของโมราเป็นสำคัญ พวกเขาจึงพากันกลับห้อง ทิ้งไว้เพียงเหนือภพกับมะลิ
“พี่ภพ พี่แน่ใจหรือคะว่าจะไปประลองกับพวกนั้นจริง ๆ เท่าที่รู้มาแม้พวกบ้านนิลกาฬจะมีนิสัยแย่ แต่ฝีมือพวกเขาก็ไม่กระจอก ข้าเกรงว่าพี่จะเป็นอันตราย”
“ไม่ต้องกังวล ข้าไม่แพ้คนแบบนั้นหรอก นั่น !จันทร์เจ้า”
เหนือภพคลี่ยิ้มออกทันที เมื่อหางตาเหลือบไปเห็นพราวจันทร์กำลังเดินมาพร้อมจานอาหารของตัวเอง รัศมีความงามและความเย้ายวนของเธอเปล่งประกายออกไปรอบทิศ จนเหนือภพอยากจะประกาศก้องให้โลกได้รู้ว่าเธอคือเมียเขาเอง
“เอ๊ะ ! ไหนว่าโมรากับจิบชาจะมาทานข้าวด้วยไง พวกเขาไปไหนแล้วล่ะ”
พราวจันทร์สงสัยเล็กน้อย ก่อนจะจ้องตาเหนือภพยิ้ม ๆ อย่างมีความหมายที่รู้กัน
มะลิที่คันปากอยากเล่าเป็นทุนเดิม เมื่อพราวจันทร์เปิดประเด็นขึ้นมา เธอก็เล่าออกมาอย่างออกรสชาติ ทั้งยังทำท่าทางให้ดู โดยเฉพาะความเท่ของเหนือภพ ทำให้พราวจันทร์หัวเราะ พวกเขากินอาหารต่อจนเสร็จ จากนั้นพราวจันทร์ก็แยกตัวจากเพื่อนรัก เพื่อมาใช้เวลาสองต่อสองกับเหนือภพในสวนสาธารณะของวิทยาลัย พวกเขาทั้งสองนั่งอยู่ริมบึงน้ำขนาดใหญ่ มันเป็นบึงสีเขียวใสที่สงบเงียบ
“ท่านพี่เอาจริงหรือคะ เรื่องประลองกับบ้านนิลกาฬ”
“ทำไมล่ะ เจ้าไม่เชื่อใจข้าหรอ เรื่องต่อสู้น่ะเจ้าก็รู้ว่าข้าไม่เคยแพ้ใคร ยิ่งเจ้าเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนั่นยิ่งแล้วใหญ่ เพียงแค่นิ้วเดียวข้าก็สามารถเล่นงานมันได้”
เหนือภพพูดไปก็เก๊กหน้าหล่อเต็มที่ เพื่อฉายความเท่ที่มีอยู่ให้ภรรยาสุดรักได้เห็น แต่พราวจันทร์กลับส่ายหน้าหัวเราะ
“ต่อสู้อะไรกันคะ โรงประลอง 17 คือโรงแข่งหลอมอาวุธ พี่ตีอาวุธเป็นหรือไง”
“ห่ะ !! ทำไมเจ้าไม่บอกให้เร็วกว่านี้”
“ทีหลังจะท้าทายอะไรใคร ท่านพี่ก็หัดดูก่อนสิว่าวิทยาลัยแห่งนี้สอนอะไร พวกเขาเน้นวิชาชีพต่างหาก ไม่ใช่การต่อสู้”
เหนือภพอ้าปากค้าง
“แล้วข้าควรจะทำยังไงดี ไปซัดมันให้ขาหัก ให้มันมาประลองวันพรุ่งนี้ไม่ได้ดีมั๊ย”
เหนือภพไม่รู้จะทำอย่างไรดี เขาไม่เคยเรียนรู้การหลอมอาวุธอะไรทั้งนั้น เขาจึงเสนอแผนการสุดชั่วออกมา พราวจันทร์ได้แต่หัวเราะขำ
“ไม่ได้หรอกค่ะท่านพี่ ถ้าหากคู่ประลองของท่านพี่เป็นอะไรไปคนอื่นจะไม่สงสัยหรือไงคะ ข้าว่าท่านพี่คงต้องไปขอความช่วยเหลือจากบุหรงแล้วล่ะ นางเป็นรุ่นพี่ของบ้านท่าน นางต้องช่วยท่านแน่”
เหนือภพคิดตาม แล้วเขาก็ดีดนิ้วอย่างพอใจ
“เป็นความคิดที่ดี ชื่อเสียงนางก็ใช่ว่าจะดี หากไปต่อยตีใครสักคนก็น่าจะกลบเกลื่อนเรื่องได้”
“มันใช่ที่ไหนเล่า บุหรงเป็นช่างตีอาวุธที่เก่งเป็นอันดับหนึ่งของบ้านบุษราคัม หากท่านพี่ให้นางช่วยชี้แนะ แม้ท่านพี่จะพ่ายแพ้ แต่ก็คงไม่เสียหน้าเท่าไหร่นัก ดีกว่าขึ้นเวทีประลองไปโดยที่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง”
พราวจันทร์พูดแล้วก็ถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม เหนือภพหน้าม่อยลงทันที
“ไม่มีทางชนะเลยเหรอ”
“นี่มันคือวิชาชีพนะท่านพี่ ไม่ใช่การท่องจำ มันก็เหมือนการที่ท่านฝึกฝนการวิชาการต่อสู้ ท่านพี่คิดว่ามันสามารถทำได้ภายในวันสองวันหรอคะ เรื่องนี้ข้าก็ช่วยท่านพี่ได้แค่นี้จริง ๆ ข้าไปล่ะ เย็นนี้มีนัดประชุมที่บ้านด้วย โชคดีนะคะที่รัก”
พราวจันทร์พูดจบก็จูบหน้าผากของเหนือภพ แล้วก็ลาจากไป
เหนือภพยังคงหน้าเครียด แม้สาวงามจะจูบเขา เขาก็ไม่มีอารมณ์เคลิบเคลิ้ม เขาพยายามครุ่นคิดว่าควรจะทำอย่างไรดี แต่ยังไงเขาก็ต้องเข้าหาบุหรง เพื่อให้ได้วิชาการตีเหล็กที่พอจะไม่ทำให้ตัวเองเสียหน้า ดีกว่าไปยืนซื่อ ๆ โง่ ๆ บนเวทีประลอง
‘อ๊าาา’ แค่คิดก็ปวดหัว คราวหน้าเขาจะไม่เสนอหน้าเข้าไปเป็นพระเอกช่วยใครอีกแล้ว