ตอนที่แล้วตอนที่ 9 : หารู้ไม่ว่า... แท้จริงแล้ว ข้าใจกว้างกว่ามหาสมุทรเสียอีก!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 11 ดูดซับพลังภัยสวรรค์จากข้าไปกว่าครึ่งงั้นรึ?

ตอนที่ 10 ไม่ต้องห่วง! ข้ามั่นใจในตนเองมากอยู่แล้ว!


ตอนที่ 10 ไม่ต้องห่วง! ข้ามั่นใจในตนเองมากอยู่แล้ว!

หลังจากได้รับสัญญาณจากศิษย์พี่ หลิงหยุนจือก็ย่องออกจากที่นั่งอย่างเงียบสงบ และเคลื่อนที่ไปหาฉีหวนราวกับคลื่นลมฤดูใบไม่ร่วง

"ปัดโธ่! อะไรกันครับเนี่ย! ทำไมเจ้าช่างโง่เง่ายิ่งนัก! แค่ก้าวเท้าข้างขวาไปอีกครึ่งก้าวก็หลบทันแล้ว! หัดเชื่อมั่นในตัวเองหน่อยสิโว้ย! โคตรกาก! แค่นี้ก็ยอมแพ้เสียแล้ว!" ฉีหวนกำลังดูการประลองอย่างจริงจัง จึงไม่ได้สังเกตว่ามีใครบางคนอยู่ข้างหลังเธอ...

หลิงหยุนจือยืนอยู่หลังเธออย่างเงียบสงบ หลังจากได้ยินคำพูดของฉีหวน หลิงหยุนจือก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เนื่องจากเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่า ท่านอาจารย์ป้าผู้อาวุโสของตนรู้วิธีการต่อสู้ได้อย่างลึกซึ้งถึงเพียงนี้...

ความจริงแล้ว นี่เป็นผลจากประสบการณ์การเล่นเกมมาเกือบสิบปีของฉีหวนเอง ใช่! มันเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะสามารถเป็นนักสังหารตัวละครในชีวิตจริง แต่ในฐานะเกมเมอร์ฮาร์ดคอร์ ก็ถือว่าฉีหวนเป็นผู้เชี่ยวชาญมากไม่ว่าจะเป็นเกมประเภทไหนก็ตาม

   "โอ้ย! ไอ่เจ้าโง่! นี่เจ้ามีกระบี่บินไว้แค่ประดับร่างหรือไงกัน?! นี่เจ้ากำลังประลองกับนางอยู่นะ อย่าเพิ่งแสร้งทำตัวเป็นสุภาพบุรุษตอนนี้...!" ผู้คนบนเวทีต่างกำลังต่อสู้อย่างดุเดือด ส่วนฉีหวนที่อยู่ล่างเวทีก็ตื่นเต้นไปกับการประลองไม่แพ้กัน หลิงหยุนจือยังคงยืนมองอย่างสงบ แต่ถ้าหากมีใครหันมามอง เขาก็จะจ้องกลับไปยังผู้นั้นทันที

  สาวกนิกายชิงหยุนต่างรู้ดีว่า ฉีหวนอยู่ในสถานะที่สูงส่ง ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ามีปัญหากับเธอ.. ส่วนสาวกนิกายอื่น ก็ทำได้เพียงยืนมองด้วยท่าทีไม่พอใจ เนื่องจากรังสีอำมหิตอันทรงพลังของหลิงหยุนจือ ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าเผชิญหน้าสักตน...

   ท้ายที่สุดศิษย์นิกายซูก็พ่ายแพ้ให้กับศิษย์ชั้นในแห่งนิกายชิงหยุนเพียงหนึ่งยก เมื่อได้ยินเสียงเชียร์ของเหล่าฝูงชน ฉีหวนก็กระตุกริมฝีปากเธอเล็กน้อยพร้อมตระหนักว่า หากเป็นในเกมผู้เล่นพวกนั้นคงเละเป็นกะหล่ำปลีเน่าไปแล้ว

   การประลองครั้งที่สองเป็นการแข่งขันระหว่างศิษย์ที่ได้รับฉายาว่า 'วัชรยักษ์' แห่งนิกายซานหยาง และ โอวหยางหลินจากนิกายชิงหยุน

   "ข้าเคยได้ยินมาว่า... สำนักซานหยางเป็นลัทธิของเหล่านักพรต แต่ข้านึกไม่ออกจริง ๆ ว่าชุดคลุมแบบไหนกันที่เหมาะกับท่านนี้?" ผู้ที่ได้รับฉายาวัชรยักษ์ คือชายหนุ่มผิวคล้ำ และมีร่างกายที่สูง ใหญ่และบึกบึนมาก เมื่อเทียบกับโอวหยางหลิน จะเห็นได้ชัดว่า นางสูงถึงเพียงครึ่งร่างของเขาเท่านั้น ไม่ต้องกล่าวถึงพละกำลัง ก็รู้ดีว่านี่มันอาวุธสงครามในร่างมนุษย์ชัด ๆ!

   ฉีหวนตกตะลึงจนปากค้าง คงจะจริงอย่างที่คนเคยกล่าวไว้ว่า พิภพแห่งเทพอมตะสามารถเป็นไปได้ทุกอย่าง เพราะนอกจากเธอแล้ว ก็ไม่เห็นมีใครทำท่าทีประหลาดใจสักตน โดยทั่วไปเหล่าสาวกนั้นสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ค่อนข้างดี ด้วยเหตุนี้ทำให้ฉีหวนรู้แล้วว่า ทำไมถึงไม่มีใครตกใจกับหญิงสาวหัวเกือบโล้นอย่างเธอ จากนั้นฉีหวนก็รีบใช้มือสัมผัสหัวตนเอง จึงพบว่าผมเริ่มงอกแล้ว! แต่กระนั้นก็ยังห่างไกลกับคำว่าผมยาวสลวยอยู่ดี... ฉีหวนยังคงย้อนนึกถึงสมัยที่เคยใช้ผมยาวยั่วยวนหนุ่มหล่อให้หลงเสน่ห์ได้ถึงหนึ่งคน!

   ฉีหวนตัดพ้อกับตัวเองในใจ ในขณะที่โอวหยางหลินกำลังโจมตี 'วัชรยักษ์' บนลานประลองได้พักใหญ่แล้ว ถึงเขาจะมีร่างกายใหญ่โต แต่การเคลื่อนไหวก็ถือว่ายังคล่องแคล่วมากนัก ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกับโอวหยางหลินอยู่ดี เพราะพละกำลังของวัชรยักษ์ต่ำกว่าโอวหยางหลินถึงหนึ่งระดับ หากไม่ใช่ผีสาง หรือปีศาจร้าย การเอาชนะพละกำลังที่มากกว่าตนหนึ่งระดับก็ถือว่าเป็นอุปสรรคที่ผ่านยาก

   โอวหยางหลินเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับสาวกรอบสนาม และหันมาเตรียมท่าเพื่อจัดการชายตรงหน้าให้เจ็บสาหัสเป็นครั้งสุดท้าย... แต่ทันใดนั้นเท้าของนางกลับอ่อนแรง แล้วจู่ ๆ ก็ล้มหน้างายบนลานประลองต่อหน้าทุกคนอย่างไม่ทันตั้งตัว!

   ในขณะเกิดเหตุ สาวกทั้งสนามต่างเงียบสงบ แต่เวลาผ่านไปเพียงเสี้ยววินาที เสียงหัวเราะก็กลับมาดังขึ้นอย่างขบขัน การที่ผู้ฝึกบ่มเพาะพลังล้มลงกลางลานประลองเทพอมตะนั้น ถือว่าเป็นเรื่องน่าอับอายยิ่งนัก

   หลังจากที่โอวหยางหลินรีบวิ่งออกไปจากสนามพร้อมกับใช้มือปิดใบหน้า จู่ ๆ แสงสีแดงจาง ๆ ก็ล่องลอยจากท้องนภา พุ่งตรงมายังแขนเสื้อฉีหวน... หลิงหยุนจือยืนมองด้วยร่างแข็งทื่ออยู่ข้างเธอ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปมองศิษย์พี่ของตน ที่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ พร้อมกับส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้

   ส่วนสาวกตนอื่นนั้นอยู่ห่างออกไป ทำให้พวกเขาไม่ทันได้สังเกตเห็น แต่หลิงหยุนจือนั้นอยู่ใกล้ฉีหวนมาก ทั้งความสามารถของเธอยังไม่แข็งแกร่งมากพอ ทำให้เขาเห็นการเคลื่อนไหวของฉีหวนได้อย่างง่ายดาย

   แท้จริงแล้วฉีหวนตั้งใจจะทำให้โอวหยางหลินอับอายมากกว่านี้ แต่เธอเกิดสังเกตเห็นหลิงหยุนจือเสียก่อน จึงรีบเปลี่ยนใจทันที เพราะโดยทั่วไปแล้วฉีหวนไม่ใช่คนที่ขี้สงสาร ในทางตรงกันข้ามเธอเป็นคนที่เด็ดขาดมาก หากผู้ใดทำให้ขุ่นเคืองใจ เธอไม่มีวันแสดงความเมตตาให้แน่นอน

   ฉีหวนเดินออกจากลานประลองด้วยความรื่นรมย์ใจ ส่วนหลิงหยุนจือก็รีบเรียกศิษย์ทุกตนที่เฝ้าลานประลองมาสืบสวนว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นก่อนหน้านี้หรือเปล่า? ศิษย์หนึ่งในนั้นจึงเล่าบทสนทนาระหว่างฉีหวนและโอวหยางหลินให้เขาฟัง

   ทันทีที่รู้เรื่องทั้งหมด หลิงหยุนจือไม่ลังเลที่จะออกคำสั่งลงโทษโอวหยางหลินแม้แต่น้อย โดยเขาให้เธอไปคิดไตร่ตรองถึงการกระทำที่ตนเองก่อไว้ ณ ยอดเขาคูจูเป็นเวลานานถึงสามปี ทั้งยังห้ามมิให้เธอเข้าไปยังสำนักชั้นในอีก!

ถึงกระนั้นฉีหวนก็ไม่ได้เห็นด้วยกับการลงโทษครั้งนี้ แต่การกระทำของโอวหยางหลิน ทำให้หลิงหยุนจือตระหนักว่านางไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ทั้งยังทำตัวไม่เกรงกลัวต่อยศตำแหน่งของฉีหวนแม้แต่น้อย ทั้งที่เธอเป็นถึงศิษย์เพียงผู้เดียวของท่านผู้อาวุโสซูกงจือ และยังเป็นตัวแทนศิษย์ของขั้นลมปราณระดับต่ำแห่งนิกายชิงหยุนอีกด้วย ดังนั้นการดูหมิ่นฉีหวน จึงถือว่าเป็นการดูหมิ่นศิษย์รุ่นสองอย่างหลิงหยุนจือเช่นกัน

บัดนี้ขั้นลมปราณของฉีหวนยังคงอยู่ในขั้นเบี้ยล่าง แต่ทว่าศิษย์พี่ของเธอล้วนแต่เป็นถึงปรมาจารย์ที่โด่งดังในพิภพแห่งเทพอมตะทั้งนั้น ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเจอฉีหวนเป็นการส่วนตัวสักครั้ง แต่เมื่อไหร่ที่รู้ว่าศิษย์น้องของตนโดนกลั่นแกล้ง หลิงหยุนจือรับรองได้ว่า พวกเขาต้องรีบมาหาผู้นั้นเพื่อจัดการสั่งสอน หรือไม่ก็เอาคืนให้มากกว่าที่ฉีหวนโดนเป็นพันเท่าแน่นอน เพราะฉะนั้นหลิงหยุนจือจึงตระหนักว่าไม่ต้องให้ถึงมือศิษย์พี่ของฉีหวนก็ได้ เนื่องจากเขาจะเป็นผู้จัดการทุกอย่างเอง!

   "ท่านอาจารย์ป้าผู้อาวุโสได้เวลาไปยังหอสังเกตการณ์แล้วขอรับ" เสียงหลิงหยุนจือดังมาจากนอกประตู ทำให้ฉีหวนที่กำลังนอนหงายเหล่ตาขึ้นเล็กน้อย ในขณะนั้น เธอยังคงเห็นควันสีฟ้าครามเปล่งประกายแสงวนไปมาอยู่รอบตัวอย่างต่อเนื่อง

"เฮ้อ!!!" ฉีหวนถอนหายใจออกมาอย่างแรงราวกับอยากให้หลานชายที่อยู่ด้านนอกได้ยิน จากนั้นฉีหวนก็อดที่จะสบถกับตัวเองในใจไม่ได้... เธอไม่เข้าใจว่าไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้นักหนา ทั้งที่ในนิกายชิงหยุนมีสาวกเป็นพัน ๆ คน แต่ทำไมหลิงหยุนจือถึงต้องจ้องแต่จะก่อกวนเธอเพียงผู้เดียวด้วย!

   "ท่านป้าผู้อาวุโส!"

"รู้แล้ว! ข้ากำลังลุก!" ฉีหวนกล่าวอย่างไม่เต็มใจ พร้อมกับคิดดูถูกท่านอาจารย์ซูกงจือด้วยอารมณ์หงุดหงิด เนื่องจากนักพรตส่วนใหญ่ต่างเลือกที่จะทำพิธีในยามกลางวันแสก ๆ แต่ซูกงจือกลับเลือกที่จะเข้าพิธีตอนเที่ยงคืน โดยไม่คิดเกรงกลัวต่อผีสางเทวดาแม้แต่น้อย

หลังจากที่ฉีหวนเดินออกจากตำหนัก หลิงหยุนจือก็เร่งนำเธอไปยังจุดเคลื่อนย้ายขนาดเล็ก ที่ตั้งอยู่ใจกลางยอดเขาหวังหยู่ทันที จุดส่งตัวปรากฎขึ้นในระหว่างเจ็ดยอดเขาบนภูเขาชิงหยุน... แต่น่าเสียดายนักที่ขั้นพลังของฉีหวนนั้นต่ำต้อยเกินไปที่จะสามารถสร้างจุดวาร์ปด้วยตนเอง... แต่กระนั้นก็ไม่เป็นไร เพราะถือว่าครั้งนี้เธอได้สัมผัสกับศาสตร์วิชาขั้นสูงสุดในพิภพแห่งเทพอมตะแบบไม่ต้องเสียเงินสักบาท

   ทันใดนั้นแสงรุ้งเจ็ดสีก็เปล่งประกายกลางอากาศ และเพียงเสี้ยววินาทีฉีหวนและหลิงหยุนจือก็ปรากฎตัวขึ้น ณ ยอดเขาซีซาน

   ยอดเขานี้เป็นจุดเดียวบนภูเขาชิงหยุนที่ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ และที่นี่ยังได้รับการยกย่องให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของนิกายชิงหยุนด้วย เหล่านักพรตขั้นสูงอย่างน้อยสิบท่านมักจะมาเข้าพิธีพิสูจน์ตนจากความทุกข์ยาก ณ ที่แห่งนี้ ในขณะเดียวกันก็เรียกได้ว่าสถานที่แห่งนี้โชกโชนไปด้วยประสบการณ์บัพติศมาด้วยเลือดมานับไม่ถ้วน การที่จะเป็นเทพเซียนอมตะได้นั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด นักพรตขั้นสูงแห้งนิกายชิงหยุนต่างต้องเข้าพิธีกรรมนี้อย่างน้อยสิบครั้งถึงจะประสบความสำเร็จ

   ณ บัดนี้แท่นนั่งต่างเต็มไปด้วยฝูงชน หลิงหยุนจือพาฉีหวนไปยังตำแหน่งที่ใกล้กับซูกงจือที่สุด ซึ่งฝั่งซ้ายของเธอคือชายชราสองท่านที่กำลังจะเข้าสู่พิธีพิสูจน์ตน ส่วนฝั่งขวาก็คือศิษย์พี่ของฉีหวนที่กำลังเตรียมตัวเข้าสู่พิธีในรอบถัดไป และสุดท้าย ด้านหลังเธอ ก็คือหลานชายผู้อาวุโสที่กำลังฝึกอยู่ในขั้นราชันย์ลมปราณ

   "เฮ้อ! เหตุใดการเป็นศิษย์เพียงผู้เดียวของชิฟูซูกงจือถึงทำให้ข้ารู้สึกกดดันถึงเพียงนี้!" ฉีหวนถอนหายใจ

   "หวนจือ อย่างไรข้าก็เชื่อมั่นในตัวเจ้า!" ซูหยางจือเผยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้าอันแห้งเหี่ยว พร้อมกับตบบ่าฉีหวน

   ฉีหวนแทบจะล้มลงกับพื้น  โชคดีที่หวงเซียนจือไหวตัวทัน จึงรีบเข้าไปพยุงเธอ

   "หึ! ข้ามั่นใจในตัวเองอยู่แล้วล่ะ..." ฉีหวนตอบกลับอย่างออกนอกหน้า ทำให้ซูหยางจือทึ่งเล็กน้อย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด