ตอนที่ 9 : หารู้ไม่ว่า... แท้จริงแล้ว ข้าใจกว้างกว่ามหาสมุทรเสียอีก!
ตอนที่ 9 : หารู้ไม่ว่า... แท้จริงแล้ว ข้าใจกว้างกว่ามหาสมุทรเสียอีก!
ฉีหวนฉวยโอกาส ในขณะที่หวงเซียนจือชะล่าใจ รีบวิ่งไปหยิบขวดยาดองหมักดอกท้อประมาณสองถึงสามขวดออกจากกระท่อมฟางด้วยความรู้สึกเหนือกว่า ถึงแม้เธอจะไม่กล้าดื่มยาดอง แต่อย่างน้อยก็ถือว่านำมามอบให้ท่านอาจารย์ที่เคารพรักของเธอก็แล้วกัน
ฉีหวนเดินลงบันไดที่ทำจากหินสีคราม พร้อมกับทักทายเหล่าสาวกชั้นในด้วยรอยยิ้มสดใส ฝ่ายสาวกต่างก็ทักทายกลับด้วยท่าทางสุภาพ ถึงกระนั้นก็ยังคงมีสาวกบางส่วนที่รู้สึกเกลียดชังเธอนัก แต่ภายนอกกลับยังคงทักทายเธออย่างเป็นมิตร...
เนื่องจากเหล่าสาวกต่างรู้ดีว่า ศิษย์ในสำนักที่อยู่ขั้นต่ำสุด ก็ยังถือว่าอยู่ขั้นสูงกว่านาง... ถึงแม้ฉีหวนจะอยู่ขั้นลมปราณที่ต่ำกว่าเพียงเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นก็ยังเรียกว่าเธอมีพลังอ่อนด้อยกว่าอยู่ดี ในสายตาพวกเขา ฉีหวนเป็นเพียงผู้โชคดีที่ได้รับความเมตตาจากซูกงจือเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เหล่าสาวกจึงต้องจำใจเคารพและให้เกียรติ แต่หารู้ไม่ว่าในพิภพแห่งเทพอมตะ ผู้มีโชคนั้นไม่ใช่จุดแข็ง แต่ผู้มีพลังอำนาจลมปราณต่างหากที่เหนือสิ่งอื่นใด!
"ท่านหวงหวนจือ หยุด! ที่แห่งนี้คือลานประลอง ได้โปรดท่านจงทำตามกฎแห่งสำนักด้วย" ณ ปลายสุดของบันได คือลานประลองของนิกายชิงหยุน โดยทั่วไปแล้วเหล่าสาวกจะมาที่นี่ก็ต่อเมื่อมีการประชุมพิจารณาผลการประลองประจำปีเท่านั้น... แต่ทว่าวันนี้มีคนมาเยือนจนคับคั่ง แสดงว่าต้องมีอะไรพิเศษเป็นแน่
เหล่าศิษย์ชั้นในที่ถูกกล่าวขาน ว่าเป็นผู้ฝึกชั้นยอด ต่างรู้กันดีว่าตนเองไม่มีวันได้ไปไกลกว่าขั้นจอมทัพลมปราณ (ช่วงสร้างเม็ดโอสถ) เนื่องจากจุดสนใจของพวกเขาไม่ใช่การบรรลุไปถึงขั้นเซียน แต่สิ่งที่ศิษย์ชั้นในมุ่งเน้น คือการได้เป็นที่หนึ่งแห่งการประลองระหว่างสาวกในระดับเดียวกันต่างหาก เพราะฉะนั้นการเข้าพิธีพิสูจน์ตนกับสวรรค์ของซูกงจือ จึงไม่ค่อยเป็นที่เลืองลือในตำหนักเท่าไหร่นัก
เหล่าสาวกนิกายอื่นที่มาเยือน ณ ภูเขาชิงหยุนครั้งนี้ ต่างเป็นศิษย์ในสำนักที่มีแก่นแท้ลมปราณด้านการต่อสู้ระดับสูง และล้วนมาที่นี่ด้วยความมุ่งมั่นอยากจะเป็นที่หนึ่งในพิภพแห่งเทพอมตะแค่เพียงผู้เดียว ด้วยเหตุนี้ลานประลองจึงเริ่มกลับมาคึกคัก หลังจากที่เงียบสงบมานับหลายทศวรรษ
ถึงกระนั้นฉีหวนไม่ได้มาที่แห่งนี้เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันแต่อย่างไร... เพราะอันที่จริงเธอแค่รู้สึกเบื่อ ๆ ทั้งยังไม่มีหลานชายผู้อาวุโสคอยเดินตามติดเหมือนก่อน เธอจึงรีบตัดสินใจแอบมาที่นี่ เพื่อดูศิษย์ชั้นในเตรียมตัวเข้าการประลองแก้เบื่อ แต่ทันใดนั้นฉีหวนกลับถูกปิดกั้นจากใครคนหนึ่งอย่างไม่คาดคิด
"ลานประลองฉีเหมินกลายเป็นที่ต้องห้ามเมื่อใดกัน? เหตุใดข้าไม่เคยรู้มาก่อนเล่า?" ฉีหวนหยุดเดินกะทันหัน พร้อมกับมองไปยังหญิงสาวที่สวมเครื่องแบบศิษย์ชั้นในด้วยรอยยิ้ม
หญิงสาวผู้นั้นสง่างามยิ่งนัก ใบหน้าของนางเรียวเล็กเท่าฝ่ามือ เผยให้เห็นริมฝีปากแดงระเรื่อ และดวงตากลมโตที่ส่องประกายชวนน่าหลงใหลอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งเธอผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น... นางคือโอวหยางหลิน หญิงสาวที่เข้ามายังยอดเขาชิงหยุนตั้งแต่อายุเพียงเจ็ดขวบ และมีความสามารถด้านการบ่มเพาะลมปราณที่เก่งกาจนัก นางสามารถบรรลุขั้นขุนพลลมปราณได้ตอนอายุเพียงสิบเก้าปีเท่านั้น ทั้งท่าทาง รูปลักษณ์ของโอวหยางหลินยังอ่อนหวาน จนกล่าวได้ว่าเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์ที่สุดในนิกายแห่งนี้ ถ้าหากชายใดพบเห็นก็คงรีบวิ่งตามจีบเธอเป็นร้อยคน เพราะขนาดสาวกในนิกายยังแอบตามติดเธออยู่หลายสิบคนเชียวล่ะ!
เนื่องจากมีชายมากมายรายล้อมอยู่ไม่ขาดสาย ทำให้นับวันนางเริ่มทะนงตัว และหยิ่งยโสมากขึ้น ฉีหวนไม่เคยคิดอยากจะยุ่งเกี่ยวกับโอวหยางหลินสักนิด แต่ทว่าในระหว่างพิธีพิสูจน์กฎสวรรค์ของท่านอาจารย์ซูกงจือ เธอหันมากระซิบบางอย่างกับฉีหวนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ถึงกระนั้นหลิงหยุนจือก็ยังได้ยินเสียง ทำให้เธอโดนลงโทษโดยหันหน้าจ้องกำแพงเป็นเวลาหนึ่งเดือน!
ทั้งที่ฉีหวนไม่ได้ทำผิดกฎสักข้อ แต่กลับต้องโดนลงโทษเพราะนางโอวหยางหลิน! แต่สุดท้ายเธอก็ทำเพียงถอนหายใจ และก็ไม่ได้คิด ติดใจเอาความอันใดกับนางทั้งสิ้น ถึงกระนั้นฉีหวนก็ยังคงจำใบหน้าของหญิงสาวที่งดงามกว่าตนเองได้อย่างดี นี่ยังคงเป็นปัญหาโลกแตกสำหรับผู้หญิง... เพราะฉีหวนยังคงเถียงในใจว่า เธอก็ดูดีพอ ๆ กับนาง เผลอ ๆ อาจจะดูดีกว่าเสียด้วยซ้ำ
ฉีหวนตระหนักมาตลอดว่า โอวหยางหลินคงไม่มีเจตนาหาเรื่อง หรือคิดร้ายกับใครได้ แต่บัดนี้ฉีหวนไม่อยากเชื่อความคิดนั้นอีกต่อไป เนื่องจากนางมักชอบพูดจา หรือกระทำบางอย่างให้ฉีหวนขัดเคืองใจ หรือไม่ก็เดือดร้อนอยู่เรื่อย แล้วไหนจะครั้งนี้ที่ จู่ๆ นางก็กล่าวว่า ฉีหวนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปยังลานประลองอีก! เธอพยายามอดกลั้น และปลอบตัวเอง 'เอาล่ะ ไม่เป็นไร เข้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร มันไม่ได้สำคัญกับเราอยู่แล้ว ช่างมันเถอะ!' ฉีหวนรู้ดีว่า แท้จริงแล้วตัวเธอเป็นคนอารมณ์ขัน และใจกว้างมาก แม้บางครั้งจะควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก แต่อย่างน้อยฉีหวนก็สามารถอดทนต่อผู้หญิงคนนี้ได้! ก็ถือว่าเธอโตขึ้นมากเช่นกัน!
ฉีหวนมีคติประจำใจที่ท่องไว้ตลอดว่า : ถ้าคุณให้เกียรติฉัน ฉันก็จะให้เกียรติคุณ แต่ถ้าคุณก้าวก่ายฉันมากเกินไป... ก็อย่าหาว่าฉันไม่เตือนล่ะกัน!
ย้อนไปเมื่อครั้งที่ฉีหวนยังไม่ได้เดินทางข้ามเวลา งานอดิเรกที่ยิ่งใหญ่เท่าชีวิตของเธอก็คือ การเล่นเกมออนไลน์ ตอนนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งแย่งสามีในเกมของฉีหวนไป เธอโกรธมาก แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะเธอคิดว่ามันก็เป็นแค่เกม และอีกอย่างก็ไม่ได้มีทะเบียนสมรสเหมือนชีวิตจริง เพราะฉะนั้นเธอคงไม่สามารถห้ามไม่ให้ใครพบรักแท้ครั้งใหม่ได้ ฉีหวนหย่ากับผู้ชายคนนั้นทันที และปล่อยตัวเองเป็นอิสระอย่างมีความสุข
ฉีหวนคิดว่าเรื่องนี้จบไปแล้ว แต่หารู้ไม่ว่า ในเวลาต่อมาไม่นาน ทั้งสองประกาศจัดงานแต่ง และแสดงความรักต่อสื่อเกมออนไลน์ทุกช่อง เธอเข้าใจเรื่องนี้ดี ซึ่งแน่นอนว่าประเด็นที่เธอแค้นใจมันไม่ใช่เรื่องนั้น! แต่มันคือคำบอกกล่าวของทั้งคู่ที่ว่า ฉีหวนเป็นนางมารร้ายมือที่สาม ที่คอยจับจ้องจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองต่างหาก! เมื่อฉีหวนรู้ข่าว เธอโกรธมาก ทั้งยังด่าทอชายผู้นั้นในใจว่า 'ช่างเป็นชายที่เห็นแก่ตัว และไร้ความซื่อสัตย์จริง ๆ! ได้! ถ้าหยามกันขนาดนี้ ก็อย่าหวังว่าจะได้มีความสุข!
ในขณะนั้นฉีหวนเป็นหัวหน้าแก๊งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเกม!
ทั้งสองทำให้ฉีหวนสุดทน ถ้าหากเธอทำเช่นนั้นจริง ๆ เธอก็คงพอยอมรับกับสิ่งที่ทั้งสองกล่าวได้ แต่นี่อะไรกัน! เธอยังไม่ทันได้ทำอะไรทั้งสิ้น! แต่ทั้งสองกลับกล่าวหาฉีหวนจนทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง! มิหนำซ้ำยังด่าออกสื่อว่าเธอไร้ยางอายอีก! 'ได้! พวกแกจะได้รู้ว่าที่จริงแล้ว คำว่าไร้ยางอายมันควรใช้กับใครกันแน่!'
ช่วงเย็นวันนั้น ฉีหวนรวบรวมกลุ่มคนในเกมมากกว่าสามร้อยคน เพื่อถล่มงานแต่งของทั้งสองจนพังยับเหยิน ทั้งยังแฉความจริงทั้งหมด จนอีกฝ่ายแทบไม่มีที่อยู่ในสังคม
ด้วยเหตุการณ์ข้างต้น สรุปได้ว่า แท้จริงแล้วฉีหวนเป็นผู้ที่มีความอดทนสูงมาก บางทีอาจจะมีความอดทนมากกว่านินจาเต่าเลยก็ว่าได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ความอดทนของเธอถึงขีดสุด พลังโกรธแค้นนั้นก็จะปะทุราวกับภูเขาไฟระเบิดแน่นอน!
โอวหยางหลินเห็นว่า ฉีหวนไม่ได้แสดงท่าทีที่จะจากไป นางจึงเปลี่ยนจากรอยยิ้มเป็นคำพูดด้วยน้ำเสียงแสนเย็นชา! "นี่เป็นคำสั่งของท่านอาจารย์ในสำนักนะ! หากสาวกตนใดยังฝึกไม่ถึงขั้นขุนพลลมปราณ ก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ลานประลอง"
"อ้อ! งั้นรึ? ข้าเข้าใจแล้วล่ะ" ฉีหวนพยักหน้า แล้วจึงหันหลังกลับทันที เธอไม่มีทางเลือกอื่น เนื่องจากเธอยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่ในใจลึก ๆ เธอรู้ดีว่า โอวหยางหลินนำเรื่องนี้มาอ้างเพื่อหาเรื่องเธอเท่านั้น เพราะด้วยสถานะของฉีหวนในนิกายแห่งนี้ ทำให้ที่ผ่านมา ไม่มีผู้ใดกล้าหยุดเธอไม่ให้เข้าไปยังพื้นที่ต้องห้ามสักคน แล้วนับประสาอะไรกับแค่ลานประลอง... แต่บัดนี้เธอแค่ไม่อยากทะเลาะกับโอวหยางลิน จึงยอมเดินจากไปง่าย ๆ
ฉีหวนเดินจากมายังไม่ไกลมากนัก เธอจึงได้ยินศิษย์ชายคนอื่นพูดกับโอวหยางหลินว่า "ศิษย์พี่ผู้อาวุโสขอรับ กฎนี้จำกัดเพียงแค่สาวกในสำนักที่อยู่ระดับต่ำเท่านั้นไม่ใช่หรือ? ท่านหญิงผู้อาวุโสท่านนั้นไม่จำเป็นต้องทำตามก็ได้... ไม่ใช่หรือขอรับ?"
"อื้อหื้อ! ขั้นระดับพลังต่ำเตี้ยเรี่ยดินอย่างนางเนี่ยนะ จะเข้ามายังลานประลองของสำนัก! นี่เจ้าไม่คิดว่าท่านอาจารย์ผู้อาวุโสของเราจะอับอายบ้างรึ?!" โอวหยางหลินพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูถูกเหยียดหยามฉีหวนยิ่งนัก
ฉีหวนหยุดชะงักทันที ที่ได้ยินบทสนทนาของพวกเขา ผ้าพรมแดงที่พันรอบนิ้วชี้ข้างขวาขยับเล็กน้อย 'ถ้าฆ่านางตอนนี้ มันจะดูเป็นนางร้ายเกินไป เราสั่งสอนแค่เล็กน้อยก็พอ... งั้นลองวิธีที่ศิษย์พี่สอนเมื่อกี้มาใช้หน่อยละกัน นางน่าจะเข็ดหลาบอยู่บ้างแหละ... หึ!' หลังจากพึมพำเสร็จ ฉีหวนก็สะบัดนิ้วของเธอไปด้านหน้า ทันใดนั้นพรมมณีราคก็คลายออกจากนิ้วและล่องลอยไปตามทิศทางสายลม
"ศิษย์พี่ขอรับ ถึงเวลาที่ท่านต้องลงสนามแล้วขอรับ" จากนั้นไม่นานศิษย์ชายตนหนึ่งก็เดินออกจากตำหนัก และกล่าวกับโอวหยางหลิน
"เอาล่ะ! ข้าขอตัวก่อน พวกเจ้าจงเฝ้าทางเข้าไว้ให้ดี!" โอวหยางหลินทิ้งท้ายไว้เล็กน้อย พร้อมกับเดินหน้าเข้าสู่ลานประลอง
ฉีหวนเห็นนางเดินจากไปสักพัก เธอก็รีบหันหลังกลับไปยังทางเข้าลานประลองทันที คราวนี้ไม่มีผู้ใดสามารถห้ามเธอได้อีก
หลังจากเข้ามายังลานประลอง ฉีหวนก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เนื่องจากหัวหน้านิกายเกือบทั้งหมดนั่งอยู่บนแท่นสูง และเหล่าสาวกต่างก็รวมตัวรอบสนามเป็นกลุ่ม บัดนี้เป็นคราวของศิษย์นิกายซูกับศิษย์นิกายชิงหยุนกำลังแข่งขันกันในลานประลอง
หลิงเฟิงจือเห็นการปรากฏตัวขึ้นของฉีหวน จากเดิมที่เคยตั้งท่าอย่างมั่นคงพอ ๆ กับภูเขาไท่ จู่ ๆ เปลือกตาขวาก็เริ่มกระตุกอย่างแรง เขารีบสะกิดให้หลิงหยุนจือรู้ว่านางตัวดีอยู่ที่นี่เช่นกัน