ตอนที่ 173 วิทยาลัยอาชีวะปัญญา
เมื่อกองทหารอาคม คีรินทร์ธร และขุนเจษเข้าไปที่อาคารของหน่วยมือปราบ พวกเขาก็พบความจริงอันเลวร้าย มือปราบส่วนในหน่วยเสียชีวิต มีบางคนที่ยังมีชีวิตอยู่แต่ก็ไม่สามารถให้ข้อมูลเบาะแสอะไรได้เลย เพราะคนที่รอดล้วนมีอาการเหมือนคนบ้า เอาแต่กรีดร้องโวยวาย
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าหน่วยมือปราบที่ถูกฝึกมาอย่างดี กลับกลายเป็นเหยื่อเช่นนี้ ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงข่าวนี้ก็ได้แพร่สะพัดออกไป ทำให้ชาวเมืองวิตกกังวลเป็นอย่างมาก มีฆาตกรที่ไหนก็ไม่รู้เข้ามาในเมืองได้ แถมยังฆ่ามือปราบได้ง่าย ๆ อีกด้วย แล้วพวกชาวบ้านชาวเมืองเล่าจะต่อสู้ได้อย่างไร แล้วใครจะมาช่วยปกป้องชาวเมืองจากคนเลว
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ความวิตกกังวลทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนนำไปสู่การก่อจลาจลของประชาชนภายในเมือง โชคดีที่กองทหารอาคมเข้ามาจัดการได้ทันท่วงที ทำให้เหตุการณ์ไม่บานปลายไปมากกว่านี้
กองทหารอาคมได้ปิดตายทางเข้าออกเมืองทั้งหมด จากนั้นพวกเขาก็รีบออกสืบค้นความจริง โดยมีขุนเจษและมือปราบจากเมืองหลวงมาร่วมด้วย ใช้เวลาเพียงวันเดียวพวกเขาก็ค้นพบใบประกาศจับปลอม หากดูเผิน ๆ มันเหมือนของจริงมาก เพราะมีตราประทับของสำนักงานมือปราบ ทว่ากระดาษที่ใช้กลับไม่ใช่กระดาษที่สำนักงานมือปราบใช้
“เอ๊ะ !”
ขุนเจษยกแผ่นประกาศจับขึ้นมาเพ่งมองให้ถี่ถ้วน เขาไม่แน่ใจว่าโลกกลมหรือเป็นเพราะเขาอคติกันแน่ แต่เขาค่อนข้างมั่นใจว่าภาพคนร้ายที่วาดอยู่บนกระดาษ เป็นภาพใบหน้าของเหนือภพไม่ผิดแน่ ความสงสัยและลางสังหรณ์ของขุนเจษ ทำให้เขาเลือกมุ่งเป้าไปที่เหนือภพเป็นอันดับแรก
“อยู่ที่นี่เอง”
เหนือภพพาพราวจันทร์มาถึงวิทยาลัยอาชีวะปัญญา ที่นี่คงจะมีเบื้องหลังหรือข้อมูลอะไรบางอย่าง แม่เฒ่าถึงให้พวกเขามาสืบที่นี่
“ท่านพี่ ความจริงท่านไม่น่ารีบร้อนทำอะไรบุ่มบ่ามขนาดนั้นเลย”
พราวจันทร์บ่นเหนือภพ พลางชะเง้อคอมองผ่านประตูรั้ววิทยาลัย
“อะไรกัน ดูที่พวกนั้นทำกับเราสิ อยู่ดี ๆ ก็มายัดข้อหาให้”
“ถ้าท่านพี่ใจเย็นลงอีกนิด น้องก็อาจจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติม อย่างน้อยเราก็จะได้รู้ว่าใครกันที่ถูกฆ่า แล้วศพนั้นเกี่ยวข้องกับเรายังไง”
“ช่างเถอะเมียจ๋า ไม่ว่าเรื่องจะเป็นยังไง มันก็หาเรื่องให้เราได้อยู่ดีแหละ”
ในขณะที่เหนือภพกำลังจะเปิดประตูรั้วที่ทำจากแท่งโลหะประสานกัน ก็พลันมีชายฉกรรจ์ในชุดเครื่องแบบออกมาห้ามปรามเหนือภพ
“หยุดก่อน มีธุระอะไร”
เหนือภพกับพราวจันทร์พูดคุยกับยามเฝ้าวิทยาลัยอยู่นาน แต่พวกเขาก็ยังเข้าไปไม่ได้ ที่วิทยาลัยอาชีวะปัญญาแห่งนี้มีกฎเข้มงวดมาก คนที่ไม่เกี่ยวข้องจะไม่สามารถเข้าไปได้ และพราวจันทร์ก็ไม่ต้องการให้เหนือภพบุกเข้าไปก่อเรื่องอีก พวกเขาจำเป็นต้องเข้าไปสืบอย่างแนบเนียน
พราวจันทร์ดึงเหนือภพมาข้างหลัง เธอก้าวไปเผชิญกับยามด้วยท่าทีอ่อนหวานปนเย้ายวน
“คือความจริงแล้วพวกเราจะมาสมัครเรียนน่ะค่ะ”
ยามร่างล่ำบึ้กกวาดตามองเหนือภตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วก็มองประเมินพราวจันทร์ ทว่าสายตาของเขากลับอ้อยอิ่งอยู่บริเวณทรวงอกของเธอ
“นี่ !” เหนือภพตะคอกเสียงดังจนยามสะดุ้ง
ยามสะบัดหัวไปมาเพื่อเรียกสติกลับคืนมา จากนั้นเขาก็พยักหน้า เรื่องนี้สมเหตุสมผลไร้ข้อเคลือบแคลง เพราะเขาเห็นแล้วว่าทั้งเหนือภพและพราวจันทร์ต่างก็เป็นผู้ไร้พรสวรรค์ทั้งคู่
“อื้ม ยังดีที่พวกเจ้ามาทัน หากมาช้ากว่านี้สักหน่อยก็เกรงว่าคงต้องมาอีกครั้งในปีหน้า ตรงไปแล้วเลี้ยวซ้ายที่อาคารหินสีเทา”
พูดจบยามก็เปิดประตูให้เหนือภพและพราวจันทร์เข้าไปในวิทยาลัย
ด้านในของวิทยาลัยแห่งนี้กว้างขวางมากกว่าที่เห็นจากภายนอก มีสนามหญ้าขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยอาคารหินมากมาย มีทั้งอาคารชั้นเดียวไปจนถึงห้าชั้น มีทางเดินซอกแซกเต็มไปหมด สลับกับต้นไม้ใหญ่น้อยร่มรื่น แม้เหนือภพจะไม่รู้ว่าที่นี่เรียนอะไรกันบ้าง แต่เขาก็มั่นใจว่าที่นี่ต้องมีการสอนที่หลากหลายมากกว่าโรงฝึกฮันเตอร์ที่เขาเคยได้เรียนตอนเด็กแน่นอน
ในตอนนี้เหนือภพกับพราวจันทร์ยังไม่เห็นเด็กนักศึกษา คาดว่าวิทยาลัยคงยังไม่เปิดภาคการศึกษา พวกเขาเดินตัดตรงไปตามทิศทางที่ยามบอก แล้วก็ได้พบกับเจ้าหน้าที่ของวิทยาลัยที่ประจำการอยู่ พวกเขาพูดคุยกับเจ้าหน้าที่เพียงไม่นาน จ่ายค่าเล่าเรียนไม่กี่หมื่นเหรียญเงิน พวกเขาก็สามารถเข้าเรียนได้แล้ว ที่นี่ดูเหมือนจะเป็นสถานที่ที่ดีสำหรับผู้ไร้พรสวรรค์
“แล้วพวกข้าต้องทำอะไรบ้าง”
เหนือภพถาม เพราะเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการเรียนเลย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะทำยังไงต่อไป
“ไม่ยาก หลังจากนี้อีกหนึ่งเดือน ทางวิทยาลัยจะเปิดปีการศึกษาใหม่ ในวันนั้นพวกเจ้าก็แค่มาก่อนเวลาสักหน่อย มาเข้าร่วมการปฐมนิเทศ ในวันนั้นผู้เรียนจะต้องเลือกสายวิชาชีพ คนหนึ่งสามารถเลือกวิชาชีพได้ 5 สาขา แต่ละสาขาจะมีอาจารย์ระดับผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ฝึกสอน มีระยะเวลาการเรียน 1 ปีต่อระดับชั้นเรียนเราจะแบ่งเป็น 2 ภาคเรียน โดย 6 เดือนแรกพวกเจ้าจะต้องใช้ชีวิตกินนอนอยู่ภายในรั้ววิทยาลัย เมื่อจบภาคการเรียนที่หนึ่ง พวกเจ้าจะมีเวลาพักพ่อน 1 สัปดาห์ก่อนเริ่มเรียนในภาคการเรียนที่ 2”
เจ้าหน้าที่พูดรัวเร็วราวกับเป็นเรื่องที่ต้องพูดอยู่ทุกวัน
“นานขนาดนั้นเลยหรือครับ”
เหนือภพตกใจมาก เพราะเขามาทำภารกิจที่ใช้เวลาไม่กี่วันก็น่าจะเสร็จ ดังนั้นการจะใช้ชีวิตภายในวิทยาลัย 6 เดือนถึง 1 ปีนั้นมันเป็นไปไม่ได้
เหนือภพกำลังจะพูดคัดค้านอะไรออกไปแต่พราวจันทร์กระตุกมือเขาไว้เสียก่อน ทั้งสองปรึกษากันทางสายตา แล้วเหนือภพก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ เอาเป็นว่าเข้าไปสืบข้อมูลก่อน เมื่อได้ข้อมูลแล้วค่อยหาวิธีชิ่งหนีออกจากที่นี่ทีหลังก็ได้
เหนือภพถอนหายใจแล้วก็พยักหน้าให้เจ้าหน้าที่อย่างจำยอม
“เอาล่ะ พวกเจ้าก็ไปได้แล้ว เตรียมตัวให้พร้อมแล้วเจอกันวันเปิดภาคเรียน”
“ครับ ขอบคุณครับ” “ขอบคุณค่ะ”
จากนั้นเหนือภพก็กล่าวลา แล้วพาพราวจันทร์เดินกลับออกมา
“ดูเหมือนพวกเราคงต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่ไปอีกระยะ”
“ไม่เป็นค่ะท่านพี่ ลองเป็นนักศึกษาดูสักครั้ง มันก็น่าสนุกดี”
แต่ทันทีที่เหนือภพกับพราวจันทร์ก้าวเท้าพ้นเขตวิทยาลัยออกมา หน่วยมือปราบเมืองหลวงที่ซ่อนตัวอยู่รอบ ๆ ก็พุ่งออกมาล้อมเหนือภพและพราวจันทร์ แล้วโอบล้อมปิดทางหนีด้วยกองทหารอาคมที่มาในชุดพร้อมรบเต็มกำลัง พวกเขาได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเหนือภพมาบ้างแล้ว ทำให้พวกเขาเตรียมพร้อมเป็นอย่างมาก
“มากับข้าเหนือภพ”
“ไปไหน แล้วเจ้านี่ยังไงกันห๊ะ เจ้าทำตัวอย่างกับขุนนางตามจีบสาวงาม”
เหนือภพลอยหน้าลอยตาพูดยั่วโมโหขุนเจษ ทั้ง ๆ ที่ใจจริงแล้วเขารำคาญขุนเจษมาก ๆ ชอบตามตอแยเขา ทำตัวราวกับเจ้ากรรมนายเวร
ขุนเจษนิ่วหน้า
“ข้าขอคุยด้วยสักครู่หนึ่งไม่ได้หรือไง แค่เจ้าคนเดียว”
ขุนเจษพูดจบก็เหลือบมองพราวจันทร์ ในสายตาของขุนเจษนั้นพราวจันทร์เป็นแค่ตัวแทรก ที่ไม่มีความสำคัญ และเขาก็ไม่ได้หลงเสน่ห์ในความงามของนางจนต้องคล้อยตาม
เหนือภพมองพราวจันทร์ เธอพยักหน้าให้เหนือภพ แค่นี้เหนือภพก็วางใจ เขาไม่ได้กลัวว่าขุนเจษจะมีเล่ห์เหลี่ยมอะไร แต่เขากลัวว่าพราวจันทร์จะเป็นอันตรายหากอยู่คนเดียวก็เท่านั้น แต่ในเมื่อเธอบอกว่าอยู่ได้เหนือภพก็จำยอม เขาเดินตามขุนเจษไป แต่ก็ยังอยู่ในพื้นที่โล่งกว้าง พวกเขายืนอยู่ในระยะที่สายตาของเหนือภพสามารถมองเห็นพราวจันทร์ได้
“ทำไม เจ้าจะมาหาเรื่องข้าที่ข้าไปทุบตีคนของเจ้าหรือไง”
“เรื่องแหกคุกในวันนี้เป็นฝีมือเจ้าสินะ”
“ก็แหงสิ ใครใช้ให้พวกมันมาใส่ความข้า แถมยังคิดจะฮุบเมียข้า เฮอะ ข้าไม่ฆ่าพวกมันก็ดีเท่าไหร่แล้ว”
เหนือภพกอดอกพูดลอยหน้าลอยตา อย่างไร้ความสำนึกผิด แต่ประโยคของเขากลับทำให้ขุนเจษนิ่วหน้า มีบางอย่างผิดปกติ
“เจ้าไม่ได้ฆ่าพวกเขางั้นรึ”
“เจ้านี่ก็ถามโง่ ๆ ฆ่าพวกนั้นแล้วจะได้อะไรขึ้นมา ข้าเบื่อขี้หน้าเจ้าจะตาย ถ้าไม่จำเป็นข้าไม่อยากยุ่งกับพวกมือปราบอย่างเจ้าหรอก”
ขุนเจษนิ่วหน้า แม้เขาจะไม่พอใจคำพูดคำจาของเหนือภพ แต่คำพูดของเหนือภพก็มีเหตุผล เขาจะต้องจับเหนือภพไปลงโทษให้ได้ในสักวัน ทว่าตอนนี้เขายังไม่มีหลักฐานมากพอ อีกอย่างปัญหาที่เกิดขึ้นภายในเมืองปัญญามันก็ใหญ่เกินกว่าที่เขาจะแก้ไขเพียงคนเดียว เพราะมันไม่มีเบาะแสอะไรเลย ในเมื่อเบื้องบนส่งเหนือภพมาทำภารกิจที่เมืองนี้ก็แปลว่าต้องมีเหตุผลบางอย่าง ดังนั้นขุนเจษจึงยอมวางเรื่องขัดแย้งในอดีต ยอมถอยหนึ่งก้าว เพื่อประชาชนหลายชีวิตในเมืองปัญญา
ขุนเจษเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่หน่วยมือปราบให้เหนือภพฟังทั้งหมด เหนือภพตกใจมากที่ได้รู้ว่ามือปราบระดับหัวหน้า และมือปราบข้ารับใช้ แม้แต่นักโทษส่วนใหญ่ ก็ล้วนถูกฆ่าตายด้วยอาวุธชนิดเดียวกัน ดาบเดียวทะลุหัวใจ ตายในทันทีไม่ทันได้ขัดขืน ไม่เพียงเท่านั้นรอยแผลของมือปราบเหล่านั้นยังเหมือนกับคนที่ตายในตึกเก่าในเขตสลัม หนึ่งในผู้โชคร้ายก็คือแม่เฒ่าไร้ชื่อเสียงคนหนึ่ง ซึ่งทางมือปราบเองก็ยังไม่ทราบเหตุจูงใจในการฆ่า และไม่ทราบเป้าหมายแน่ชัด แต่พอจะคาดการณ์ได้คร่าว ๆ ว่าเกี่ยวข้องกับเหนือภพหรือไม่ก็พราวจันทร์ เพราะเหนือภพกับพราวจันทร์มักจะอยู่ตรงที่เกิดเหตุทุกครั้ง
เหนือภพตาโต
“แม่เฒ่าตายแล้วงั้นหรอ ตายเมื่อไหร่”
“หืม” ขุนเจษหรี่ตามองเหนือภพ
“เจ้ารู้จักนางหรอ”
เหนือภพส่ายหน้า
“ก็ไม่เชิง ข้าเคยพาน้องในทีมไปให้เขาช่วยแก้คุณไสยเมื่อวาน และเมื่อช่วงบ่ายข้าก็ไปหานางอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันเข้าไปในบ้าน ข้าก็เจอนางเสียก่อน นางบอกให้ข้ากลับไป แล้วข้าก็เจอคนของมือปราบมาล้อมจับ เรื่องก็เป็นอย่างนี้แหละ”
ขุนเจษนิ่วหน้า การฆ่าคนของฆาตกรมุ่งเป้ามาที่เหนือภพ หรือว่าต้องการสร้างปัญหา หรือต้องการสร้างความเจ็บแค้นกันนะ ตอนนี้ขุนเจษก็ยังไม่เข้าใจว่าฆาตกรทำไปเพื่ออะไร เพราะถ้าใครคนนั้นต้องการทำเหนือภพรู้สึกเจ็บแค้น ก็มิสู้ฆ่าคนในครอบครัวเหนือภพไม่ดีกว่าเหรอ ดูเหมือนนี่จะเป็นแค่การสร้างสถานการณ์ให้คนเข้าใจเหนือภพผิด
“เอาล่ะ เจ้าไปได้ และอย่าให้ข้ารู้ว่าเจ้าก่อเรื่องอีก ข้าไม่ปล่อยเจ้าแน่”
“ครับ ครับ”
เหนือภพผู้ซึ่งไม่คิดอะไรมากมาย เขาไม่จำเป็นต้องควานหาตัวคนใส่ร้ายหรอก เพราะในแผ่นดินนี้มีคนที่ไม่ชอบเขาและจ้องจะทำร้ายเขามากมายนับไม่ถ้วน ถ้าจะควานหาตัวออกมาให้หมดก็เกรงว่าจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเลยทีเดียว
‘เอ.. นี่ข้าชักจะเหมือนศิษย์พี่วัฏจักรเข้าไปทุกที หึหึ งั้นก็ดีเลยสิ’
เหนือภพยิ้มอ่อนให้ขุนเจษ แล้วก็พูดอย่างยียวน
“เจ้าก็พูดแบบนี้ทุกที แล้วไหนล่ะหลักฐาน เอ…หรือว่าความจริงแล้ว เจ้าก็แค่หาเรื่องมาคุยกับข้า อย่าบอกนะว่าเจ้าแอบชอบข้า เฮอะ”
พูดจบเหนือภพก็ยกมือขึ้นสะบัดผมนิดหนึ่ง เขาเลียนแบบท่าทางสางผมของหญิงสาวเพื่อยั่วโมโหขุนเจษ และขุนเจษก็โมโหจนเลือดขึ้นหน้าจริง ๆ เสียด้วย
“นี่เจ้า !... สักวันเถอะ”
อีกด้านไม่ไกลจากจุดที่เหนือภพกับขุนเจษคุยกัน ชายหน้าอัปลักษณ์ภายใต้ผ้าคลุมแสยะยิ้ม ขณะพึมพำออกมาว่า
“ดูเหมือนเจ้าจะโชคดีไม่เบาเลยนะ เหนือภพ ! ฮึฮึฮึ”
พูดจบใบหน้าอัปลักษณ์ก็อันตรธานหายไปในเงามืด
อีกด้านบนหลังคาที่อยู่จุดสูงสุดของเมือง มีบุคคลปริศนาอีกคนเฝ้ามองอยู่ มือขวาของเขาคล้องสร้อยเบี้ยแก้ตลอดเวลา ราวกับเป็นกำไลเชือกเส้นหนึ่ง สายตาของเขานั้นมืดมนและดูซับซ้อน แบบที่ไม่มีใครรู้ว่าคิดอะไรอยู่ในใจ
เหนือภพรีบหันขวับ เขาจ้องไปทางวิทยาลัยอาชีวะปัญญา แล้วมองไปยังจุดสูงสุดของอาคารหลังหนึ่งในเขตวิทยาลัยอาชีวะปัญญา ที่ว่ากันว่านั่นเป็นหอคอยที่สูงที่สุดในเมือง
“มีอะไรหรือคะท่านพี่”
เมื่อมือปราบถอนตัวออกไป พราวจันทร์ก็วิ่งเข้ามาหาเหนือภพ
“ข้ารู้สึกได้ถึงสายตาคนที่กำลังจ้องมองมาจากที่นั่น ในนั้นมันซ่อนอะไรอยู่กันแน่นะ”
“ท่านพี่ อย่าคิดมากเลยค่ะ อีกไม่นานพวกเราก็จะได้รู้แล้วว่าข้างนั้นมีอะไร แค่อดทนรอไปก่อน”
“จ้า กลับกันเถอะ เผื่อว่าคนอื่น ๆ จะได้ข่าวอะไรดี ๆ กลับมาบ้าง”
“ค่ะ ท่านพี่”
จากนั้นทั้งคู่ก็จูงมือกันกลับโรงเตี๊ยม