บทที่ 8 เข้าเกณฑ์ทหาร เข้าป่าคนเดียว
พออายุถึง 16ปี ก็จะโดนส่งไปเกณฑ์ทหาร
ส่งไปประจำกองทัพ ขุดเหมือง กลายเป็นเบ๊รับใช้หรือไม่ก็ยาม
ดูเป็นกฏหมายที่เอาเปรียบมนุษย์แบบกดหัวไม่ให้ได้ผุดได้เกิดเสียจริง ถ้าเกิดมีประเทศไหนในโลกที่กล้าให้ผ่านร่างกฎหมายนี้ คงได้โดนคว่ำบาตรทันทีแน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้น โชคร้ายอย่างสุดๆเพราะที่นี้คือทวีปแดนสวรรค์ โลกที่พลังของแต่ละคนต่างกันอย่างลิบลับ คนแข็งแกร่งก็ได้เปรียบไปเต็มๆ
“อายุ16ปี ต้องไปเกณฑ์ทหาร ...อย่างงั้นเหรอ”
เหมิงเหล่ยขมวดคิ้วเข้าหากัน ถ้าคนมีสติดีก็จะปฏิเสธกฏหมายบ้าบอเเบบนี้เเน่นอน เกณฑ์ทหารงั้นเหรอ มีเเต่คนบ้าเท่านั้นละที่จะยอมเรื่องเเบบนี้
"การเกณฑ์ทหารนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องได้รับ" ฮัดเดอร์พูด "ยกเว้นเเต่ว่านายจะเป็นชนชั้นสูงหรือลูกคนชั้นสูง จอมเวทระดับ3ขึ้้นไปหรือไม่ก็นักรบระดับ4ขึ้นไป"
"มีคนที่ได้รับการยกเว้นด้วยเหรอ!" สายตาของเหมิงเหล่ยเปล่งประกายออกมา "ว่าง่ายๆคือ ถ้าผมกลายเป็นจอมเวทระดับ3 หรือ นักรบระดับ 4 ได้ ผมก็ไม่ต้องไปเกณฑ์ทหารซินะ”
“ใช่แล้ว แต่มันยากเกินไปนะในเวลาแค่นี้”
ฮัดเดอร์ส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะพูด “ข้าไม่รู้เรื่องอะไรกับการฝึกเวทมนตร์เพราะงั้นข้าจะไม่พูดเรื่องนั้นละกัน แต่ถึงอย่างนั้น ข้าเองก็รู้และสัมผัสด้วยตัวเองมาแล้ว ว่าการเป็นนักรบระดับ 4 ภายในเวลาปีนึงมันเป็นไปไม่ได้เลย”
เหมิงเหล่ยขมวดคิ้วเบาๆแล้วถาม “มันยากขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“อย่าเรียกว่ายากเลย มันเป็นไปไม่ได้เลยมากกว่า การฝึกออร่าสงครามนั้นเป็นกระบวนการที่ต้องฝึกทั้งความอดทนของร่างกาย และการปลดปล่อยออร่าสงคราม ถ้าไม่มีไอเทมหรือพลังนอกร่างกายคอยช่วยละก็ กว่าจะเลื่อนระดับไปแต่ละขั้นมันก็ใช้เวลานานมาก ๆ เลย”
ฮัดเดอร์หัวเราะแห้ง แล้วพูดต่อ “ตอนที่ข้าอยู่ในกองทัพตอนนั้น ข้าใช้เวลาฝึกอย่างหนักกว่า 6 ปีกว่าจะกลายไปเป็นนักรบระดับ 1 ได้แล้วก็ต้องใช้เวลาหลังจากนั้นอีก 10 ปีเต็มๆ บวกกับดวงอีกเยอะๆ กว่าข้าจะพัฒนาไปถึงระดับ 2 ได้ นั้นรวมๆคือต้องใช้เวลา 16 ปีเลยนะ เจ้าคิดว่าเจ้าจะกลายเป็นนักรบระดับ 4 ได้ภายในเวลาแค่ปีเดียวเองงั้นเรอะ?”
เหมิงเหล่ยเริ่มสงสัย “ท่านใช้เวลา 16 ปีเลยเหรอว่าจะกลายมาเป็นนักรบระดับ 2 ได้”
“ใช่แล้ว 16 ปีเต็มๆเลย”
ฮัดเดอร์พยักหน้าเบาๆก่อนจะพูดต่อ “แต่ก็แน่นอน นั้นเป็นเพราะข้าเองก็ไร้ซึ่งพรสวรรค์มากๆด้วย แต่เจ้าเองมีพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์อยู่แล้ว เจ้าอาจจะไม่ได้ใช้เวลานานขนาดข้าก็ได้ ข้าเคยได้ยินมาว่าถ้าเป็นอัจฉริยะทางด้านเวทมนตร์ มากล้นไปด้วยพรสวรรค์ละก็ จะสามารถกลายเป็นจอมเวทได้ภายในเวลาไม่กี่ปี ยกตัวอย่างเช่น นักเรียนในโรงเรียนเวทมนตร์อาณาจักรมังกรไฟของเรานั้น การที่พวกเขาจะเข้าไปเรียนได้นั้นจะต้องมีระดับที่อยู่ตามเกณฑ์และ ระดับ 4 ก็คือระดับต่ำสุดที่จะรับเข้า!”
เวทมนตร์เหรอ นี้ฉันมีพรสวรรค์ทางด้านเวทมนตร์จริงๆงั้นเหรอ”
เหมิงเหล่ยไม่มั่นใจในส่วนนั้นเลยแม้แต่น้อย เพราะวิชาลูกไฟที่เขาใช้นั้นมันไม่เกี่ยวอะไรกับพรสวรรค์ทางด้านเวทมนตร์ของเขาเลยแม้แต่น้อย ต้องขอบคุณระบบโกงที่เขาพึ่งได้มาสดๆนี้เลย
“กัปตันครับ ผมจะเรียนรู้เวทมนตร์ได้ที่ไหนบ้างครับ”
“ก็ที่สถาบันเวทมนตร์ยังไงละ”
กัปตันฮัดเดอร์ตบบ่าของเหมิงเหล่ยแล้วพูด “มีที่นึงอยู่ในเมืองหลวงของอาณาจักรหน่ะ ตอนนี้ก็ต้นเดือนสิงหาแล้วซินะ คงอีกไม่นานทางสถาบันเวทมนตร์ก็จะเริ่มเปิดรับสมัครแล้วละ ถ้าเจ้าอยากจะเรียนรู้เวทมนตร์ก็จงไปที่นั้นซะเถอะ ถ้าเจ้าเข้าสถาบันเวทมนตร์ได้ ชีวิตเจ้าจะเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยละ ถึงแม้ว่าจะจะกลายเป็นขุนนางในอาณาจักรไม่ได้หลังเรียนจบแล้ว แต่อย่างน้อยเจ้าก็สามารถกลายไปเป็นจอมเวทหลวง ซึ่งดีกว่าที่เจ้าอยุ่ตอนนี้หลายพันเท่าเลย”
เหมิงเหล่ยพยักหน้าเงียบๆ การที่เขามีระบบอยู่ตอนนี้ ทำให้เขามั่นใจว่าเขาสามารถเปลี่ยนชะตากรรมตัวเองได้แน่นอน แต่ถึงอย่างนั้น การมีแค่ระบบมันก็ยังไม่เพียงพอ เขาต้องก้าวข้ามกำแพงภูเขาสูงชันแล้วทำความรู้จักโลกใบนี้ให้มากขึ้น
ไปที่สถาบันเวทมนตร์นั้นก็ดูเป็นทางเลือกที่ดีมาก เพราะนอกจากจะได้ไปเปิดโลกกว้างได้เจอกับคนอื่นเรียนรู้ในสิ่งที่เขาทำไม่ได้อีกมากมาย แต่เขายังได้เรียนรู้เวทมนตร์อีกด้วย
ขยายขอบเขตมุมมอง
เรียนรู้เวทมนตร์ “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเลือกเส้นทางแล้วซินะ ดีมาก!”
ตอนที่เห็นสีหน้าของเหมิงเหล่ย ฮัดเดอร์ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา แล้วพูด “อีก1เดือนข้างหน้าข้าจะพาเจ้าไปส่งที่เมืองหลวง แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าเองก็คงต้องหาเงิน10ทองมาจ่ายค่าสอบเวทมนตร์เองนะ เพราะงั้นเตรียมตัวให้พร้อมละ”
“ตั้ง10เหรียญทองเลยเหรอ ขูดรีดกันชัดๆ”
...
การบุกของฝูงคลื่นอสูรนั้นส่งผลกับหมู่บ้านสัตว์เวทมนตร์มากๆ เรื่องอาหารก็แค่ส่วนเดียว แต่วันต่อมาเหล่าคาราวานค้าขายก็แห่กันมาที่หมู่บ้านทันทีที่รู้ข่าวนี้
พวกเขามาเพื่อรับขนสัตว์และหนังสัตว์เพื่อแลกกับเกลือและเหล้า
พวกผู้ใหญ่เองก็แลกของกันกับคาราวาน ในขณะที่พวกเด็กก็หัวเราะและวิ่งเล่นไปรอบๆม้าของคาราวาน หมู่บ้านที่เคยเงียบสงบตอนนี้ต้อนรับความคึกคักและมีบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาขึ้นมา
เหมิงเหล่ยเองก็ขายขนสัตว์กับหนังแลกกับเกลือมานิดหน่อย ตอนแรกเขาเองก็หวังได้เหล้าซักเหยือกเหมือนกัน แต่มันแพงเกินไป แค่หนังกับคนเพียงนิดหน่อยมันไม่พอที่จะแลกได้
ข่าวดีก็คือ การที่เมืองกลับมามีชีวิตชีวานั้นทำให้มีผลึกค่าร่างกายดรอปออกมาเยอะแยะพอสมควร หลังจากที่เหมิงเหล่ยเก็บมาทั้งหมดแล้ว ค่าร่างกายของเขาก็เพิ่มขึ้นมาตั้ง 5แต้ม ซึ่งถือว่ามากกว่าที่คิดไว้ซะอีก
คาราวานค้าขายนั้นออกไปจากเมืองหลังจากพักอยู่วันนึง เหมิงเหล่ยเองก็นอนแต่หัวค่ำหลังจากที่กินข้าวเสร็จแล้ว วันต่อมาเขาออกเดินทางไปคนเดียวพร้อมกับเนื้อตากแห้ง เข้าไปในป่าสัตว์วิเศษ
และนี้เป็นการตัดสินใจหลังจากที่เขาคิดทบทวนมาอย่างดีมากๆแล้ว
ระบบเก็บของที่แข็งแกร่งที่สุดนั้นเป็นเหมือนตัวช่วยที่ยอดเยี่ยม แต่ลูกผลึกนั้นเดิมทีก็ไม่ดรอปออกมาอยู่แล้วถ้าเกิดเขายังอยู่แต่ในบ้าน เขาต้องออกเดินทางไปเสาะหาเอง
ยิ่งกว่านั้น เขาต้องการทอง 10 เหรียญเพื่อใช้ในการสอบเวทมนตร์ แต่เหมิงเหล่ยตอนนี้ยังไม่มีซักแดง
ถ้าไม่มีเงิน ก็บอกลาการสอบได้เลย ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนถ้าเขายังอยู่เฉยๆ เขาก็คงได้แต่นั่งนิ่งๆรอความตายเข้ามาหาแน่ๆ
แน่นอนว่า ถ้าเขามีทางเลือก เหมิงเหล่ยเองก็ไม่เลือกที่จะมาเสี่ยงชีวิตตัวเองเข้าไปในป่าสัตว์วิเศษคนเดียวหรอก แต่ถึงอย่างนั้นเขาเองก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน เพราะตอนนี้เป็นช่วงหลังคลื่นอสูร ทุกๆบ้านตอนนี้เต็มไปด้วยอาหารและเสื้อผ้าหนังกันหมด พวกหน่วยป้องกันก็ไม่จำเป็นต้องออกไปล่าสัตว์ช่วงนี้ เพราะงั้น เหมิงเหล่ยจึงต้องออกไปคนเดียว
ในฐานะที่เป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านสัตว์เวทมนตร์ เหมิงเหล่ยไม่ได้ไม่รู้เรื่องป่าสัตว์วิเศษเลยซะทีเดียว เขารู้แน่ๆว่าที่ไหนปลอดภัยที่ไหนควรอยู่ออกห่าง
สัตว์เวทมนตร์หลายๆตัวอาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้ก็จริง แต่ตามแนวชายขอบป่านั้นจะมีแต่สัตว์ป่าธรรมดาเท่านั้น
ตราบใดที่ฉันยังคงทำนู้นทำนี้อยู่แถวชายขอบป่ารอบนอก ก็คงไม่น่ามีอันตรายอะไรเท่าไร
ป่ารกปรากฏขึ้นมาเบื้องหน้าของเขาทันทีที่เขาออกจากหมู่บ้านไป
ชั้นของใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมากองรวมกันอยู่ใต้เท้าของเขา ในขณะที่ต้นไม้โบราณที่แปลกประหลาดรายล้อมตัวเขาส่งกลิ่นแปลกๆออกมา
มันทั้งเงียบสงบ และอันตรายได้ถึงตาย
มีเสียงคำรามของสัตว์ป่าดังออกมาเป็นพักๆ เหมือนกับเป็นเสียงโหยหวนจากนรก ก้องไปมาทำเอาขนลุกชูชัน คงไม่มีใครกล้าพอที่จะมาเดินเล่นแถวนี้โดยไม่ระวังตัวแน่ๆ
“เอาวะ ถ้ายอมแพ้ตอนนี้ก็เป็นได้แค่ไอ้กระจอก สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือเสี่ยงชีวิตแล้วสู้ต่อไป หนทางสู่คนแกร่งเริ่มขึ้นตอนนี้ละ!”
เหมิงเหล่ยหายใจเข้าลึกๆให้กำลังใจตัวเอง สายตาของเขามุ่งมั่นและกล้าแข็ง เขามุ่งหน้าตรงเข้าไปในป่าโดยไม่หันหลังกลับมา ป่านั้นทึบไปด้วยใบไม้หนาและแน่นจนบดบังแสงอาทิตย์ส่วนใหญ่ไว้ มีเพียงแสงที่เล็ดลอดออกมาเป็นเส้นบางๆเท่านั้นที่ทำให้พอมองเห็น เขามองเห็นมดตัวขนาดเท่าลูกนัท หนอนทที่มีหนามแหลมอยู่ทั่วทั้งตัวค่อยๆคลานบนต้นไม้ ใส้เดือนที่ตัวหนาเท่าแขนขนกลิ้งไปมาใต้ใบไม้แห้งเผยให้เห็นผิวสีแดงสดของมัน
เหมิงเหล่ยพบว่าทุกๆอย่างที่อยู่ตรงหน้าเขานั้น มันทั้งใหม่และน่าทึ้งมากๆ
แผล่ะ
ทันใดนั้นเสียงแหยะๆก็ดังขึ้นมาใต้เท้าของเขา เหมิงเหล่ยยกเท้าของเขาขึ้นมามองปรากฏว่าเขาเผลอดันไปเหยียบหนอนสีขาวตัวหยุยๆขนาดทั่วฝ่ามือเข้า
“ติ้ง สังหารหนอนเส้นขาว ได้รับ 2เหรียญทองแดง”
(⊙o⊙)
“หาเงินแบบนี้ก็ได้เหรอวะ?!”