บทที่ 42 ข้อจำกัดของวัสดุ(อ่านฟรี25-01-2021)
เมื่อซูยี่เดินเข้าไปในโรงงานเครื่องจักรเวทมนตร์คนแคระทั้งร้อยคนในโรงงานกำลังทำงานอย่างหนัก
คนแคระทั้งร้อยแบ่งส่วนการทำงานอย่างชัดเจน ส่วนหนึ่งมีหน้าที่ผลิตเครื่องรีดเกลียวและเครื่องจักรเวทมนตร์อื่น ๆ ที่ใช้ในการผลิตพัดลมเวทมนตร์ อีกส่วนหนึ่งมีหน้าที่ในการค้นคว้าเครื่องเก็บเกี่ยวเวทมนตร์ที่ซูยี่มอบหมายให้
(เครื่องเก็บเกี่ยวตามที่ผมหาความหมายของมันในอากู๋ น่าจะเป็นเครื่องที่เอาไว้เก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตนะถ้าผมเข้าใจไม่ผิด)
ในเวลานี้เขาเน้นการวิจัยเกี่ยวกับเครื่องเก็บเกี่ยวเวทมนตร์
หลังจากได้คุยกับวิสเคานท์เลสลี่ครั้งสุดท้ายซูยี่เชื่อว่าเทคโนโลยีการทำเกษตรมีโอกาสเติบโตอย่างมากในทวีปไซน์ดังนั้นเขาจึงเริ่มค้นคว้าทันทีที่เขากลับมา
เนื่องจากพวกเขากำลังจะเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงเป้าหมายของซูยี่ในตอนนี้คือการผลิตเครื่องเก็บเกี่ยวขนาดเล็ก
การวิจัยถูกแบ่งหน้าที่ออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือซูยี่และสเตลล่าพวกเขาศึกษารูปแบบเวทมนตร์ที่จะใช้เป็นแกนหลักสำหรับเครื่องเก็บเกี่ยว ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งคือคนแคระที่มีหน้าที่ค้นคว้าโครงสร้างด้านนอกของเครื่องเก็บเกี่ยว
งานที่ซูยี่รับผิดชอบนั้นสำคัญที่สุดเขาต้องรวมรูปแบบเวทมนตร์เข้ากับโครงสร้างของเครื่องเก็บเกี่ยวอย่างสมบูรณ์แบบ ในการทำเช่นนี้เขาต้องการข้อมูลที่เป็นประโยชน์จำนวนมากเพื่อสนับสนุนงานนี้ ด้วยเหตุนี้เขาาจึงต้องวิ่งไปมาระหว่างห้องวิจัยที่อยู่ในและนอกของเมืองบันต้าในช่วงสามวันที่ผ่านมา
การทำงานหนักมีผลตอบแทนแน่นอน หลังจากช่วงเวลาของการวิจัยเครื่องเก็บเกี่ยวเวทมนตร์ขนาดเล็กได้เกิดขึ้นแล้ว ในห้องทดลองนี้คนแคระที่รับผิดชอบในการค้นคว้าเครื่องจักรเวทมนตร์ได้สร้างเครื่องเก็บเกี่ยวที่เกือบจะเหมือนกันกับของโลกเดิมของเขาแล้วและตอนนี้พวกเขาเพิ่งจัดการกับข้อบกพร่องทั้งหมด
เมื่อพวกเขาเห็นซูยี่เข้ามาแคมบี้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการของโรงงานนี้ก็เข้ามา
“เฮ้ซู … ... โอ้ไม่ประธานเจ้่ามาดูเครื่องเก็บเกี่ยวใช่มั้ย” แคมบี้ยกแขนที่เต็มไปด้วยมันกล้ามขึ้นเพื่อทักทายซูยี่
“ไม่เป็นไรแคมบี้ จะเรียกชื่อข้าตรงๆเลยก็ได้” ซูยี่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม“ใช่แล้ว เจ้าไม่เห็นรึว่าข้าวสาลีที่ทุ่งของลอร์ดวิสเคานท์ใกล้จะได้เวลาเก็บเกี่ยวแล้ว หากเราไม่รีบทำเครื่องเก็บเกี่ยวให้ทันกว่าจะได้ใช้มันเราก็ต้องรออีกอย่างน้อยครึ่งปี”
“สบายใจได้ เพราะไม่กี่วันมานี้พี่น้องของเราทำงานอย่างหนักจนในที่สุดก็ทำสำเร็จแล้ว เหลือแค่จุดที่ต้องแก้ไขไม่กี่จุดคงอีกไม่นานหรอกที่มันจะสามารถเอามาใช้งานได้จริง”
“อืมรู้จุดที่ต้องแก้ไขตอนนี้ดีกว่าใช้งานไปแล้วมีปัญหาล่ะนะ”
ซูยี่กับแคมบี้เดินไปหาคนแคระที่กำลังทดสอบเครื่องเก็บเกี่ยว หลังจากถามคำถามไม่กี่คำเขาก็พบว่าปัญหาที่พวกเขาพบในตอนนี้คือหลังจากใช้เครื่องด้วยความเร็วสูงสักพักเครื่องมันจะทำงานติดขัด
ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบ ซูยี่ก็รู้ว่าปัญหามันคืออะไร ปัญหาอยู่ที่ลูกปืนอย่างแน่นอน
อย่างที่คาดไว้เมื่อเขาเปิดมันออกดูก็พบว่ามีรอยขีดข่วนบนก้านของเครื่องเก็บเกี่ยว ทำให้มีรอยบุบหลายจุด เพราแบบนี้มันเลยส่งผลต่อการหมุน
ซูยี่ไม่สามารถทำอะไรกับปัญหานี้ได้เลย เพราะนี่เป็นปัญหาเกี่ยวกับวัสดุที่ใช้ทำตลับลูกปืน(bearing)
เนื่องจากเทคโนโลยีการถลุงเหล็กบนทวีปไซน์นั้นีความสามารถที่จำกัด โลหะผสมที่ทนต่อการสึกหรอและยืดหยุ่นยังไม่ปรากฏในตอนนี้
ไม่ว่าจะใช้เหล็กขาวหรือเหล็กเทาเห็นได้ชัดว่ามันไม่เพียงพอที่จะสร้างตลับลูกปืนที่ต้องทนต่อการหมุนด้วยความเร็วสูงแบบนี้้
แม้ว่าพัดลมเวทนมตร์จะหมุนด้วยความเร็วสูงเช่นกัน แต่แรงขับเคลื่อนของพัดลมเวทมนตร์ก็ไม่ได้ทรงพลังขนาดนั้นดังนั้นแรงกดดันจึงไม่แรงเกินไป เพียงแค่ใช้เหล็กธรรมดาในการสร้างมันก็เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว แต่เมื่อพูดถึงเครื่องเก็บเกี่ยวปัญหามันจะเกิดได้ง่ายมากเพราะแรงขับเคลื่อนที่ทรงพลังของเครื่องเก็บเกี่ยวนั้นมีมหาศาล
ปัญหาเรื่องวัสดุไม่ใช่สิ่งที่ซูยี่จะแก้ปัญหาได้ในตอนนี้ เขาทำได้แค่คิดหาวิธีและอะลุ้มอล่วยเท่านั้น เขาให้คนแคระติดตั้งลูกกลิ้งเหล็กบนตลับลูกปืน วิธีนี้จะช่วยลดผลกระทบของการเสียดสีและช่วยให้ตลับลูกปืนมีอายุการใช้งานนานขึ้นเล็กน้อย
แน่นอนว่านี่จะทำให้กำลังขับลดลงด้วย ดังนั้นซูยี่จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพิจารณาปรับแต่งรูปแบบเวทมนตร์เพื่อให้รูปแบบเวทมนตร์ปลดปล่อยพลังได้เพียงพอ
“เห้อเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ระบบอุตสาหกรรมของทวีปก็อ่อนแอเกินไป หากเป็นเหมือนบนโลกที่มีโลหะผสมที่มีเหล็กเป็นส่วนผสมกว่าสิบชนิดปัญหานี้จะเกิดเหรอ?” เมื่อมองไปที่คนแคระที่เริ่มทำงานอย่างหนักเนื่องจากการดัดแปลงเพียงเล็กน้อยของเขาซูยี่ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและลอบถอนหายใจ
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ซูยี่ก็คิดถึงห้องปฏิบัติการวิจัยวัสดุของเขาในหมู่บ้านของคนแคระ
แม้ว่าเขาจะให้เงินเดือนห้าร้อยเหรียญทองกับปรมจารย์เผ่าคนแคระทั้งร้อยคนนั้นดูเหมือนจะไม่ค่อยได้อะไร แต่ในใจของเขาก็ยังตั้งความหวังไว้อยู่ลึกๆ
หากคนของเผ่าคนแคระของสามารถสร้างความก้าวหน้าในการวิจัยวัสดุนี้ได้เงินห้าร้อยเหรียญทองต่อเดือนก็คุ้มค่า
แน่นอนว่าในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรเครื่องกลซูยี่รู้ดีว่าจะการค้นคว้าวัสดุนั้นต้องค่อยเป็นค่อยไป พวกเขาสามารถเดินหน้าได้ทีละนิดเท่านั้นพวกเขาไม่สามารถเร่งเรื่องนี้ได้เลย
“ลืมมันไปซะ ยังไงสิ่งที่เรียกว่าผู้เชี่ยวชาญ์ด้านวิศวกรรมก็มีอยู่เพื่อแก้ปัญหานี้ สถานการณ์ที่มีจำกัด นั่นคือจุดที่คนอย่างเรามีค่า”เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ซูยี่ก็ปรับอารมณ์ของตัวเอง
จากนั้นเขาก็คิดว่าเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้เขาจะต้องทำการทำให้โครงสร้างนั้นสอดคล้องกับรูปแบบเวทมนตร์ เมื่อเขานึกถึงรูปแบบเวทมนตร์ซูยี่ก็นึกถึงเด็กผู้หญิงสองคนที่กำลังศึกษารูปแบบเวทมนตร์อยู่ที่สำนักงาน
“แย่ละข้ามัวแต่จดจ่ออยู่กับงานที่นี่จนเกือบลืมทั้งสองคนนั้นไปแล้ว” ซูยี่ตบต้นขาของตัวเอง เขาหันไปพูดกับแคมบี้สองสามคำก่อนออกจากห้องทำงานและรีบกลับไปที่สำนักงาน
“ขอโทษนะข้ามัวแต่ยุ่งกับเรื่องอื่น… ..” เมื่อซูยี่เปิดประตูไปที่ห้องสำนักงานเขาอยากจะขอโทษ แต่เขาพบว่าแคลลี่และอีวิต้านอนแผ่หราอยู่บนโต๊ะโดยสังเกตุพิมเขียวเครื่องจักรเวทมนตร์ที่อยู่ตรงหน้าที่เขาให้เป็นบททดสอบ เขาก็หยุดพูดทันที
ซูยี่ยืนอยู่ข้างประตูสักพักเคลลี่ดูเหมือนจะเมื่อยเล็กน้อยดังนั้นเธอจึงยืดตัวออกและในที่สุดเธอก็สังเกตเห็นซูยี่
“ หืม? ประธานเจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”แคลลี่ถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
เมื่อได้ยินแคลลี่พูดขึ้น อีวิต้าก็รู้สึกประหลาดใจก่อนจะหันไปทางซูยี่
ซูยี่เผยรอยยิ้มจาง ๆ “ข้าเห็นว่ามันนานแล้วเลยกะจะเข้ามาดู แต่เมื่อเห็นว่าพวกเจ้ากำลังมีสมาธิกับงานตรงหน้าข้าเลยไม่กล้ารบกวนพวกเจ้าน่ะ”
“รบกวนอะไรกัน” แคลลี่เอื้อมมือไปแตะหัวของตัวเองก่อนจะบ่นว่า“ประธานคะพิมพ์เขียวที่เจ้าให้พวกเรามันยากจริงๆ อีวิต้ากับข้าศึกษาตั้งนานก็ยังไม่ค่อยเข้าใจมันเลย เจ้าคิดว่าเราโง่เกินไปมั้ยที่แค่ศึกษามันพวกเรายังทำไม่ได้เลย?”
“จะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไร” ซูยี่หัวเราะ“พูดตามตรงนะข้าใช้เวลาตั้งหลายวันกว่าจะวิจัยพวกมันและลงมือทำได้น่ะ หากเจ้าสามารถแก้ปัญหาทั้งหมดนี้ได้ในเวลาอันสั้นเจ้าจะเชื่อไหมว่าี่าจะให้เงินเดือนพวกเจ้าหนึ่งร้อยเหรียญทองเลย”
แคลลี่อดไม่ได้ที่จะกลอกตาไปที่ซูยี่“เจ้าก็รู้ว่าเราทำไม่ได้ยังจะมาพูดเรื่องเงินเดือนนั่นอีก”
ขณะเดียวกัน อีวิต้าให้ความสนใจกับเรื่องอื่นมากกว่า“ประธานเจ้าหมายความว่าการวิจัยพวกนี้เป็นสิ่งที่เจ้าทำไปแล้ว?เอ่อ… ... ข้าพอจะข้อดูผลงานนั่นหน่อยได้มั้ย”
ซูยี่ส่ายหัว“ข้ากลัวว่าจะทำไม่ได้เพราะผลงานนั่นเป็นความลับของบริษัทเรา เราไม่สามารถให้คนอื่นเห็นได้ง่ายๆ”
อีวิตาถอนหายใจอย่างผิดหวังจากนั้นเธอก็ฟุบหัวลง
“แน่นอนว่าถ้าเจ้าเข้าร่วมกับบริษัทของเราอย่างเป็นทางการมันจะไม่เป็นความลับสำหรับเจ้าอีกต่อไป” ซูยี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
แคลลี่พูดด้วยน้ำเสียงหดหู่“ประธาน...งานวิจัยที่เจ้าให้เราเราก็แก้ปัญหานั่นไม่ได้แล้วเจ้ายังจะให้เราเข้าบริษัทอยู่อีกเหรอ?”
“นั่นไม่แน่” ซูยี่ส่ายหัวด้วยรอยยิ้มจาง ๆ “ให้ข้าดูวิธีแก้ปัญหาของเจ้าก่อน”
เขารับกระดาษมาจากทั้งสองคนซูยี่มองไปที่กระดาษตรงหน้าอย่างจริงจังและเขาอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
แม้ว่าพวกเขาสองคนจะไม่ได้ให้คำตอบที่สมบูรณ์ตามความคิดที่พวกเขาเขียนบนกระดาษ แต่ซูยี่ก็รู้สึกว่าสมแล้วที่พวกเธอจบจากสถาบันเวทมนตร์ลัมปุรี พวกเขามีความเข้าใจเกี่ยวกับเวทมนตร์สูงมากและความคิดที่พวกเขามีอยู่ในระดับที่สูงมากพวกเธอแม้กระทั่งเข้าใกล้คำตอบที่ถูกต้องที่ซูยี่ตั้งไว้ด้วยซ้ำ
จากความคิดเห็นที่ทั้งสองแสดงออกมาจะเห็นถึงบุคลิกภาพที่แตกต่างกันระหว่างทั้งสองคน
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ความคิดเห็นของแคลลี่มีความกระตือรือร้นมากกว่าแสดงออกอย่างไร้ข้อจำกัด มีแนวคิดที่กล้าหาญมากในวิธีการของเธอซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
สำหรับอีวิต้าเธอเป็นแบบดั้งเดิม แต่ก็เห็นได้ว่าเธอมีรากฐานที่มั่นคงมาก ทุกขั้นตอนของการแก้ปัญหาของเธอมั่นคงมากและความคิดโดยรวมของเธอใกล้เคียงกับความสมบูรณ์แบบ
หากให้เวลาอีวิต้ามากพอเขาเชื่อว่าเธอจะสามารถแก้ปัญหาได้ในที่สุด
หลังจากดูเอกสารเหล่านี้แล้วซูยี่ก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันที
แม้ว่าเพื่อนร่วมชั้นสองคนของสเตลล่าจะไม่ใช่นักเวทย์ที่แข็งแกร่ง แต่ก็เป็นไปตามที่สเตลล่าพูดทั้งสองคนมีความสามารถพอที่จะทำงานในห้อง้วิจัยของเขา
หากรวมทั้งสองคนบวกกับสเตลล่า ซูยี่จะมีผู้ช่วย่เชื่อถือได้สามคน มันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวิจัยเวทมนตร์ของเขาได้อย่างมาก
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ซูยี่ก็วางเอกสารลงและมองเข้าไปในดวงตาที่คาดหวังของพวกเธอ เขาเผยรอยยิ้มที่สดใสและกล่าวว่า“ข้าต้องบอกว่าเจ้าทั้งสองมีความโดดเด่นอย่างแท้จริง ตรงกับความต้องกานของห้องวิจัยของหอการค้าเฟรสเทคอย่างสมบูรณ์แบบ ข้าขอถามว่าเจ้าทั้งสองคนยินดีจะร่วมงานกับหอการค้าเฟรสเทคของเราหรือไม่”