ตอนที่ 172 สามีข้าเป็นฆาตกร
“ที่นี่มีอะไรหรอคะ”
พราวจันทร์ถาม เมื่อเห็นว่าเหนือภพพาเธอมาที่อาคารไม้เก่าโทรม ที่อยู่กลางเขตชุมชนแออัด เธอจำได้แม่นยำว่าที่นี่คือสถานที่ที่พวกเธอพาไลลามารักษา เธอจะไม่ได้ลงจากรถม้าก็ตาม
เหนือภพตั้งใจมาหาแม่เฒ่าชุดขาว แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด ยังไม่ทันที่เหนือภพจะก้าวผ่านเขตประตูรั้วเข้าไป แม่เฒ่าชุดขาวก็มาปรากฏขวางเหนือภพเอาไว้
“ถ้าเอ็งอยากรู้อะไร ให้ไปที่วิทยาลัยอาชีวะปัญญา เรื่องทุกอย่างมันเริ่มต้นที่นั่น มันจะให้คำตอบได้ดีที่สุด”
พูดจบแม่เฒ่าก็แวบหายไป เธอไม่ได้เดินหรือวิ่ง เธอแค่แวบหายไป
“เดี๋ยวสิแม่เฒ่า”
เหนือภพหันมองหน้าพราวจันทร์ที่เวลานี้ต่างก็งุนงงพอกัน ขณะที่พวกเขากำลังจะย้อนกลับมาทางเก่า จู่ ๆ หน่วยมือปราบของเมืองปัญญาก็เคลื่อนตัวมาถึง เสียงตะโกนร้องเพื่อหยุดม้าดังขึ้นอย่างเอิกเกริก พร้อมกับเสียงวิ่งของกลุ่มคนจำนวนมาก ตรงเข้ามายังอาคารเก่าแห่งนี้
“กั้นพื้นที่ ส่งฝ่ายพิสูจน์หลักฐานเข้าไป จับตัวผู้ต้องสงสัยมาให้หมด”
เสียงของหัวหน้ามือปราบเมืองปัญญาดังขึ้น มือปราบกลุ่มหนึ่งก็พุ่งเข้ามาล้อมเหนือภพกับพราวจันทร์เอาไว้
“พวกเจ้าเป็นใคร เกี่ยวข้องอะไรกับผู้ตาย”
หัวหน้ามือปราบยิงคำถามด้วยความหนักแน่น เขายังนั่งอยู่บนหลังม้า และด้วยเครื่องแบบเต็มยศรวมกับม้าอสูรชั้นดี ยิ่งขับเน้นให้หัวหน้ามือปราบดูน่าเกรงขาม
เหนือภพงุนงงในคำถาม ยังไม่ได้ตอบอะไร พราวจันทร์ก็พูดขึ้นก่อน
“เอ่อ ไม่ทราบว่าใครตายเจ้าคะ ?”
แค่ได้ยินเสียงของพราวจันทร์ มือปราบแต่ละคนก็หน้าแดงขึ้นมา หัวหน้ามือปราบลงจากหลังม้าอสูร แล้วก็รีบจัดแต่งเครื่องแบบให้เข้าที่ เขากระแอมเบา ๆ เชิดหน้าอกผายไหล่ผึ่งเดินเข้ามาอย่างองอาจ
“พอดีว่ามีเหตุฆาตกรรมที่นี่ ข้าจึงอยากเชิญแม่หญิงไปที่ว่าการ เพื่อสอบปากคำสักเล็กน้อย อ้อ เจ้าด้วย”
“ไปทำไม พวกข้าไม่ได้ทำอะไรผิด”
เหนือภพโพล่งขึ้นมารู้สึกไม่พอใจที่สายตาของมือปราบคนนี้จ้องเมียเขาเขม็ง ดูปราดเดียวก็รู้ว่าคิดไม่ซื่อ แต่พราวจันทร์กุมมือเหนือภพไว้ก่อน
“ได้เจ้าค่ะ”
พราวจันทร์เองก็ไม่ได้รู้สึกชอบใจนัก แต่ในเมื่อพวกเธอไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่ควรก่อปัญหา ยิ่งเป็นคนต่างถิ่นด้วยแล้ว หากมีปัญหากับคนพื้นที่การทำภารกิจก็จะยากขึ้นไปอีก
เหนือภพกับพราวจันทร์ถูกเชิญตัวไปที่ว่าการเมือง ที่นั่นเป็นศูนย์รวมของหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงหน่วยมือปราบด้วย เหนือภพและพราวจันทร์ถูกแยกตัวกันสอบสวน
เหนือภพกำลังนั่งเซ็งอยู่ภายในห้อง ขณะที่เจ้าหน้าที่สืบสวนคนหนึ่งคว้าอาวุธของเหนือภพที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาพิจารณา
“เจ้าเป็นฮันเตอร์จากแผนกเฉพาะกิจจริงหรือ ทำไมข้าไม่เคยได้ยินชื่อแผนกนี้มาก่อน”
“เฮอะ”
เหนือภพคร้านจะอธิบายแล้ว เขาได้บอกทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่บอกได้ไปแล้ว แต่ดูเหมือนมือปราบพวกนี้จ้องจะหาเรื่องเขาให้ได้ ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วเขาเคยไปเผาบ้านพวกมือปราบมารึไงนะ พวกนี้ถึงได้ตามจองเวรเขาจริง ๆ
“ถึงเจ้าจะมีเอกสารยืนยันว่าเป็นฮันเตอร์จริง ซึ่งฮันเตอร์แรงค์ D ก็ถือว่าระดับสูงใช่ย่อย แต่เจ้าเป็นคนไร้พรสวรรค์ ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าเจ้าไม่ได้หลอกข้า เจ้าอาจจะทำเอกสารปลอมขึ้นมาก็ได้ ข้าเจอพวกแอบอ้างเช่นนี้มานักต่อนักแล้ว”
“ไหนจะอาวุธพวกนี้อีก ดาบ มีดสั้น หอกยาว ไหนจะแส้นี่อีก คุณภาพของมันสูงมาก ข้าจะมั่นใจได้ยังไงว่าเจ้าไม่ได้ขโมยมันมา”
เหนือภพกุมขมับ ถ้าหากเมียจ๋าไม่บอกให้เขาใจเย็น ต้องอดทนเอาไว้ เขาคงทำอะไรสักอย่างไปแล้ว เขาจึงทำได้เพียงนั่งนิ่ง ๆ ฟังคำถามแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
ก๊อก ก๊อก
“ขออนุญาตครับ”
เจ้าหน้าที่มือปราบที่อยู่ด้านนอกเข้ามาในห้องสืบสวนของเหนือภพ ก่อนจะพูดขึ้นกับเจ้าที่สอบสวน
“เราตรวจสอบบาดแผลบนศพแล้ว ตรงกับอาวุธของชายผู้นี้ทั้งหมดเลยครับ”
“ห่ะ” เหนือภพที่นั่งเอนหลังเหยียดขาอย่างเซ็ง ๆ ถึงกับสะดุ้ง เมื่อกี้เขาได้ยินว่าอะไรนะ
“ไอ้ฆาตกรปากแข็ง ครั้งนี้เจ้าไม่รอดแน่ เด็ก ๆ เอาตัวมันไปขังคุก”
พริบตาต่อมามือปราบสองคนก็วิ่งตรงมาในห้องสอบสวน พร้อมโซ่ตรวนแขนขา
เหนือภพบิดยืดกล้ามเนื้อคอตัวเอง ก่อนจะพึมพำออกมาเบา ๆ
“ไอ้พวกสารเลวนี่รู้จักข้าน้อยไปซะแล้ว”
เหนือภพดีดตัวลุกจากที่นั่ง แล้วก็พุ่งไปจับคอเสื้อของเจ้าหน้าที่สอบสวนในเวลาเพียงชั่วพริบตา ก่อนจะกระชากร่างของเจ้าหน้าที่สอบสวนยกสูงขึ้น แล้วเหวี่ยงไปกระแทกโต๊ะไม้ใหญ่ที่อยู่ตรงกลางห้องดังปัง ! โต๊ะไม้เนื้อแข็งแตกออกเป็นสองส่วน เมื่อเจ้าที่คนอื่น ๆ เห็นเหนือภพขัดขืนก็พุ่งเข้ามาล้อมจับ ต่อให้พวกเขาเป็นมือปราบที่มีปราณอาคมระดับแข็งแกร่งพอตัว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเหนือภพ ปราณอาคมที่ปลดปล่อยออกมาแต่ละครั้งก็เป็นได้แค่เม็ดทรายที่มากระทบร่างของเหนือภพเท่านั้น นอกจากให้ความรู้สึกคัน ๆ มันก็ไม่ได้ทำให้เหนือภพรู้สึกอะไรอีก
เสียงโครมครามผสานกับเสียงอุทานด้วยความเจ็บปวด ดังไปถึงห้องที่พราวจันทร์กำลังถูกสอบสวนอยู่ หัวหน้ามือปราบยิ้มกว้าง ดูเหมือนลูกน้องของเขาจะทำหน้าที่ได้ดีจริง ๆ หากเจ้านั่นตายไปได้ก็ยิ่งดี
“เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ”
พราวจันทร์ที่กำลังนั่งด้านตรงข้ามหัวหน้ามือปราบ ถามอย่างร้อนใจ
“คงเป็นพวกมือปราบกำลังซ้อมมือกัน เอาล่ะช่างเรื่องพวกนั้นเถอะ เรามาคุยกันต่อเถอะนะจ๊ะ เจ้ายังไม่รู้ใช่ไหมว่าสามีเจ้าเป็นฆาตกรที่ทางการกำลังตามจับ”
“หา ! จริงหรือเจ้าคะ สามีข้าเป็นฆาตกรหรือเจ้าคะ”
พราวจันทร์ตกใจยกมือขึ้นปิดปาก แววตาเธอสั่นไหวอย่างไม่เชื่อ ขณะที่หัวหน้าเมืองปราบหยิบเอาใบประกาศจับของเหนือภพขึ้นมาให้พราวจันทร์ดู
“เจ้าเห็นหรือเปล่า เขามีคดีติดตัวเป็นหางว่าว มีคดีฆ่าคนตายหลายคดี และในคดีนี้ถ้ามีสาวงามช่วยเป็นพยาน ให้ข้าจับตัวคนสารเลวนี่มารับโทษตามกฎหมาย ข้ารับรองว่าข้าจะช่วยไม่ให้เจ้าได้รับโทษไปด้วย”
“ไม่ ๆ ไม่ได้ ข้าทำไมได้ เขาดีต่อข้า ต่อให้เลวยังไงเขาก็เป็นสามีของข้า”
พราวจันทร์เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น ท่าทางน่าสงสารอย่างยิ่ง หัวหน้ามือปราบเห็นเช่นนั้นก็มีสีหน้าเศร้าใจ ทั้ง ๆ ภายในใจกำลังยิ้มกว้าง
“เจ้าก็รู้นี่ กฎหมายของแคว้นอมตะร้ายแรงแค่ไหน เมื่อโจรชั่วทั้งหลายถูกจับได้ โทษคือประหารยกครัว ไม่มีข้อยกเว้น แต่เจ้าไม่ได้ทำผิด หากเจ้าตายไปด้วยมันก็ไม่ยุติธรรม ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นหญิงอ่อนแอ ได้แต่คล้อยตามสามี ฉะนั้นเจ้าเป็นแค่คนบริสุทธิ์ ขอเพียงเจ้ามาเป็นพยาน ข้าสามารถช่วยเจ้าให้รอดตายได้”
พราวจันทร์ได้ยินเช่นนั้นก็มีแววตาลังเล
“แล้วข้าจะเป็นยังไงต่อไปคะ”
พราวจันทร์ถาม พลางยกชายกระโปรงขึ้นซับน้ำตา ทำให้เรียวขาขาวเผยออกมาแวบหนึ่ง
“เรื่องนั้นเจ้าสามารถเลือกได้ แต่ถ้าเจ้ามาอยู่กับข้า รับรองได้ว่าเจ้าจะสุขสบายไปตลอดชาติ”
“เรื่องนี้...ข้าขอคิดดูก่อนนะเจ้าคะ”
เมื่อพราวจันทร์ตอบเช่นนั้น หัวหน้าเมื่อปราบก็หัวเราะออกมาทันที
“ได้ ๆ ข้าจะรอฟังคำตอบของเจ้า”
ความรู้สึกของหัวหน้ามือปราบในตอนนี้แสนจะดีใจ เขาสามารถกุมทุกอย่างเอาไว้ในมือเรียบร้อย สาวงามหายากเช่นนี้ไม่แคล้วต้องตกเป็นของเขา นี่แหละรางวัลของยอดบุรุษ
ปัง !
“รอกะผีน่ะสิ”
เหนือภพถีบประตูห้องเข้ามา แล้วก็ตะโกนเสียงดัง บานประตูหลุดออกจากวงกบแล้วพุ่งเข้าหาหัวหน้ามือปราบอย่างรวดเร็ว แต่หัวหน้ามือปราบไม่ใช่คนอ่อนหัดเช่นนั้น เพียงสะบัดมือเบา ๆ เขาก็ทำลายประตูจนหักเป็นสองท่อนด้วยปราณอาคม
“เป็นแค่คนไร้พรสวรรค์ เจ้าไม่ใช่คู่มือของข้า ขุนดำคนนี้หรอก มา ! เข้ามา ข้าจะสอนให้เจ้ารู้ว่าอะไรที่เรียกว่าความ….”
หัวหน้ามือปราบพูดยังไม่ทันจบประโยค เหนือภพก็เข้าประชิดตัว เขาชกแก้มขวาของหัวหน้ามือปราบทันที โดยไม่ต้องมากความ หัวหน้ามือปราบเซตามแรงหมัด ร่างพุ่งไปกระแทกกับผนังกำแพงจนทะลุออกไปครึ่งตัว หมัดเดียวสลบเหมือดคาที่
พราวจันทร์นั่งไขว้ขาเห็นอ่อนขาวนวล เธอยิ้มกว้างต้อนรับเหนือภพอย่างอบอุ่น เธอรู้อยู่แก่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ที่เธอไม่ร้อนใจอะไรเลย เพราะเธออยากลองสนุกกับหัวหน้ามือปราบ เผื่อจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมบ้างก็แค่นั้น
เหนือภพจ้องมองพราวจันทร์อย่างไม่พอใจ แต่เขาไม่ได้พูดอะไร นอกจากเข้าไปอุ้มพราวจันทร์แล้วก็เดินออกจากหน่วยมือปราบ ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยความเงียบสงบ มือปราบส่วนใหญ่นอนสลบอยู่บนพื้น ส่วนคนที่ยังมีสติดีก็อยู่ในสภาพที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ มีแต่เสียงร้องโอดโอยคร่ำครวญเท่านั้น
“ท่านพี่ลงมือรุนแรงไปหรือเปล่า”
“พวกมันสมควรได้รับ คิดจะใส่ร้ายข้า มันยังเร็วไปร้อยปี แต่เจ้ากลับ… ฮึ่ย !”
เหนือภพกัดฟันกรอด เขารู้สึกมันเขี้ยวเมียตัวเองนัก นางช่างกล้าเย้ายวนผู้อื่น อยากให้เขาอกแตกตายหรือยังไง
เมื่อเหนือภพจากไป ขบวนม้าของกลุ่มมือปราบและกองทหารอาคมก็เคลื่อนตัวกลับมาถึงที่ว่าการ
“นี่พี่ใหญ่ ยังไงเรื่องนี้ข้าก็ฝากท่านด้วยนะ”
ขุนเจษบอกคีรินทร์ธร ผู้เปรียบเสมือนพี่ชายร่วมสายเลือด คีรินทร์ธรตบบ่าขุนเจษอย่างสนิทสนม
“เอาน่าน้องชายขอมาแบบนี้ พี่ใหญ่คนนี้จะทำให้ผิดหวังได้ไง แต่เจ้าอย่าลืมที่สัญญากับข้านะ ว่าจะพาข้าไปเที่ยวบ้านเจ้าบ้าง”
“ถึงพี่ไม่ขอ น้องคนนี้ก็อยากพาพี่ไปสักครั้งอยู่แล้ว เรื่องนี้ไม่นับว่าเป็นบุญคุณอะไร เอาเป็นว่าพี่ช่วยข้า ข้าจะถือว่าข้าติดหนี้บุญคุณพี่ ต่อให้แลกด้วยชีวิตข้าก็ยินดีตอบแทน”
ขุนเจษพูดแล้วก็ค้อมหัวด้วยท่าทางจริงจัง
“ไอ้น้องบ้าคนนี้ เรื่องแค่นี้มาพูดเรื่องตายได้ไง ปากไม่เป็นมงคลตามเคย เอาล่ะ ๆ เจ้ารีบไปพักผ่อนซะ หากมีเรื่องอะไรเพิ่มเติมข้าจะให้คนไปบอกเจ้า ข้าไปล่ะ”
“โชคดีครับพี่ใหญ่”
ขุนเจษกล่าวลา เขาได้แต่มองพี่ใหญ่ของเขาเดินกลับเข้าไปเขตที่ว่าการ จู่ ๆ ก็มีเสียงตะโกนออกมาจากที่ว่าการ มันดังมาจากหน่วยมือปราบ
“คนร้ายแหกคุก ! คนร้ายแหกคุก !”
เสียงนั่นทำให้กองทหารอาคมที่คอยดูแลความสงบเรียบร้อยในเมือง รู้สึกแปลกใจ ร้อยวันพันปีหน่วยมือปราบไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้ ดังนั้นเรื่องนี้จึงทำให้พวกเขาสนใจ รวมถึงขุนเจษด้วย