ตอนที่ 171 เสียงปริศนา
เหนือภพรอจนพายุออกมาจากอาคารซอมซ่อ ตากนั้นพวกเขาก็พากันไปพักที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในย่านการศึกษาของเมืองปัญญา ที่นั่นเต็มไปด้วยความสะดวกสบายและความเจริญที่ไม่ด้อยไปกว่าเมืองหลวงเลย แต่ความเจริญของที่นี่ไม่ได้หมายถึงความหรูหราหรือสิ่งบันเทิงเริงรมย์ ทว่าเป็นความเจริญทางด้านการศึกษา ร้านค้าส่วนใหญ่ขายตำราการช่างแขนงต่าง ๆ รองลงมาก็เป็นร้านค้าขายอาวุธ ชุดเกราะ และยาที่มีคุณสมบัติพิเศษ ที่หาซื้อได้ยากในเมืองอื่น ๆ และที่ครึกครื้นที่สุดก็คงเป็นโรงประมูลประจำเมือง ที่มีการนำของต่าง ๆ มาเปิดประมูลซื้อขายกันได้ทุกวัน
เหนือภพพาพราวจันทร์เข้าไปในห้องพักชั้น 3 เขาเลือกห้องกว้างขวางแต่ไม่แพงจนเกินไป ข้าวของที่เหนือภพนำติดตัวเข้ามาก็มีเพียงเสื้อผ้า อาหารและอาวุธบางส่วนเท่านั้น ของส่วนใหญ่เขาเก็บล็อกเอาไว้ในรถม้าอย่างปลอดภัย
“ท่านพี่ ดื่มน้ำชาก่อนค่ะ นี่ก็เลยเวลาอาหารเที่ยงแล้ว รอสักครู่นะคะ เดี๋ยวน้องจะเตรียมอาหารให้”
พราวจันทร์เดินไปรินน้ำชาที่ตั้งไว้รับแขกตรงกลางห้อง อย่างรู้หน้าที่ เธอปรนนิบัติสามีอย่างไม่บกพร่อง และเธอก็อยากให้สามีผ่อนคลายจากความกังวลบางอย่าง ที่สามีเธอคงจะเพิ่งไปพบเจอมา
เหนือภพเข้ามายืนซ้อนพราวจันทร์ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม มีใครก็ไม่รู้กำลังจ้องเล่นงานพวกเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย และเขาก็กังวลว่าเมียจ๋าของเขาจะมีอันตราย เขาค่อย ๆ ถอดสร้อยเบี้ยแก้ออก แล้วสวมให้พราวจันทร์จากทางด้านหลัง
“ใส่ติดตัวไว้ อย่าถอดออกเด็ดขาด หากเจ้าเป็นอะไรไปอีก ข้าก็คงไม่มีหน้าไปพบเจ้าในยมโลก”
“ท่านพี่”
พราวจันทร์หันกลับมาสบตาเขา สายตาของเหนือภพนั้นจริงจังมาก มากจนทำให้เธอเป็นกังวลไปด้วย ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ แม้เธอและสามีจะมีร่างกายแยกกัน แต่ทำไมยามที่เขากังวลหรือเศร้าสร้อย หัวใจเธอถึงรู้สึกตามไปด้วย ราวกับว่าพวกเขาทั้งสองให้หัวใจดวงเดียวกัน
เธอรู้ดีว่าคำพูดเพียงอย่างเดียวไม่สามารถปลอบใจสามีได้ เธอจึงโผเข้ากอดเหนือภพ แล้วบดริมฝีปากจูบเหนือภพด้วยความร้อนแรง เหนือภพตกตะลึงไปครู่ใหญ่ แต่เขาก็โอนอ่อนตามได้ในเวลาต่อมา
เหนือภพอุ้มเธอวางบนเตียงที่อยู่ไม่ไกลนักด้วยความทะนุถนอม และไม่ยอมให้ริมฝีปากแยกออกจากกัน เสื้อผ้าของทั้งคู่ค่อย ๆ หลุดปลิวว่อนไปทั่วห้องอย่างไร้ทิศทาง ริมฝีปากแนบริมฝีปาก เนื้อแนบเนื้อ เรียวขาขาวตวัดรัดเอวที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่น พายุอารมณ์กำลังโหมกระหน่ำ คล้ายกับมีเสียงฟ้าร้องคำรามตลอดเวลา เกิดเป็นคลื่นลมทะเลที่กำลังจะเข้ากระแทกชายฝั่ง เรือลำใหญ่ปล่อยตัวเองลอยไปตามวิถีธรรมชาติ อีกไม่นานมันก็จะถูกคลื่นซัดเข้าเสียบร่องโขดหิน
ก๊อก ! ก๊อก ! ก๊อก !
“หัวหน้าได้เบาะแสแล้ว ทุกคนรออยู่ข้างล่างนะ”
ทิวตะโกนบอกเสียงดัง แล้วก็วิ่งจากไปโดยไม่รอคำตอบ
ตึง !
เหนือภพต่อยหัวเตียงไม้ด้วยความหงุดหงิด ส่วนพราวจันทร์นั้นถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วก็หัวเราะขัน เป็นอย่างนี้ทุกทีสิน่า
เหนือภพกัดฟันกรอด เขาอยากจะบ้าตาย เรือลำใหญ่ยังไปไม่ถึงจุดหมายเลย ยังไม่แม้แต่จะได้เข้าใกล้โขดหิน เจ้าพวกบ้าก็ดันมาฉีกกระชากบรรยากาศคลื่นลมทิ้ง ทำให้เรือลำใหญ่ต้องจมลงก้นสมุทรอย่างช่วยไม่ได้
เหนือภพรีบกระชับเสื้อผ้าอย่างอารมณ์เสีย แล้วก็ตะโกนไล่หลังไป
“ได้ ข้าจะลงไป”
เหนือภพหันมามองพราวจันทร์อย่างเสียดายระคนหมั่นไส้ เพราะพราวจันทร์กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แถมยังทำท่าเย้ายวนเพื่อหลอกล่อเขา แต่งานก็ต้องทำ
‘รีบทำให้เสร็จ ๆ จะได้รีบกลับมาละกัน’
พราวจันทร์ลุกขึ้นมาช่วยเหนือภพใส่ชุดเกราะและเสื้อผ้า ซึ่งกว่าจะถอดกันได้ก็ใช้เวลามากพอควร แล้วตอนใส่กลับคืนก็ช้าพอกัน
“ตั้งใจทำงานนะคะท่านพี่ อ่ะนี่เอาไปกินรองท้องนะคะ ส่วนมื้อหลักเอาไว้ท่านพี่ทำงานเสร็จแล้วค่อยกลับมากิน”
พราวจันทร์ยื่นขนมปังยัดไส้ก้อนโตให้เหนือภพ ด้วยเรือนร่างที่ห่อปิดไม่มิด ทำให้เหนือภพเลือดลมพลุ่งพล่าน
“ใส่เสื้อผ้าดี ๆ แล้วนั่นมันเสื้อคลุมหรือว่าผ้าเช็ดผมกันห๊ะ”
เหนือภพบ่นเธอเล็กน้อยแล้วก็เดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเหนือภพลงมาถึงชั้นล่าง ก็เห็นทุกคนนั่งรอเขาอยู่ที่ชานระเบียงด้านข้างโรงเตี๊ยม ที่ตรงนี้เหมาะสำหรับการนั่งสังสรรค์เป็นหมู่คณะ ได้รับลมธรรมชาติและได้ชื่นชมวิวอันคึกคักของเมืองด้วย
“ได้เรื่องว่ายังไงบ้าง”
เหนือภพถามเข้าประเด็น พลางกัดกินก้อนขนมปังอย่างหงุดหงิด คล้ายกับว่าก้อนขนมปังเคยไปฆ่าพ่อเขามาก่อน
น้ำค้างกับมนต์ที่ได้รับหน้าที่สืบข่าว บอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องที่เขาไปสอบถามมาจากคนในพื้นที่ แล้วก็พบว่ามีบางอย่างแปลกประหลาดเกิดที่เมืองปัญญาจริง แต่จุดเกิดเรื่องนั้นอยู่ทางทิศใต้ของเมือง
“ชาวบ้านแถวนี้บอกว่ารอบ ๆ เหมืองมหาลาภมีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นทุก ๆ วัน ตอนหลังเที่ยงคืนที่นั่นจะมีเสียงกรีดร้องโหยหวน”
“แค่เสียงร้องนี่นะ ถ้ามันดังขนาดได้ยินมาถึงตัวเมืองได้ แล้วทางการไม่คิดจะทำอะไรเลยเหรอ”
ทรายเอ่ยแทรกขึ้น เพราะเธอรู้สึกว่าเรื่องนี้มันดูไม่สมเหตุผลเลยสักนิด เธอจึงหันไปถามพายุแทน
“พี่ใหญ่ พี่เคยอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรอ แล้วในตอนพี่ยังอยู่ มีเหตุการณ์พวกนี้หรือเปล่า”
พายุส่ายหน้า
“ตอนที่ข้าอยู่ ถนนสายนี้ยังไม่สร้างเลย พวกเจ้าเห็นร้านไก่ย่างตรงหัวมุมถนนไหม”
พายุพูดแล้วก็ชี้นิ้วไปทางสี่แยกของถนนเส้นใหญ่ข้างหน้า หากมองจากระเบียงของโรงเตี๊ยมแห่งนี้จะเห็นได้ชัดเจน จากนั้นทุกคนก็จ้องมองร้านไก่ย่างอย่างจริงจัง แต่ก็ไม่มีใครพบเจอความผิดปกติ
“อ้า ข้าเห็นแล้วพี่ใหญ่ มันมีอะไรหรือครับ”
ทิวถามด้วยความสงสัย พายุกระดิกนิ้วเรียกทุกคนเข้ามาใกล้ ๆ พวกเขาจึงก้มหน้าลงมาสุมกันเป็นวงกลม แล้วพายุก็เฉลยให้ทุกคนได้รู้
“ข้ายังไม่รู้จักเลย”
“ห่ะ พี่ใหญ่แบบนี้ก็ได้เหรอ”
ทุกคนมีสีหน้าผิดหวังแบบสุด ๆ
“อะไรกัน ข้าแค่จะบอกว่า เมืองปัญญาไม่เหมือนเดิมแล้ว ข้าจากบ้านไปเกือบยี่สิบปี อะไร ๆ มันก็เปลี่ยนแปลงไปหมด เมื่อก่อนที่ตรงนี้เป็นป่าผลไม้ แล้วที่ว่าการเมืองก็ไม่ได้ตั้งอยู่ตรงนั้น แต่อยู่อีกฟากหนึ่งของเมือง นับประสาอะไรกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่ปี ข้าจะไปรู้อะไร”
“แต่พี่รู้จักเหมืองมหาลาภ”
เหนือภพถาม เขาเคยได้ยินเรื่องเหมืองมหาลาภมาก่อน สมัยที่เขายังคงทำงานเป็นผู้จัดการร้านอาหารที่เมืองโกงกาง เขาเคยได้ยินหนึ่งในลูกค้าพูดถึงเหมืองมหาลาภ ว่าที่นั่นมีการขุดพบแร่หกสี
พายุพยักหน้า แล้วเขาก็มองเหม่อไป ราวกับกำลังนึกย้อนความทรงจำที่แสนไกล
“ใช่ข้ารู้จัก เมื่อก่อนมันเป็นเพียงเหมืองเก่าธรรมดา ๆ ที่ไม่ค่อยมีคนสนใจ แต่หลังจากที่มีคนขุดพบแร่สี่สี ตอนนั้นข้าคงอายุสัก 7 ปี หรือมากกว่านั้น ข้าก็ไม่แน่ใจ หลังจากนั้นผู้ว่าการเมืองก็ได้ทุ่มกำลังคนและแรงงานจำนวนมากให้ลงไปขุดแร่ในเหมือง จนกระทั่งข้าอายุ 13 ปี เมืองปัญญาก็เริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้น แต่หลังข้าออกจากหมู่บ้านไปตอนอายุ 15 ปี ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง จนกระทั่งได้กลับมาอีกครั้งพร้อมกับพวกเจ้า เวลาก็ผ่านมาแล้วเกือบ 20 ปี แต่ถ้าให้ข้าเดา เหมืองมหาลาภคงให้ผลตอบแทนที่ไม่ธรรมดา ไม่งั้นเมืองปัญญาคงไม่เจริญรุ่งเรืองเกือบเท่าเมืองหลวงแบบนี้”
เหนือภพพยักหน้า ก่อนจะหันไปกอดรัวเอวพราวจันทร์ด้วยมือข้างเดียว เธอแต่งตัวและเตรียมอาหารให้เสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเดินมาหาเหนือภพ ใบหน้าเคร่งขรึมของเหนือภพปรากฏรอยยิ้มน้อย ๆ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เขาเดินลงมาจากห้อง
เหนือภพหันกลับมาหาพายุ
“งั้นเรื่องสืบหาที่มาของเสียงประหลาดนั่น ข้าขอยกให้พี่ละกัน แล้วพี่จะให้ใครไปช่วย พี่ก็เลือกเอาได้เลย”
พายุพยักหน้ารับ
“ได้ เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่ข้าขอทำคนเดียว”
“คนอื่นว่าไง”
เหนือภพหันไปถามความคิดเห็นของคนในทีม เมื่อไม่มีใครคัดค้าน เหนือภพก็ตอบตกลงทันที พวกเขาพูดคุยแบ่งหน้าที่กันไปทำ ใช้เวลาไม่นานทุกคนก็แยกย้ายกันไปทำตามแผน
เหนือภพกับพราวจันทร์จำเป็นต้องไปเยือนสำนักงานฮันเตอร์สาขาเมืองปัญญา เพื่อหาข้อมูลเพิ่มและอาศัยโอกาสนี้สำรวจเมืองปัญญาไปด้วย
ยามบ่ายคล้อย บรรยากาศเริ่มเย็น คู่รักทั้งสองเดินจูงมือกะหนุงกะหนิงไปตามเส้นทางสายหลักของเมือง สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านรวงขนาดใหญ่ ที่นี่นับเป็นสรวงสวรรค์ของผู้ไร้พรสวรรค์ได้เลย เพราะมีตำราฝึกสอนงานอาชีพ มีอุปกรณ์สำหรับการเรียนรู้ และเป็นแหล่งวัตถุดิบสำคัญในการทำงานฝีมือทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหาร การทำอาวุธ การทำการเกษตร การเลี้ยงสัตว์ การทำสิ่งทอ การแพทย์ งานศิลปะทุกประเภท รวมถึงการแสดงด้วย และอื่น ๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน
“สนใจอันไหน ลองดูได้เลยเลยนะพ่อหนุ่ม”
“ครับ”
เหนือภพเดินเข้าดูแผงขายอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการขุดแร่ มันดูน่าทึ่งมาก เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาไม่เคยเห็นไม่เคยใช้มาก่อน แต่พอหยิบพวกมันขึ้นมาดูก็พบว่ามันสามารถช่วยแก้ปัญหาของนักขุดแร่ได้หลายอย่าง เขาจึงเลือกดูสินค้าอย่างตั้งใจ ในระหว่างนั้นก็พลันได้ยินเสียงพูดคุยจากร้านข้าง ๆ ด้วย
“ป้าตาล เมื่อคืนป้าได้ยินเสียงมั้ย”
ลูกค้าสาวใหญ่คนหนึ่งชะโงกหน้าเข้าไปหาป้าคนขายดอกไม้ พลางเลือกหยิบดอกไม้สวย ๆ ที่ตัวเองต้องการไปด้วยพร้อมกัน
“เสียงอะไร อย่าบอกนะว่า… อีกแล้วหรอ”
ป้าตาลตกใจถึงกับยกมือทาบอก สาวใหญ่คนนั้นเงยหน้าขึ้นมาพยักหน้าหงึกหงัก
“นั่นแหละ ลุงยศที่แผงขายปุ๋ยเล่าให้ข้าฟังอีกที สงสัยว่าจะมีสัตว์อสูรบุกเมืองเร็ว ๆ นี้แหละ”
“ต๊าย ไม่ใช่ว่าพวกค้าทาสจับคนไปขังไว้หรอกหรอ”
“ใช่หรอป้า เอ แต่จะว่าไปข้าเคยได้ยินพุดซ้อนบอกว่าที่นั่นเป็นที่ฝึกของหน่วยลับแหละ สงสัยจะฝึกหนักมาก”
“น่าคิด”
สาวใหญ่เลือกดอกไม้ได้ครบแล้ว เธอจ่ายเงินแล้วก็กำชับป้าตาลอย่างจริงจัง
“เรื่องนี้เป็นความลับ พุดตานห้ามข้าบอกใคร แต่เห็นว่าเป็นป้าหรอกนะ ดังนั้นป้าห้ามบอกใครนะ”
ป้าตาลพยักหน้าอย่างมั่นใจ
“แน่นอน ป้าจะเหยียบให้มิดเลย”
จากนั้นก็เป็นไปตามที่เหนือภพคิดเอาไว้ ข่าวเรื่องค่ายฝึกหน่วยพิเศษถูกกระจายไปทั่วทุกร้าน แต่ก็ยังมีข่าวลวงข่าวเท็จอีกมากมายที่ไม่สามารถหาต้นตอได้
เหนือภพสำรวจดูสิ่งของทั้งหมดในร้าน แม้เขาจะสนใจหลายอย่างแต่เขาก็ไม่จำเป็นเสียเงินซื้อพวกอุปกรณ์ทุ่นแรง หรือซื้ออุปกรณ์ช่วยชีวิตธรรมดา ๆ ในท้ายที่สุดเขาก็เลือกตำราได้เล่มหนึ่ง มันคือตำราเล่นแร่แปรธาตุระดับพื้นฐาน เหนือภพแปลกใจที่เห็นว่าเรื่องแบบนี้ก็มีอยู่จริง ไม่ใช่แค่เรื่องลวงในข้อสอบ ดังนั้นเขาจึงอย่างศึกษาหาความรู้ประดับสมองบ้าง
“ท่านพี่รู้สึกไหมว่าท่าทางของพี่พายุดูแปลก ๆ”
พราวจันทร์เอ่ยถามขึ้นมาลอย ๆ เหนือภพที่กำลังเดินจูงมือนำหน้าเธออยู่ก้าวหนึ่งหยุดเดินทันที เมื่อเห็นว่าสามีสนใจ พราวจันทร์จึงอธิบายต่อไปว่า
“ท่าทางของเขาดูแปลก ๆ ตั้งแต่เข้าเมืองแล้ว ดูเหมือนกังวลอะไรสักอย่าง ท่านพี่ยังจำได้ไหมคะ ตอนที่พี่กล้าเขาถามถึงเรื่องบ่อนพนัน แต่พี่พายุกลับเปลี่ยนเรื่องคุย”
เหนือภพพยักหน้า เขาเองก็รู้สึกแปลก ๆ เช่นกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าแปลกยังไง พอพราวจันทร์พูดถึงมันก็ทำให้เขารู้สึกว่าควรต้องคิดเรื่องนี้ให้มาก
“ท่านพี่ ธรรมชาติของคนเรามักกังวลกับเรื่องไม่กี่อย่าง แต่ถ้าดูจากนิสัยและประสบการณ์ของพี่พายุ เขาไม่ใช่คนที่จะกลัวอะไรง่าย ๆ ดังนั้นเรื่องกลัวที่จะทำภารกิจก็ตัดไปเลย ถ้าเป็นคนทรยศแล้วกลัวคนจับได้ ด้วยนิสัยสง่าผ่าเผยตรงไปตรงมาเช่นนั้น ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ ที่น้องกังวลคือเรื่องในอดีต เรื่องภายในใจที่ต่อให้เป็นยอดขุนพลก็ยังยากที่จะผ่านไปได้ น้องคิดว่าพี่พายุต้องรู้เรื่องอะไรบางอย่างแน่ ๆ ยิ่งขอไปสืบเรื่องเหมืองมหาลาภคนเดียวแบบนั้นยิ่งน่าสงสัยไปใหญ่”
เหนือภพฟังไปก็ขมวดคิ้วไปด้วย ก่อนจะยิ้มออกมา
“ข้ารู้แล้วจะไปที่ไหนกันดี ไปเถอะ”
เหนือภพกระชับมือพราวจันทร์แล้วก็พาเธอพุ่งออกไปทันที
“เอ๊ะ ! ช้าหน่อยท่านพี่”