ตอนที่แล้วตอนที่ 167 เทพธิดาพิโรธ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 170 มุมมืด

ตอนที่ 169 เมืองปัญญา


“เมียจ๋า อันนี้เจ้าเอาไปไว้ในรถม้าก่อนนะ คันสีเข้ม ๆ ที่จอดอยู่หน้าร้านน่ะ”

เหนือภพพูดจบก็วิ่งกลับไปขนกล่องเสบียงและอาวุธ พราวจันทร์จึงได้แต่ถือห่อเสื้อผ้าเดินไปหน้าร้านพี่พลอย่างสงสัย ตอนนี้มีพ่อค้าเอารถม้ามาจอดรอซื้อน้ำผึ้งมากมาย แล้วเธอจะแยกออกได้อย่างไรว่าคันสีเข้ม ๆ ที่ว่ามันเป็นคันไหน

แต่เมื่อพราวจันทร์เดินมาถึงหน้าร้าน เธอก็ตาเบิกกว้าง เอามือเรียวงามยกขึ้นปิดปากอย่างตกใจ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ารถม้าที่สามีเธอกล่าวถึงคือคันไหน เพราะตอนนี้มันดูโดดเด่นมาก ๆ ตัวรถม้าก็อลังการ ตัวสัตว์อสูรลากก็ดูแปลกประหลาดราวกับสัตว์ในตำนาน นอกจากนั้นยังมีประชาชนมากมายที่กำลังยืนมุงดูรถม้ารุ่นนี้อย่างสนใจ

พราวจันทร์เดินเข้าไปใกล้เรื่อย ๆ เธอจับตามองสัตว์อสูรม้าสีดำอย่างสงสัย รูปร่างหน้าตาแบบนี้มันเป็นพันธุ์อะไรนะ แต่เธอก็ปล่อยคำถามนี้ไว้ก่อน เธอรีบเอาของไปวางไว้ในรถแล้วก็กลับเข้าไปในร้านไปช่วยเหนือภพขนของ

เหนือภพกับพราวจันทร์ช่วยกันขนของขึ้นรถม้าเทพธิดาพิโรธด้วยความเร่งรีบ เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะอธิบายอะไรทั้งนั้น พราวจันทร์เข้าใจดี ตั้งแต่ที่เหนือภพบอกเธอก็เตรียมสัมภาระไว้บ้างแล้ว ดังนั้นสิบนาทีต่อมา รถม้าเทพธิดาพิโรธก็เคลื่อนตัวออกจากหน้าร้านพี่พลมุ่งสู่ประตูทางออกเมืองหลวงทางทิศใต้

เหนือภพนั่งอยู่ข้างนอกที่นั่งของสารถี เขาต้องการควบคุมม้าอสูรด้วยตัวเอง เพราะไม่อยากเปลืองหญ้ากำหนดเส้นทาง พราวจันทร์จึงได้นั่งอยู่ข้างในคนเดียวกับกองสัมภาระ ที่แม้จะมีข้าวของมากมาย แต่เธอก็ยังเหลือที่กว้างไว้นอนเล่น

“ท่านพี่คะ”

“จ๋า” เหนือภพตอบกลับมาผ่านช่องเล็ก ๆ ที่ออกแบบมาเพื่อให้คนภายในได้พูดคุยกับสารถี

“ท่านพี่เอารถม้านี่มาจากไหนหรอคะ”

“น้องฟ้าให้มา นางออกแบบพัฒนาเองเลยนะ”

“งั้นหรอคะ แล้วอสูรม้านั่นล่ะคะ มันเป็นตัวอะไรกันแน่”

“อสูรม้าพันธุ์สีดำไง ก็แค่ถึกหน่อย และก็ดูสวยงามมาก ๆ”

เหนือภพตอบเท่าที่เขารู้ แต่พราวจันทร์ยังคงติดใจสงสัย แล้วเธอก็เรียกตำราจอมปราชญ์ ตำราประจำกายที่ผู้ชี้นำของเธอมอบให้ เธอเปิดค้นหาข้อมูลอยู่พักใหญ่แล้วก็เธอก็พบข้อมูล

“อาชาอสูรมังกรนิล !”

“ห่ะ อะไรนะ”

“มันคืออาชาอสูรมังกรนิลค่ะท่านพี่”

“งั้นหรอจ๊ะ”

เหนือภพไม่ได้สนใจอะไรมาก ตอนนี้เขากำลังสนุกสนานอยู่กับการขับรถม้า นี่เป็นครั้งแรกของเขา เขาจึงตื่นเต้นเป็นพิเศษ อาชาอสูรมังกรนิลสองตัวที่ลากรถม้าพิโรธอยู่ด้านหน้า ช่างดูน่าเกรงขาม มันขับเน้นให้ตัวรถม้าสีดำอมแดงที่ทำจากไม้ประดู่นิลดูหรูหราและแสดงถึงอำนาจ ผสมกลิ่นอายความเก่าแก่ที่แฝงไว้อย่างลึกล้ำ

เมื่อรถม้าเคลื่อนที่พ้นจากประตูเมืองหลวงทางทิศใต้ไป 5 กิโลเมตร รถม้าเทพธิดาพิโรธก็หยุดลงตามคำสั่งของเหนือภพ ในบริเวณใกล้ ๆ กับชายป่าทางทิศใต้ เหนือภพให้พราวจันทร์รอเขาอยู่บนรถม้า เขาจะไปเพียงชั่วครู่เท่านั้น เหนือภพกระโดดลงมาจากรถม้า พร้อมกับส่งจดหมายอาคมที่ถูกเตรียมเอาไว้ มันแปรเปลี่ยนนกอาคมตัวหนึ่งแล้วบินหายไปในอากาศ

จากนั้นไม่นานม้าอสูรหลายตัวก็พากันวิ่งมาจากทิศทางต่าง ๆ มารวมตัวกันที่จุดนัดพบนี้ ได้แก่ พายุ ทราย น้ำค้าง แกล้วกล้า มนต์ และทิว สมาชิกแผนกเฉพาะกิจทั้งหมดมาครบแล้ว เหนือภพเลื่อนสายตาไปยังหญิงสาวที่แต่งกายพิลึกราวกับพวกแม่มดหมอผี เธอนั่งอยู่บนหลังม้าอสูรสีดำตัวหนึ่ง เธอคือไลลา น้องสาวของสางลำไพรนั่นเอง

ไลลารีบลงมาหาเหนือภพ แล้วก็ยื่นจดหมายอาคมให้เหนือภพเพียงผู้เดียว เหนือภพเปิดอ่านในทันที เขาใช้เวลาอ่านค่อนข้างนาน เพื่อไม่ให้รายละเอียดตกหล่น เขาได้เข้าใจแล้วว่าชายหนุ่มกับหญิงสาวที่สางลำไพรเดินทางไปด้วยนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นจิตกับจัน แต่สาเหตุของเรื่องนั้นแปลกจนเขาคิดไม่ถึง ที่แท้แม้หมู่บ้านโอปะจะถูกกำจัดไปแล้ว แต่หมู่บ้านโอปะก็เป็นเพียงสาขาเล็ก ๆ ของขบวนการไร้ศีลธรรม มันยังมีหมู่บ้านอีกมากที่ต้องเผชิญเหตุการณ์เช่นนี้ เพียงแต่ว่ามันถูกปิดบังไว้โดยผู้มีอำนาจหลายฝ่าย

พวกผู้มีอำนาจทั้งหลายก็แสร้งทำเหมือนมันเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญ จิตกับจันที่เคยเผชิญชะตากรรมเช่นนั้นก็ผันตัวเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม พวกเขาไล่กวาดล้างขบวนการอันไร้มนุษยธรรมมาตลอดหลายเดือน จนกระทั่งพวกเขาได้ค้นพบความจริงบางอย่างเกี่ยวกับการทดลองนี้ และสืบจนพบต้นตอของการทดลอง

จิตและจันจึงวางแผนบุกทะลวงเข้าไปทำลายต้นตอที่ว่า แต่พื้นที่ดังกล่าวกลับถูกควบคุมด้วยวิชาไสยเวทย์มนต์ดำชั้นสูง มันเป็นข่ายอาคมป้องกันอันแข็งแกร่ง ต่อให้ผู้มีปราณอาคมชั้นสูงก็ยากที่จะเจาะทะลวงเข้าไปได้ มีเพียงแต่ผู้ที่ใช้วิชาไสยเวทย์ชนิดเดียวเท่านั้นจึงจะเจาะเข้าไปได้ ดังนั้นจิตและจันจึงได้มาขอความช่วยเหลือจากสางลำไพร แต่แล้วเรื่องราวกับพลิกผันอีกครั้ง ในตอนนี้พวกเขาทั้งสามถูกขังอยู่ในข่ายอาคมไสยเวทย์

เหนือภพมีสีหน้าครุ่นคิดขณะพับเก็บจดหมายฉบับสุดท้ายที่สางลำไพรส่งออกมาได้

“ทำไมนางไม่ส่งจดหมายถึงข้าโดยตรง หรือไม่ก็ส่งไปที่สำนักงานฮันเตอร์”

ไลลาอ้ำอึ้งเล็กน้อย เธอไม่กล้าพูดจาส่งเดช เหนือภพหรี่ตามองเธออย่าจับผิด แต่จู่ ๆ ก็เหมือนมีสายฟ้าฟาดเปรี้ยงเข้ามาในใจของเขา สำนักงานฮันเตอร์มีหนอนบ่อนไส้ และเขาก็ถูกใครบางคนเพ่งเล็งอยู่ ไม่แน่ว่าจดหมายอาคมของเขาทั้งหมดอาจจะถูกใครคนนั้นสอดแนมอยู่

“แล้วของที่ว่าล่ะ” เหนือภพถามไลลา พลางเปิดอ่านข้อความสุดท้ายในจดหมายอีกครั้ง

‘หากมีคนชื่อเหนือภพติดต่อมา ให้มอบจดหมายฉบับนี้ให้เขาพร้อมกับของในกล่องที่พี่เก็บไว้ แล้วเขาจะคุ้มครองน้องเอง’

ไลลาหยิบกล่องไม้จันทน์หอมขนาดหนึ่งฝ่ามือออกมาจากถุงย่ามสีดำ เธอยื่นให้กับมือเหนือภพ เมื่อเหนือภพเปิดออกดูสิ่งของภายใน เขาก็ยิ้มกว้าง

“เจ้าเล่ห์นักนะ นังบ้านั่น”

เขาไม่คิดว่าสางลำไพรจะคาดการณ์ได้แม่นยำเช่นนี้ เธอคงรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นจึงทิ้งงานทั้งหมดมาให้เขามากเช่นนี้

“มาเถอะ เราต้องรีบเดินทาง ถ้าไม่ขยันทำงานให้คุ้มค่าตั๋วเงินของพี่สาวเจ้า ข้าคงไม่สบายใจแน่”

เหนือภพพูดไปยิ้มไปอย่างมีความสุข แล้วเขาก็บอกให้ไลลาไปนั่งกับพราวจันทร์ในรถม้า จากนั้นทุกคนก็ออกเดินทางมุ่งลงใต้ แม้เหนือภพจะเป็นคนเดียวที่เอารถม้าคันใหญ่ไป แต่เขาก็สามารถเร่งความเร็วได้สบาย ๆ ไม่รั้งท้ายคนอื่น ๆ ที่ขี่ม้าอสูรกันคนละตัวโดยไม่มีภาระพ่วงไปด้วย

ขณะเดียวกันขบวนอสูรม้าของกองมือปราบก็เริ่มเคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวงเช่นกัน แม้เหนือภพจะไม่แจ้งข่าวให้พวกเขารู้เลย แต่สายข่าวและวิธีการที่ขุนเจษใช้ก็มากพอที่จะรู้เบาะแสบางอย่าง พวกเขาก็ออกเดินทางมุ่งลงใต้เช่นกัน แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่ความเคลื่อนไหวของคนทั้งสองกลุ่ม ยังมีอีกหลายกลุ่มที่เริ่มเคลื่อนไหวมุ่งลงใต้โดยไม่ทราบสาเหตุ และเป้าหมายของพวกเขาทั้งหมดก็คือเมืองปัญญา

เมืองปัญญา นับเป็นเมืองสำคัญแห่งหนึ่งของแคว้นอมตะ เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องวิทยาการทันสมัย และยังเป็นแหล่งรวบรวมผู้มีความรู้หลากหลายประเภท หากอมตะนครมีโรงเรียนเตรียมฮันเตอร์ที่ดีที่สุดในแคว้น เมืองปัญญาก็มีสถาบันวิชาชีพชั้นนำที่เป็นที่ยอมรับ มีวิทยาลัยอาชีวะปัญญา ซึ่งเป็นสถาบันวิชาชีพอันดับหนึ่งที่เป็นทางเลือกของเหล่าผู้ไร้พรสวรรค์และผู้มีพรสวรรค์ที่ไม่สามารถเป็นฮันเตอร์ได้

“ว่ากันว่า กลุ่มภราดาก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกก็ที่เมืองนี้แหละ”

จู่ ๆ พายุก็ชวนทุกคนคุย ขณะที่พวกเขานั่งรออยู่บนหลังม้า รอคอยกองพลทหารอาคมตรวจคนเข้าเมือง เหนือภพกำลังนั่งเอนหลังชันเข่าข้างเดียวอยู่ในตำแหน่งสารถีรถม้า อย่างเบื่อ ๆ เขายืดตัวขึ้นร่วมบทสนทนา

“ไม่ใช่เมืองอมตะหรอกเหรอ”

“เมืองอมตะแค่มีกลุ่มภราดาอยู่มากที่สุดต่างหากล่ะ”

“เรื่องมีตั้งเยอะแยะ พวกเจ้าคุยเรื่องอื่นไม่ได้หรือไง”

ทรายแทรกขึ้น เมื่อรู้สึกว่าการสนทนาของพวกผู้ชายเริ่มจะน่าเบื่อขึ้นทุกที แล้วทรายก็นึกบางอย่างขึ้นได้

“ใช่สิ พี่ใหญ่ เมืองปัญญาบ้านเกิดพี่ไม่ใช่เหรอ”

“เฮ้ย จริงเหรอพี่ใหญ่”

แล้วคนอื่น ๆ ที่ไม่ค่อยรู้อดีตความเป็นมาของกันและกันเท่าไหร่นัก ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา โดยเฉพาะแกล้วกล้า

“นี่พี่ใหญ่ พี่ใหญ่เคยเล่าว่ามีบ่อนพนันที่ดีที่สุดในเมืองบ้านเกิดพี่ไม่ใช่เหรอ พาข้าไปหน่อยสิ”

สำหรับนักพนันตัวยงอย่างแกล้วกล้าแล้ว เรื่องพวกนี้ดึงความสนใจเขาได้เป็นพิเศษ แต่พายุกลับมีสีหน้าเคร่งขรึมคล้ายมีความในใจบางอย่าง จากนั้นพายุก็พูดตัดบทสนทนา

“รีบเข้าเมืองเถอะ หาที่พักกันก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

คนอื่น ๆ ไม่ขัดข้องอะไร เมื่อเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะได้รับการตรวจตราก่อนเข้าเมือง ทุกคนผ่านเข้าไปได้โดยไม่มีปัญหาอะไร ยกเว้นเพียงรถม้าเทพธิดาพิโรธคันเดียว ต่อให้พราวจันทร์และไลลาเปิดหน้าต่างให้รู้ว่ามีหญิงสาวอยู่ข้างในเพียงสองคน แต่ทหารยามเหล่านั้นก็ไม่ยอมปล่อยให้พวกเขาเข้าไปในเมือง ด้วยกลัวว่าภายในรถขนาดใหญ่เช่นนี้อาจจะซ่อนใครไว้ด้านในอีก

“พวกเจ้าทั้งสองคน ลงมาให้ข้าตรวจซะโดยดี”

หนึ่งในกองทหารอาคมส่งเสียงดัง ขณะที่ทหารอาคมคนอื่น ๆ กระชับอาวุธแน่น เตรียมพร้อมรับการโจมตีถ้าหากภายในรถม้ามีปัญหา

เหนือภพไม่พอใจ แต่ในขณะที่เขาจะพูดนั้นพราวจันทร์ก็พูดแทรกขึ้นมา

“ไม่เป็นไรท่านพี่”

พราวจันทร์เปิดประตูรถม้าออกมา เผยเรียวขาขาวเนียนออกมาเป็นอันดับแรก จากนั้นเธอก็ก้าวลงมาด้วยกิริยาของหญิงชั้นสูง แม้ไลลาจะลงจากรถตามมาติด ๆ แต่เหล่าทหารก็ไม่สนใจเหลือบแลไลลาแม้แต่น้อย พวกเขาถูกรัศมีความงามอันไร้ที่เปรียบและเสน่ห์อันเย้ายวนของพราวจันทร์ตรึงไว้ ท่าทีขึงขังของทหารพลันอ่อนยวบ น้ำเสียงที่ใช้พูดกับเธอก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ

“แม่หญิงทั้งสองเข้าไปได้ขอรับ หากมีเรื่องไม่สบายใจอะไร ข้าคีรินทร์ธร หัวหน้าทหารอาคมเมืองปัญญา ยินดีช่วยแม่หญิงแก้ไขทุกข้อปัญหา”

พราวจันทร์แย้มยิ้มอย่างมีจริต   “หากสตรีอ่อนแอเช่นข้ามีปัญหา ข้าจะนึกถึงท่านเป็นคนแรกค่ะ ท่านหัวหน้า”

คำพูดอ่อนหวานของเธอทำให้หัวหน้ากองทหารอาคมถึงกับเลือดสูบฉีด ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แม้รถม้าเทพธิดาพิโรธจะเคลื่อนตัวผ่านเข้าไปในเมืองปัญญาแล้ว สายตาของหัวหน้าทหารหนุ่มคนนี้ก็ยังจ้องไม่วางตา จนกระทั่งขบวนม้าของหน่วยมือปราบจากเมืองหลวงมาถึง ท่าทีของหัวหน้าทหารอาคมก็เปลี่ยนกลับไปขึงขังดังเดิม

ขุนเจษและหัวหน้าทหารหนุ่มปลีกตัวออกมาพูดคุยกันเล็กน้อย คล้ายกับว่าพวกเขารู้จักกันมาก่อนและได้มีการติดต่อมาล่วงหน้าแล้ว เมื่อการพูดคุยจบลงพวกเขาก็แยกตัวกันไป ขุนเจษพาลูกน้องผ่านเข้าเมืองไป ส่วนหัวหน้าทหารหนุ่มก็กลับไปทำหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองตามเดิม

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด