ตอนที่ 5 ความลับ
ตอนที่ 5
ความลับ
“พี่หญิงข้า.....”กงจื่อเดินเข้ามาในวังก่อนจะถอดหน้ากากจิ้งจอกออกด้วยท่าทีเจี๋ยมเจี้ยมอย่างเห็นได้ชัด แม้จะฝีมือโดดเด่นที่สุดในกลุ่มศิษย์แต่ตู้กู่เป็นพี่ใหญ่อยู่ดี
“แผนนี้เจ้าคิดเองงั้นหรือ”ตู้กู่ถามพลางเดินไปนั่งที่โต๊ะด้วยท่าทีสบาย ๆ ท่าทางนางจะไม่ได้โกรธอะไรกงจื่ออย่างที่กงจื่อคิดเสียแล้ว
“ก็ถ้านายน้อยมีวิชาตัดตัว นายน้อยก็จะป้องกันตัวเองได้ไม่ใช่เหรอ ข้าก็เลย....”กงจื่อว่าพลางหลบสายตาไปทางอื่น นางรู้ว่าแผนนี้นอกจากจะไม่ได้ผลแล้วยังเป็นการแถสีข้างแบบไม่เนียนอีกต่างหาก ประการแรกเลยคือวังแห่งนี้เป็นวังของศิษย์อาวุโสอย่างพวกนาง คนนอกก็ห้ามเข้าตั้งแต่หน้าวังแล้ว ศิษย์ใหม่ ศิษย์เก่ารวมถึงศิษย์ระดับฝึกสอนเองก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา แล้วจะไปมีคนบ้าใส่หน้ากากเข้ามาสอนวิชาชิงหมิงได้อย่างไร
“เจ้ารู้หรือเปล่าว่าถ้านายหญิงเห็นเข้ายังไงก็ความแตก”ตู้กู่ถามพลางมองการแต่งกายของกงจื่อ ชุดสีดำชุดนี้เป็นชุดที่ฟ้านลี่ซื้อให้กงจื่อเป็นของขวัญตอนนางออกไปข้างนอกครั้งล่าสุด ตอนนั้นฟ้านลี่ไปกับนายหญิง แสดงว่านายหญิงต้องเคยเห็นชุดนี้มาแล้ว แม้จะไม่มั่นใจว่านายหญิงจะจำได้หรือไม่ก็ตาม แต่ถึงเปลี่ยนเป็นชุดอื่นก็ไม่คิดว่านายหญิงจะมองไม่ออกอยู่ดี
“รู้...แต่นายหญิงไม่ลงมาที่นี่หรอก ต่อให้พี่หญิงกราบอ้อนวอนท่านก็ไม่ลงมานี่นา อยู่ๆท่านคงไม่นึกสนุกอยากลงมาวันนี้แน่ ๆ”กงจื่อท้วงออกมาด้วยเหตุผลที่แม้แต่ตู้กู่ก็ยังเถียงไม่ออก ก็จริงนายหญิงไม่มีวันลงมาส่วนศิษย์คนอื่น ๆก็ไม่มีใครเข้ามาได้ เช่นนั้นก็ไม่มีใครได้เห็นกงจื่อในสภาพของเยว่รู่นอกจากพวกนาง 3 คนอีกแล้ว ขอเพียงพวกนางไม่บอกแล้วใครจะทราบ
“ก็จริงของเจ้า”ตู้กู่ตอบก่อนจะใช้นิ้วเรียวยาวของนางจับไปที่เส้นผมของตัวเองเหมือนคนกำลังใช้ความคิด หากนายหญิงถามเรื่องนี้ขึ้นมาเหมยอิงคงโกหกนางไม่ได้แน่ ๆเพราะเหมยอิงเป็นคนที่เคารพนายหญิงที่สุดในกลุ่มพวกนาง แต่นายหญิงไม่เคยคิดจะถามความเป็นอยู่ของนายน้อยชิงหมิงอยู่แล้ว แม้แต่ชิงหมิงพูดคำแรกออกมานางยังไม่สนใจจะฟังเหมยอิงรายงาน ไม่มีทางมาถามหรอกว่าตอนนี้ชิงหมิงทำอะไรหรือฝึกอะไรหรือไม่ เช่นนั้นแล้วแผนบ้า ๆของกงจื่ออาจจะได้ผลก็ได้
“งั้นข้าจะให้เยว่รู่สอนวิชาให้นายน้อย แต่ต้องหลังจากเหมยอิงกับฟ้านลี่ตกลงแล้วเท่านั้น”ตู้กู่สรุปออกมาเป็นการตกลงสอนชิงหมิงเสียอย่างนั้น ทำเอากงจื่อที่คิดว่าตนเองจะโดนดุด่าว่ากล่าวทำหน้างงออกมาทันที
.
.
“ข้าเห็นด้วย”ทันทีที่เสนอเรื่องนี้ออกมาในโต๊ะประชุม ฟ้านลี่ก็สนับสนุนแทบจะทันที พวกนางทั้ง 4 เลี้ยงดูชิงหมิงมาตั้งแต่เด็ก ความรักที่มีให้ชิงหมิงก็มีไม่ต่างกัน และความห่วงใยว่าชิงหมิงจะปกป้องตัวเองได้หรือไม่ก็ย่อมมีกันหมดอยู่แล้วทำให้ฟ้านลี่แทบไม่ต้องคิดเลยว่าจะเห็นด้วยหรือไม่
“แต่แบบนี้ก็เหมือนขัดคำสั่งนายหญิงนะ”เหมยอิง คนที่ตู้กู่กังวลว่าจะเข้าร่วมกับแผนการนี้หรือไม่ที่สุดพูดออกมาด้วยท่าทีลำบากใจ นางเคารพนายหญิงไม่ต่างจากมารดาเช่นกัน การจะปิดบังนายหญิงแบบนี้ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย
“พวกเราไม่ได้ขัดคำสั่งเสียหน่อย ก็แค่มีปีศาจลึกลับตนหนึ่งบังเอิญผ่านมาสอนวิชานายน้อยเท่านั้นเอง”ตู้กู่ว่าพลางจับมือของเหมยอิงเอาไว้ นางเป็นคนขี้กลัวและหัวอ่อนอย่างมากแม้จะเป็นน้อง 3 แต่นางกลับเหมือนน้องเล็กสุดเสียมากกว่า
“แต่ว่า....”แม้จะบอกไปเช่นนั้นเหมยอิงก็ยังมีท่าทีหวั่นใจ แต่อยู่ ๆในมือข้างที่ตู้กู่จับเอาไว้ก็มีหยกชิ้นหนึ่งถูกวางเอาไว้ก่อนที่มือของตู้กู่จะเลื่อนกลับไป หยกชิ้นนี้เป็นหยกชั้นดีที่ถูกกลึงจนกลมอย่างสมบูรณ์แบบไร้ข้อตำหนิ แต่ตรงกลางหยกกลับมีรอยเจาะหยาบ ๆอย่างกับเอามือสมัครเล่นมาเจาะหยกชิ้นนี้ให้เป็นรู นอกจากรอยเจาะจะไม่เรียบแล้วยังมีรอยแตกตรงขอบอีกต่างหาก แถมที่แปลกไปกว่านั้นคือเชือกสีขาวหยาบ ๆที่ร้อยหยกชิ้นนั้นเอาไว้ เชือกเส้นนี้เหมือนเชือกที่แกะมาจากเชือกใช้เย็บตำราไม่มีผิด แถมยังผูกด้วยเงื่อนตายอีกต่างหาก ทำให้มันเหมือนกำไลที่เด็กที่ไหนก็ไม่ทราบทำเล่นขึ้นมา
“.............”ทันทีที่เห็นของที่ตู้กู่วางไว้บนมือนาง เหมยอิงก็นิ่งอึ้งไปทันที หยกร้อยด้วยเชือกเส้นนี้คือกำไลที่ชิงหมิงทำให้นางเป็นของขวัญวันเกิด เจ้าตัวน้อยขอให้กงจื่อเจาะหยกให้แล้วแอบไปแกะเชือกเย็บตำราจากหนังสือบนชั้นมาร้อยให้กับนาง ตอนนั้นชิงหมิงโดนฟ้านลี่ที่เป็นเจ้าของตำราดุไปยกใหญ่เลยทีเดียว
“พี่หญิง แบบนี้เล่นขี้โกงนี่นา”เหมยอิงว่าพลางทำหน้ามุ่ยออกมา กำไลชิ้นนี้เหมยอิงเก็บเอาไว้อย่างดีที่หัวเตียง การที่มันมาอยู่ที่นี่นั่นเป็นเพราะตู้กู่เอามันมาเพื่อชักจูงนางแน่ ๆ แต่พอเห็นกำไลเส้นนี้แล้วจะให้เหมยอิงไปฟ้องนายหญิงได้อย่างไร
“น้องเหมย เรื่องนี้ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนหรอก พวกเราคอยดูแลนายน้อยให้ดีอย่าให้ฝึกไปในทางที่ผิด นอกจากนายน้อยจะปกป้องตัวเองได้ นายหญิงก็หมดกังวลไปด้วยนะ”ฟ้านลี่ว่าพลางพยักหน้าช้า ๆเหมือนจะบอกให้เหมยอิงตกลงกับพวกนางไม่มีผิด
“เจ้าค่ะ...ข้าเข้าใจแล้ว”เหมยอิงตอบพลางพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ นี่นับเป็นการตัดสินใจที่ยากมากครั้งหนึ่งของเหมยอิงเลยทีเดียว
.
.
“เอาล่ะ ข้าได้รับอนุญาตให้เข้ามาในวังของเจ้าเป็นกรณีพิเศษแล้ว นับแต่นี้ไปข้าจะสอนวิชาให้เจ้าเอง”กงจื่อที่กลับมาสวมหน้ากากจิ้งจอกอีกครั้งพาชิงหมิงออกมาที่ลานหลังวังเพื่อจะฝึกวิชาให้กับชิงหมิงตามที่พวกนางตกลงกันเอาไว้ แน่นอนว่าการเล่นละครของกงจื่อก็ยังไม่ได้เรื่องเช่นเดิม
“ขอรับท่านน้า”ได้ยินกงจื่อพูดเช่นนั้นชิงหมิงก็ยิ้มออกมาด้วยท่าทีดีใจอย่างออกนอกหน้า
“บอกแล้วไงว่าข้าไม่ใช่ท่านน้าของเจ้า ข้าคือเยว่รู่ต่างหาก”กงจื่อว่าพลางเท้าเอวด้วยท่าทีดุ ๆ แม้ความจะแตกไปนานแล้ว แต่คนที่สอนวิชาให้ชิงหมิงต้องเป็นเยว่รู่เท่านั้น ไม่ใช่กงจื่อโดยเด็ดขาด
“แต่ท่านน้าสอนข้าว่าโกหกเป็นสิ่งไม่ดีไม่ใช่หรือขอรับ”ชิงหมิงถามด้วยท่าทีสงสัย พวกท่านน้าสอนชิงหมิงมาอย่างดีชิงหมิงก็เลยเป็นเด็กดีมาตลอด การโกหกเป็นสิ่งหนึ่งที่พวกท่านน้าบอกเสมอว่าห้ามทำโดยเด็ดขาด
“ใครโกหกกัน ก็แค่บางครั้งคนเราก็ต้องปิดบังบางเรื่องเท่านั้นเอง”กงจื่อสะดุ้งนิดหน่อยก่อนจะพูดแก้ตัวออกมาแบบไม่น่าเชื่อเลยแม้แต่น้อย
“ก็ได้ขอรับ..”ชิงหมิงพยักหน้าอย่างว่าง่าย พวกท่านน้าทำดีกับชิงหมิงมาตลอด ในเมื่อท่านน้ากงจื่อต้องการจะปิดบังเช่นนั้นชิงหมิงก็ไม่สาวความอีก
“ดีมาก งั้นเจ้าอยากจะฝึกอะไรก่อนล่ะ”กงจื่อถามพลางเดินไปที่โต๊ะหินอ่อนที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ ตอนนี้บนโต๊ะมีตำราของสำนักซ่อนเมฆาวางเอาไว้หลายเล่ม โดยแต่ละเล่มต่างเป็นตำราฝึกฝนพื้นฐานของสำนักซ่อนเมฆาทั้งสิ้น
“วิชาตัวเบาขอรับ”แทบไม่ต้องคิด ชิงหมิงบอกสิ่งที่ตนเองต้องการออกไปตรง ๆทันที แน่นอนว่าข้อนี้กงจื่อเองก็คิดเอาไว้แล้ว
“ไม่ได้ วิชาตัวเบาเป็นวิชาที่ยากมาก เจ้าจะต้องเรียนพื้นฐานอย่างอื่นไปก่อน”กงจื่อโกหกออกไปอีกครั้งเสียแล้ว แม้วิชาตัวเบาของสำนักซ่อนเมฆาจะเป็นที่เลื่องลือไปทั่วแผ่นดิน แต่ก็ไม่ได้ฝึกยากเย็นขนาดนั้น เพียงแต่การฝึกวิชาตัวเบาให้ชิงหมิงก็มีโอกาสที่ชิงหมิงจะแอบขึ้นไปบนวังหลัก หากเป็นเช่นนั้นนายหญิงก็อาจจะพบตัวชิงหมิงได้ ซึ่งนั่นเท่ากับความแตกแบบไม่ต้องสงสัยเลย เพราะแบบนั้นฟ้านลี่ผู้จัดเตรียมตำราให้ชิงหมิงจึงหยิบตำราวิชาตัวเบาออกไปตั้งแต่แรกแล้ว
“งั้นข้าต้องฝึกอะไรก่อนล่ะขอรับ”ชิงหมิงถามด้วยท่าทีเสียดาย นอกจากวิชาตัวเบาแล้วชิงหมิงกลับไม่สนใจวิชาอื่นเลย
“เช่นนั้นก็ต้องเริ่มจากการดูดซับพลังเซียนก่อน.....”กงจื่อเริ่มสอนวิชาให้ชิงหมิงด้วยท่าทีเคยชิน เหล่าน้า ๆของชิงหมิงล้วนแล้วต้องช่วยฝึกสอนศิษย์ใหม่ที่พึ่งเข้ามาในสำนักทำให้พวกนางสอนกันเก่งไม่น้อย กงจื่ออธิบายวิชาดูดซับพลังเซียนของสำนักซ่อนเมฆาอย่างละเอียด แถมยังเข้าใจง่ายอีกต่างหาก โดยวิชาดูดซับพลังเซียนของสำนักซ่อนเมฆาถูกเรียกว่า เคล็ดวิชานภาไร้ขอบเขต โดยวิชานี้มีทั้งหมด 9 ขั้น ซึ่งมีเพียงนายหญิงเท่านั้นที่ก้าวถึงขั้นที่ 9 ของวิชานี้และกลายเป็นยอดฝีมือที่น่านับถือของแผ่นดิน แต่ถึงจะไม่ได้สำเร็จขั้นที่ 9 ก็ยังเป็นผู้มีฝีมืออยู่ดีเพราะลำพังเหล่าศิษย์อาวุโสอย่างพวกนางก็เป็นที่เคารพนับถือในยุทธจักรแล้วทั้ง ๆที่พวกนางฝึกถึงขั้นที่ 6 เท่านั้น
.
.
“นายน้อยหลับไปแล้วงั้นเหรอ”หลังจากฝึกมาตลอดทั้งวันตู้กู่และน้า ๆคนอื่น ๆต่างก็มาสอบถามความคืบหน้ากับกงจื่อทันที แต่เมื่อเห็นว่าชิงหมิงเหนื่อยจนกลับไปแล้วพวกนางก็ได้แต่ปล่อยให้ชิงหมิงได้พักผ่อนเพราะการฝึกฝนวันแรกย่อมหนักหนามากสำหรับทุกคนอยู่แล้ว
ตุบ....
แต่ทันทีที่พวกท่านน้าออกไปจากห้อง ชิงหมิงก็ลืมตาขึ้นมาก่อนจะล้วงของบางอย่างออกจากใต้เตียงแล้วนำขึ้นมาวางเอาไว้บนโต๊ะ
พรึบ..
ของที่ชิงหมิงนำออกมานั้นคือตำราที่ชิงหมิงใช้เป็นที่ฝึกเขียนตัวหนังสือ ในตำราเล่มนี้มีแต่ตัวหนังสือซ้ำ ๆกันเต็มไปหมด แต่เมื่อเปิดมาจนถึงหน้ากลาง ๆกลับพบว่าในเนื้อหาส่วนนี้กลับมีข้อความยาวเหยียดเขียนเอาไว้หลายหน้า ชิงหมิงเองก็รู้ตัวดีว่าพวกท่านน้าไม่ยอมให้ชิงหมิงไปที่วังหลักแน่ ๆ และทางเดียวที่ชิงหมิงจะไปที่วังหลักได้ก็คือวิชาตัวเบาที่พวกท่านน้าใช้เดินทางข้ามยอดเขาไปมานั่นเอง
ในหน้ากระดาษที่ชิงหมิงกำลังเปิดอ่านด้วยแสงจันทร์ที่รอดผ่านหน้าต่างมานั้นคือตัวหนังสือที่เขาคัดลอกมาจากตำราวิชาตัวเบาของสำนักซ่อนเมฆานั่นเอง ก่อนหน้านี้ชิงหมิงเรียนเรื่องการอ่านและเขียนหนังสือจากท่านน้าเหมยอิง แต่นางเป็นพวกไม่ชอบอ่านตำราเอาเสียเลย ไม่ว่าจะพยายามกี่ครั้งนางก็จะหลับไปก่อนตลอดระหว่างกำลังสอน ในช่วงเวลานั้นชิงหมิงก็ค้นจนเจอตำราวิชาตัวเบา และแอบคัดลอกมันมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ชิงหมิงไม่ทราบว่าจะเริ่มฝึกอย่างไร ทำให้ชิงหมิงได้แต่เอาเนื้อหาที่กงจื่อสอนในวันนี้มาเปรียบเทียบกับเคล็ดวิชาตัวเบาที่ตนลอกมาได้เท่านั้น......