ตอนที่ 4 ปีศาจจิ้งจอก
ตอนที่ 4
ปีศาจจิ้งจอก
“ท่านไม่ได้รู้สึกไปเองหรอกเหรอ”กงจื่อถามออกมาหลังจากตู้กู่นำเรื่องที่เกิดขึ้นมาเล่าให้พี่น้องทั้งสามคนของตนได้ฟัง
“ไม่...บาดแผลของข้าหายไปจริง ๆ”ตู้กู่ตอบพลางกุมมือไปที่แก้มของตนเองด้วยท่าทีสับสน แม้พวกนางที่ฝึกฝนวิชาเซียนจะสามารถรักษาตัวเองได้รวดเร็วกว่าคนปกติ แต่ก็ไม่ได้หายสนิทได้ในพริบตาอย่างที่ตู้กู่ได้พบเจอ แถมความรู้สึกอบอุ่นนั่นอีก
“หรือว่านายน้อยจะมีพรสวรรค์บางอย่าง”ฟ้านลี่ถามออกมาพลางทำท่าทีครุ่นคิด นางลุกขึ้นยืนเดินไปที่ชั้นวางตำราก่อนจะเลือกหยิบตำราออกมาเปิดดู ในโลกนี้มีเด็กมากมายเกิดมาพร้อมคุณสมบัติหรือพรสวรรค์ที่พิเศษ และพวกนางเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะหากพวกนางไม่มีจิตเซียนในร่างละก็ นายหญิงก็คงไม่รับมาดูแลและฝึกฝนวิชาให้หรอก
“เรื่องนั้นมีโอกาสเป็นไปได้ นายหญิงเป็นผู้ครอบครองกระดูกหยกขาวทำให้สามารถซึมซับพลังเซียนได้รวดเร็วกว่าคนปกติมาก...”ตู้กู่หยักหน้าช้า ๆเพราะไม่ว่าจะคิดอย่างไรสิ่งที่นางได้เจอก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดา
“ส่วนเหล่าฉีก็มีเส้นชีพจรมารทรราช หากไม่ใช่เพราะสิ่งนั้นคนต่ำทรามเช่นมันคงไม่มีวันอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ได้หรอก”กงจื่อพูดด้วยท่าทีจริงจังอย่างมาก แม้ปกติพวกนางจะไม่อยากพูดเรื่องเหล่าฉีออกมา แต่หากคิดตามปกติแล้วเหล่าฉีเองก็เป็นผู้มีความพิเศษติดตัวมาตั้งแต่เกิดเช่นกัน เพียงแต่ความพิเศษพวกนี้ไม่ได้ถ่ายทอดกันทางสายเลือด ว่ากันว่าบิดามารดาของนายหญิงเองก็เป็นคนธรรมดาเสียด้วยซ้ำ
“รักษาบาดแผลได้.....”ฟ้านลี่เปิดตำราพลางไล่รายละเอียดไปทีละหน้า เพียงแต่คุณสมบัติพิเศษพวกนี้ไม่ใช่ว่าจะเจอกันง่าย ๆและการบันทึกเอาไว้ก็ไม่ใช่ว่าจะครอบคลุมไปทั้งหมด แถมเพราะคนส่วนใหญ่ปกปิดเรื่องของตัวเองเอาไว้เพื่อความปลอดภัย หากไม่ใช่เพราะพวกนางเป็นศิษย์นายหญิงมานานเรื่องกระดูกหยกขาวนั้นก็ไม่มีทางรู้ได้หรอก
“ไม่มี...ในบันทึกไม่มีอะไรเหมือนที่พี่หญิงเล่ามาเลย”ฟ้านลี่ตอบพลางมองไปทางห้องของชิงหมิงที่อยู่ไม่ห่างจากพวกตนนัก เด็กที่มีความสามารถพิเศษหรือร่างกายที่พิเศษออกไปนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย คุณสมบัติพิเศษพวกนั้นหากดีมากเกินไปก็อาจจะโดนฆ่าตายเสียด้วยซ้ำ อย่างชีพจรมารทรราชของเหล่าฉีที่จะทำให้ผู้ฝึกฝนสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเองได้ แต่เมื่อทราบว่าหากใช้พลังเซียนที่ไหลผ่านชีพจรมารแล้วจะทำให้ผู้ฝึกฝนวิชาเซียนคลุ้มคลั่งละก็ บางทีคนที่เจอเหล่าฉีแรก ๆอาจจะสังหารเจ้านั่นไปนานแล้วก็ได้
“แต่เรื่องที่นายน้อยมีความสามารถพิเศษข้ามั่นใจทีเดียว ตอนนี้เราควรห่วงว่าต้องจัดการอย่างไรกับพลังของนายน้อยมากกว่า”ตู้กู่ตอบด้วยท่าทีเป็นห่วง ความสามารถรักษาบาดแผลได้เช่นนี้ไม่ว่าใครก็ต้องอยากได้ ไม่ทราบเช่นกันว่าความสามารถของชิงหมิงจะไปถึงขั้นไหน แต่หากมีคนรู้เข้าก็อาจจะมาแย่งชิงตัวชิงหมิงไปจากพวกนางได้ เช่นนั้นก็ควรหาทางปกป้องชิงหมิงเอาไว้ แน่นอนว่าการปกป้องชิงหมิงที่ดีที่สุดคือการสอนสั่งวิชาให้ชิงหมิงเสีย หากร่างกายของเขามีความพิเศษจริง บางทีอาจจะพัฒนาไปถึงระดับยอดฝีมือเลยก็ได้ ถึงตอนนั้นต่อให้ใครคิดจะใช้งานเขาก็ไม่อาจใช้กำลังเข้าข่มได้แล้ว แต่.....
“เช่นนั้นทำไมนายหญิงถึงได้ห้ามไม่ให้พวกเราสอนวิชาเซียนให้กับนายน้อยล่ะ”เหมยอิงถามด้วยท่าทีสงสัย คำสั่งของนายหญิงเกี่ยวกับตัวชิงหมิงนั้นมีไม่มาก อย่างแรกเลยคือให้เลี้ยงดูอย่างดีและบำรุงให้มาก ๆ อย่างที่สองคือห้ามฝึกฝนวิชาให้ชิงหมิงโดยเด็ดขาด และอย่างสุดท้ายคือต้องคอยปกป้องชิงหมิงอยู่ในวังตลอดเวลาห้ามทิ้งชิงหมิงอยู่คนเดียวโดยเด็ดขาด
“หรือว่านางกลัวว่านายน้อยจะเป็นอย่างเจ้าสารเลวนั่น...”ฟ้านลี่ถามด้วยท่าทีสงสัย เจ้าสารเลวของฟ้านลี่ย่อมเป็นเหล่าฉีอยู่แล้ว แม้จะไม่ทราบว่าความสามารถพิเศษของนายน้อยอย่างชิงหมิงคืออะไร แต่หากฝึกฝนไปเรื่อย ๆแล้วเกิดคลั่งเหมือนเหล่าฉีขึ้นมาคงได้สร้างความวุ่นวายไปทั้งยุทธจักรแน่ ๆ
“ทำไมนายหญิงต้องสั่งแบบนี้ด้วยนะ”ไม่ว่าจะคิดอย่างไรตู้กู่ก็ว่าคำสั่งของนายหญิงนั้นแปลกประหลาดเกินไป แบบนี้พวกนางควรทำเช่นไรถึงจะดี.....
“ท่านน้า พวกท่านมีเรื่องอะไรกันหรือขอรับ”ระหว่างกำลังปรึกษากันอยู่นั้น อยู่ ๆชิงหมิงก็เดินออกมาจากห้องก่อนจะถามไถ่พวกนางด้วยท่าทีสงสัย ท่าทางเสียงพวกนางจะดังเข้าไปถึงห้องของชิงหมิงสินะ
“ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ พวกเราก็แค่คุยกันเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเอง”พอเห็นชิงหมิงเดินออกมา เหล่าน้า ๆก็พากันยิ้มหวานราวกับไม่ได้กังวลอะไรก่อนจะเดินเข้าไปรับชิงหมิงด้วยท่าทีอ่อนโยนเช่นทุกที
“พวกเราทำท่านตื่นงั้นหรือเจ้าคะ มาเถอะถ้านายน้อยนอนไม่พอพรุ่งนี้จะเล่นไม่ไหวนะเจ้าคะ”ตู้กู่ว่าพลางพาชิงหมิงเข้าไปในห้องนอนอีกครั้ง นางพาเด็กชายขึ้นไปบนเตียงก่อนจะนั่งอยู่ข้าง ๆเพื่อเฝ้าดูเด็กชายที่กำลังงัวเงียอยู่เงียบ ๆจนกระทั่งชิงหมิงหลับไปอีกรอบ
“..........”แม้ชิงหมิงจะหลับไปแล้วแต่ตู้กู่ก็ยังอดคิดเรื่องของเขาไม่ได้ เด็กคนนี้มีความสามารถเช่นนี้ในภายภาคหน้าต้องมีคนแย่งชิงเด็กคนนี้ไปแน่ ๆ พวกนางจะปกป้องเด็กคนนี้ได้ถึงเมื่อไรกัน แล้วไหนจะนายหญิงอีก ท่าทีของนายหญิงช่างแปลกประหลาดและชวนสับสนเสียเหลือเกิน หากชิงหมิงเป็นบุตรในไส้ทำไมถึงไม่ให้ชิงหมิงฝึกฝนวิชากัน.... นางรักชิงหมิงหรือเปล่า หากไม่รักทำไมถึงต้องดูแลอย่างดีเช่นนี้กัน ถึงขั้นยอมเสียสละสมุนไพรหายากยาล้ำค่าตั้งมากมายแต่กลับหวงไม่ยอมให้ฝึกฝนวิชาเสียนี่ทำแบบนั้นจะได้ประโยชน์อะไรนอกจากทำให้ชิงหมิงมีสุขภาพแข็งแรงเท่านั้น เมื่อเทียบกับคุณประโยชน์ของยาต่างๆมันไม่คุ้มเอาเสียเลย
“.........”อยู่ ๆในหัวของตู้กู่ก็เกิดความคิดชั่วร้ายบางอย่างขึ้นมา พริบตาที่ความคิดนั้นแล่นเข้ามาในหัวร่างของตู้กู่ก็เย็นวาบขึ้นมา เป็นไปไม่ได้หรอก นายหญิงไม่มีทางทำแบบนั้นแน่ ๆ นายหญิงที่นางรู้จักไม่มีทางทำเรื่องเลวร้ายแบบนั้นลงไปหรอก
“ท่านน้า....”อยู่ ๆร่างของชิงหมิงที่นอนอยู่ข้าง ๆก็พลิกตัวช้า ๆพร้อมเรียกหาท่านน้าขึ้นมาเสียเฉย ๆ แต่พอมองดูแล้วกลับพบว่าชิงหมิงเพียงละเมอเท่านั้น แต่พอมองมือน้อย ๆของชิงหมิงแล้วตู้กู่ก็อดนึกถึงช่วงเวลา 5 ปีที่เลี้ยงดูชิงหมิงมาไม่ได้ นางดูแลชิงหมิงมาตั้งแต่ฝ่ามือยังกุมนิ้วของนางได้เพียงนิ้วเดียวเท่านั้น ยิ่งตัวตู้กู่ที่ใกล้ชิดกับชิงหมิงที่สุดด้วยแล้วเรื่องความผูกพันไม่ต้องพูดถึง นางรักชิงหมิงแทบไม่ต่างจากบุตรชายแท้ ๆของตนเอง หากเรื่องที่นางเผลอคิดไปเป็นจริงขึ้นมา นางคงได้แต่เสียใจไปทั้งชีวิตแน่ ๆ
.
.
“นายน้อย มีอะไรงั้นหรือเจ้าคะ”ในช่วงสายของวันต่อมา ระหว่างที่กงจื่อกำลังร่อนลงมาจากวังหลักหลังจากไปช่วยฝึกฝนให้เหล่าศิษย์ในสำนักนั้น ชิงหมิงที่ปกติมักจะเล่นอยู่ในวังกลับมายืนรอกงจื่ออยู่ที่หน้าวังเสียแล้ว
“ท่านน้า ข้าต้องทำอย่างไรถึงจะกระโดดได้สูง ๆแบบท่านล่ะขอรับ”ชิงหมิงถามพลางมองไปทางวังหลักด้วยท่าทีสงสัย พวกท่านน้าทุกคนเหาะเหินเดินอากาศกันอย่างง่ายดาย ยิ่งเป็นท่านน้ากงจื่อที่มีพลังฝีมือแข็งแกร่งที่สุดด้วยแล้วถึงกับไม่ต้องใช้ร่มช่วยพยุงเสียด้วยซ้ำ
“ก็ต้องฝึกฝนนะสิเจ้าคะ คิดว่าพวกข้าทำได้ตั้งแต่แรกเลยหรือไง”กงจื่อว่าพลางยืดอกเล็กน้อยด้วยท่าทีโอ้อวด แต่ในสำนักนอกจากนายหญิงแล้วนางนับได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดในด้านการต่อสู้เลยเชียวนะ
“งั้น ข้าฝึกบ้างได้หรือเปล่าขอรับ”ชิงหมิงถามด้วยท่าทีสนใจอย่างเห็นได้ชัด แต่กงจื่อมองครู่เดียวก็รู้ทันทีว่าชิงหมิงต้องการฝึกไปทำไม
“ข้าไม่ฝึกให้ท่านหรอก”กงจื่อตอบพลางส่ายหน้าช้า ๆ คำสั่งของนายหญิงไม่อาจขัดขืนได้ หากฝึกฝนวิชาให้ชิงหมิงพวกนางคงโดนเล่นงานอย่างหนักแน่ ๆ
“ทำไมล่ะขอรับ ข้าเองก็อยากจะเก่งเหมือนท่านน้าบ้าง”ได้ยินชิงหมิงกล่าวชมเช่นนี้กงจื่อก็หน้าแดงขึ้นมาทันที นางไม่ค่อยได้เข้าหาชิงหมิงเท่าไรเลยไม่ค่อยถูกชิงหมิงชมเชยนัก ได้ยินเช่นนี้นางก็ดีใจไม่น้อยเลย เพียงแต่กฎก็ต้องเป็นกฎ
“นายน้อยอยากฝึกจริง ๆงั้นหรือ”กงจื่อถามพลางมองไปทางชิงหมิงด้วยท่าทีเห็นใจ ชิงหมิงมีความสามารถพิเศษ เช่นนั้นชิงหมิงก็ต้องมีจิตเซียนในร่างแน่ ๆ นั่นหมายความว่าชิงหมิงสามารถฝึกฝนวิชาเซียนได้เหมือนกันกับศิษย์ในสำนักต่าง ๆทั่วแผ่นดิน
“ขอรับ ข้าอยากจะบินบนท้องฟ้าเหมือนพวกท่านน้าได้บ้าง”ชิงหมิงตอบด้วยท่าทีไม่ปิดบัง เขาไม่ได้สนใจวิชาต่อสู้ แต่กลับสนใจวิชาตัวเบา เป้าหมายของเจ้าหนูนี่เกรงว่าจะเป็นวังหลักของสำนักซ่อนเมฆาแน่ ๆ
“ไม่ได้ ข้าไม่สอนท่าน”กงจื่อว่าพลางส่ายหน้าช้า ๆ แม้จะอยากสอนแค่ไหนกงจื่อก็ไม่สามารถสอนได้ ทั้ง ๆที่ถ้าสอนเอาไว้ละก็ชิงหมิงก็จะดูแลตัวเองได้ในระดับหนึ่ง แบบนั้นต่อให้พวกนางไม่สามารถอยู่ปกป้องชิงหมิงได้ตลอดก็ยังวางใจได้แท้ ๆ
“ท่านน้า ข้าอยากฝึกจริง ๆนะขอรับ”ชิงหมิงว่าพลางส่งสายตาอ้อนมาทางกงจื่อ นางไม่ได้เจอชิงหมิงอ้อนบ่อยนักเจอแบบนี้เข้าไปจะให้ทำอย่างไร......
“นายน้อย...ท่านอยู่ที่นี่ห้ามไปไหน”กงจื่อว่าพลางเดินผ่านชิงหมิงเข้าไปในวังเสียอย่างนั้น แถมนางยังเดินเร็วมากหายเข้าประตูวังไปในพริบตาอย่างกับลมพัด
“...........”ชิงหมิงมองตามกงจื่อไปก็ได้แต่กะพริบตางุนงง ท่านน้ารีบเข้าวังไปทำไมกัน.....
ตุบ....
อยู่ ๆที่ด้านหลังชิงหมิงก็มีร่างของคนผู้หนึ่งลอยลงมาจากฟ้าอย่างแผ่วเบา ปลายเท้าของนางแตะลงบนพื้นราวกับไร้น้ำหนักเหลือเพียงเสียงสัมผัสแผ่นเบาเหมือนตอนกงจื่อร่อนลงมาจากวังหลักเลยทีเดียว
“เจ้าหนู....”เสียงของหญิงสาวคนนั้นละม้ายคล้ายกงจื่ออย่างมาก เพียงแต่หญิงสาวนางนี้แต่งกายด้วยชุดสีดำสนิท บนใบหน้ามีหน้ากากจิ้งจอกสวมเอาไว้ปกปิดใบหน้าจนมองไม่เห็นว่าภายใต้หน้ากากนั่นมีหน้าตาของใครซ่อนเอาไว้แต่...
“ขอรับท่านน้ากงจื่อ”ชิงหมิงตอบพลางมองการแต่งกายแปลกตาของกงจื่อด้วยท่าทีงุนงง น่าเสียดายชิงหมิงตลอดชีวิตอยู่กับพวกท่านน้ามาตลอด แค่เปลี่ยนชุดนิดหน่อยกลัวว่าจะหลอกตาชิงหมิงไม่ได้
“ข้าไม่ใช่กงจื่อเสียหน่อย ข้าคือ..............”กงจื่อนิ่งไปนิดหน่อยก่อนจะกระแอมกระไอออกมาเบา ๆ
“ข้าคือปีศาจจิ้งจอก เยว่รู่ ที่บังเอิญผ่านทางมาพอดี เจ้าหนูข้าได้ยินว่าเจ้าอยากฝึกฝนวิชางั้นหรือ”กงจื่อที่อ้างตัวเป็นเยว่รู่พูดพลางเท้าเอวด้วยท่าทีเหมือนกงจื่อยามปกติไม่มีผิด แม้จะเป็นแผนบ้า ๆบอ ๆไปหน่อย แต่นายหญิงสั่งแค่ว่าไม่ให้พวกนางสอนวิชาให้ชิงหมิงเท่านั้น ไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าจะมีคนอื่นมาสอนชิงหมิงไม่ได้
“กงจื่อ เจ้าทำอะไรงั้นเหรอ”ระหว่างกงจื่อกำลังแสดงเป็นเยว่รู่อยู่นั้น ตู้กู่ที่ออกมาจากวังพอดีก็มองกงจื่อด้วยท่าทีเหมือนมองคนประหลาดเสียอย่างนั้น......
“ขะ ข้า...คือเยว่รู่ต่างหาก ใครคือกงจื่อกัน”กงจื่อคิดแผนขึ้นมามั่วซั่ว โดนจำได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ถึงกับทำอะไรไม่ถูก
“เจ้าเข้ามาคุยกับข้าข้างในหน่อย นายน้อยเดี๋ยวสักครู่เหมยอิงจะกลับมาแล้วท่านรอรับนางอยู่ที่นี่นะเจ้าคะ”ตู้กู่ว่าพลางมองไปทางเยว่รู่ด้วยท่าทีเหนื่อยใจ แต่โดนพี่หญิงสั่งแบบนั้นกงจื่อก็ได้แต่คอตกเดินเข้าวังไปแต่โดยดี