ตอนที่ 162 เตโชวาสิน
ณ สำนักงานฮันเตอร์ สาขาอมตะนคร
“เจ้าหน้าที่ระดับ 4 ต้องการคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัว”
“ข้ารู้ แล้วไง”
เหนือภพกำลังยืนโต้เถียงกับเจ้าหน้าที่ระดับ 3 อยู่ตรงโถงต้อนรับของสำนักงานฮันเตอร์ แม้ที่นี่จะไม่ใช่ที่ลับตานัก แต่ในเวลาดึกดื่นเช่นนี้จึงไม่มีใครอื่นอยู่ใกล้ ๆ เลย มีแค่เจ้าหน้าที่ระดับ 3, เจ้าหน้าที่ระดับ 1 ที่เป็นคนไปตามเหนือภพ 3 คน, เหนือภพและพราวจันทร์
“คำว่าส่วนตัวก็หมายถึง เจ้าเข้าไปคนเดียว”
“เฮอะ นางอยู่ข้าอยู่ นางไปข้าไป”
เหนือภพแค่นเสียงพูดแล้วก็กอดอกเชิดหน้าอย่างอารมณ์ไม่ดี เจ้าพวกนี้ชักจะเอาใหญ่แล้ว คิดว่าข่มเขาได้ก็จิกหัวเรียกใช้ แถมยังคิดจะมาสั่งอะไรก็ได้งั้นหรือ ฝันไปเถอะ
“เหิมเกริมมากไปแล้ว”
เจ้าหน้าที่ระดับ 1 ทั้งสามคนชักอาวุธออกมาล้อมรอบตัวเหนือภพทันที ตลอดเวลาที่ผ่านมาเหนือภพไม่สนใจเคารพเจ้าหน้าที่ระดับ 1 ด้วยกัน พวกเขาก็เข้าใจได้ เมื่อเหนือภพทำเป็นไม่แยแสเจ้าหน้าที่ระดับ 2 พวกเขาก็ยังพอทน ตอนที่เหนือภพก้าวร้าวต่อเจ้าหน้าที่ระดับ 3 พวกเขาก็ต้องหักห้ามใจกันยกใหญ่ แต่นี่อะไร นี่เหนือภพถึงกับวางท่าจองหองกับเจ้าหน้าที่ระดับ 4 ผู้ซึ่งเป็นเสาหลักประจำอยู่ที่สำนักงานส่วนกลางเท่านั้น ฮันเตอร์ทั่ว ๆ ไปแค่อยากจะรู้ชื่อเจ้าหน้าที่ระดับ 4 ก็ยังยากเลย การที่เหนือภพวางท่าเช่นนี้ทำให้พวกเขาทนไม่ได้อีกต่อไป
ยังไม่ทันที่เจ้าหน้าที่ระดับ 1 กับเหนือภพจะต่อยตีกันก็พลันมีเสียงดังก้องทั่วโถงต้อนรับแห่งนั้น
“ให้พวกเขาเข้ามา”
สิ้นเสียงปริศนา ทุกคนในที่นั้นก็พากันขนลุกเกรียว ไม่ต้องมีใครอธิบายทุกคนก็รู้ได้ในทันทีว่านั่นคือเสียงของเจ้าหน้าที่ระดับ 4 ที่กำลังรอเหนือภพอยู่ ทุกคนในที่นั้นรู้สึกกริ่งเกรงพลังปราณอาคมของเจ้าหน้าที่ระดับ 4 เป็นอย่างมาก หากว่าการไต่ระดับขึ้นไปเป็นฮันเตอร์แรงค์ C ว่ายากแล้ว การดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ระดับ 4 นั้นกลับยากยิ่งกว่า
เจ้าหน้าที่ระดับ 3 ถอนหายใจ แล้วก็เดินนำทางพาเหนือภพและพราวจันทร์ไปถึงหน้าห้อง ๆ หนึ่ง เหนือภพจำได้ว่าห้องนี้คือห้องรับรองสุดคลาสสิกที่เขาเคยเข้ามาเมื่อคราวที่แล้ว เจ้าหน้าที่ระดับ 3 มองหน้าเหนือภพอย่างไม่สบอารมณ์
“เชิญ”
เหนือภพได้ยินเช่นนั้นก็เชิดหน้าสูง ขณะจ้องมองเจ้าหน้าที่ระดับ 3 ซึ่งเป็นคนเดียวกันที่เป็นกรรมการตัดสินข้อสอบให้เขา แน่นอนว่าเขาไม่ชอบขี้หน้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งมีโอกาสได้เหยาะเย้ยแบบนี้ เหนือภพไม่มีทางพลาด เขาคว้ามือพราวจันทร์แล้วก็เปิดประตูเข้าไปในห้องรับรองอย่างมั่นใจ
“ไปเถอะเมียจ๋า”
เมื่อเหนือภพและพราวจันทร์เข้าไปในห้อง พวกเขาแปลกใจนิดหน่อยที่เห็นร่างมายาของเจ้าที่จากส่วนกลางนั่งอยู่สองคน คนหนึ่งคือคนที่เหนือภพเคยเข้ามาคุยด้วย ส่วนอีกคนเป็นชายหนุ่มหน้าตาอ่อนเยาว์ มองเผิน ๆ อาจดูเหมือนว่าเขามีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเหนือภพด้วยซ้ำ แม้ว่าชายหนุ่มจะนั่งเคียงข้างเจ้าหน้าที่อาวุโสที่ดูมีอายุแทบจะเป็นพ่อลูกกันได้ แต่ทั้งเนื้อทั้งตัวของชายผู้นั้นกลับเปล่งรัศมีของความเป็นผู้นำ ที่แม้แต่เด็กตัวเล็ก ๆ ยังมองออก เพราะเขาคือเจ้าหน้าที่ส่วนกลางที่ว่ากันว่าแข็งแกร่งที่สุด เป็นเจ้าหน้าที่ระดับ 4 แถมยังเป็นฮันเตอร์ที่มีระดับสูงกว่าแรงค์ C
เจ้าหน้าที่ทั้งสองต่างก็มองมาด้วยตะลึงเช่นเดียวกัน แต่ไม่ใช่ตะลึงที่เห็นเหนือภพ พวกเขาตะลึงมองพราวจันทร์ที่ยืนอยู่เคียงข้างเหนือภพต่างหาก พวกเขาได้ยินกิตติศัพท์ร่ำลือมานาน ไม่นึกไม่ฝันว่าวันนี้จะได้มาอยู่ใกล้ชิดสาวงามดาวเด่นระดับแคว้นแบบนี้ น่าเสียดายที่เธอมีตาหามีแววไม่
ด้วยสัญชาตญาณเป็นเลิศ เหนือภพนั่งเก้าอี้ไม้ที่เขาเคยโปรดปรานแล้วเขาก็ดึงพราวจันทร์ลงมานั่งบนตักของตัวเองอย่างแสดงความเป็นเจ้าของ จากนั้นพวกเขาก็แนะนำตัวกันอย่างไม่ค่อยเป็นมิตรนัก
ในที่สุดเหนือภพก็ได้รู้ว่าเจ้าหน้าที่ระดับ 4 ที่ว่าคือชายหนุ่มตรงหน้า แต่ความจริงแล้วเขามีอายุมากกว่า 200 ปี เขาชื่อว่า ‘เตโชวาสิน’ เขาเป็นหนึ่งใน 9 ของหน่วยผู้พิทักษ์จากส่วนกลาง ส่วนชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ คือ ‘วากะ’ รองหัวหน้าหน่วยการทูตของสำนักงานฮันเตอร์ส่วนกลาง
จากนั้นการพูดคุยระหว่างเหนือภพกับเตโชวาสินก็เต็มไปด้วยความจริงจังและเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ฝ่ายหนึ่งจริงจังในเนื้อหาของภารกิจ ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็จริงจังในเรื่องผลตอบแทน ความไม่ลงตัวจึงเกิดขึ้นจนเกิดการกระทบกระทั่งกันหลายครั้ง โชคดีที่มีพราวจันทร์คอยในเสน่ห์เข้ามาช่วยห้ามทัพ ด้วยหน้าที่การงานก่อนหน้านี้เธอเองก็คร่ำหวอดอยู่ในการวงการที่ต้องพูดคุยเจรจาเอาใจคนใหญ่คนโตมากมาย ดังนั้นเพียงเธอพูดจาโน้มน้าวทั้งสองฝ่ายไม่กี่คำ การพูดคุยเรื่องข้อตกลงการทำงานและผลประโยชน์ก็จบลงอย่างง่ายดาย ซึ่งแต่ละฝ่ายต่างก็บรรลุจุดประสงค์ ไม่ได้มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบ ทำให้เหนือภพยิ้มได้
จากนั้นวากะก็ยื่นเอกสารกองเล็ก ๆ ให้พราวจันทร์แทนที่จะเป็นเหนือภพ พร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ราวกับชายแก่ล่อลวงหญิงสาว เหนือภพยิ้มกว้างแล้วก็ยื่นมือออกมาตะปบเอกสารไปก่อน
เมื่อเหนือภพเปิดเอกสารดู ข้อมูลภายในเอกสารส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับแร่ หิน คุณลักษณะพิเศษและพื้นที่กำเนิดของหินแร่แต่ละชนิด จากนั้นก็มีภาพหนึ่งเตะตาเหนือภพ มันคือภาพวาดวิหารโบราณเก่าแก่ที่ดูคุ้นตาเขาอย่างมาก คลับคล้ายคลับคลาว่าเขาเคยเห็นมาก่อนแต่จำไม่ได้ว่ามันคือที่ไหน แต่เหนือภพไม่ได้สนใจภาพวิหารโบราณมากนัก เขากลับไปหยุดสายตาเพ่งอยู่ที่ภาพวาดซากศพของสิ่งมีชีวิตบางอย่าง มันมีลักษณะคล้ายมนุษย์แต่กลับมีหัวเป็นสัตว์อสูร
วากะถอนสายตาจากพราวจันทร์ และก็กระแอมเล็กน้อยก่อนอธิบายให้เหนือภพฟัง
“ภารกิจในครั้งนี้นับว่ายิ่งใหญ่และสำคัญกว่าที่ผ่านมา มันเกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่เราไม่เคยพบเห็นมาก่อน อย่างที่เจ้าเห็นในภาพนั่นแหละ”
เหนือภพมองวากะอย่างสงสัยในใจ หากมันสำคัญมากขนาดนั้นจริง ๆ แล้วทำไมสำนักงานส่วนกลางถึงต้องมาคอยวอแวกับฮันเตอร์แรงค์ F อย่างเขา แล้วช่วยดันให้เขาขึ้นมาถึงแรงค์ D เพียงเพื่อทำภารกิจที่ยอดฝีมือคนไหน ๆ ก็น่าจะช่วยกันทำได้เนี่ยนะ พริบตาต่อมาเหนือภพก็พลิกภาพต่อไปเรื่อย ๆ ภาพวาดแต่ละภาพช่างวาดออกมาได้ละเอียดทุกมุมมอง ทำให้เหนือภพเห็นภาพร่างมนุษย์ที่มีร่างกายกึ่งอสูรได้ชัดเจนราวกับได้เห็นตัวจริง ร่างกายของพวกมันใหญ่กว่ามนุษย์เท่าหนึ่ง ความสูง 2 ถึง 3 เมตรเป็นอย่างต่ำ ไม่รู้ว่านั่นคือร่างของตัวเด็ก หรือร่างของตัวเต็มวัย
“อสูรรูปร่างมนุษย์เหรอ”
เหนือภพพึมพำถามอย่างไม่แน่ใจ เท่าที่เขาพอจะรู้คืออสูรรูปร่างมนุษย์จะมีลักษณะคล้ายกับมนุษย์วานรที่เขาพบเจอที่หมู่บ้านโอปะ และไม่มีทางที่จะสูงและตัวใหญ่ได้ขนาดนี้
วากะส่ายหน้า
“ไม่ใช่ ลักษณะสายพันธุ์และสารประกอบในโครงสร้างร่างกายแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง พวกเราเรียกพวกมันว่า อสูร”
“อสูร ?”
เหนือภพพอจะเข้าใจความหมายของมันนิดหน่อย ว่ากันว่าสัตว์อสูรมีต้นกำเนิดมาจากเผ่าพันธุ์ที่เคยมีตัวตนอยู่บนโลก มันเคยเป็นจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร และตำนานได้กล่าวขานชื่อเผ่าพันธุ์นั้นว่า ‘อสูร’ ผู้เป็นต้นกำเนิดสัตว์ร้ายอย่างสัตว์อสูรนานาชนิดบนโลก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่มีใครรู้เลยว่าตำนานที่ว่านี้จริงแท้แค่ไหน
“แล้วยังไง เป้าหมายของท่านคือจะให้ข้าตามหาพวกมันงั้นเหรอ”
วากะหันมองหน้าเจ้าหน้าที่ระดับ 4 แวบหนึ่ง ก่อนจะหันมาตอบเหนือภพ
“ก็ไม่เชิง เมื่อก่อนพวกเรามองว่าเรื่องราวของอสูรเป็นเพียงตำนานที่เล่ากันปากต่อปากเท่านั้น แต่ไม่กี่เดือนก่อน มีคณะสำรวจฮันเตอร์กลุ่มหนึ่งจากแคว้นสุริยันเข้าไปสำรวจโบราณแห่งหนึ่งทางตอนใต้ของเกาะเพลิงกรด และพวกเขาก็ได้พบซากศพที่สมบูรณ์ของสิ่งที่อาจจะเป็นอสูร ดังที่เจ้าเห็นในภาพ เท่าที่เราตรวจสอบ เราพบว่าซากนั้นมีอายุประมาณแสนปีหรืออาจจะมากกว่านั้น”
“แสนปี !” เหนือภพพูดเสียงดังด้วยความตกใจ แล้วเขาก็แหงนหน้ามองเพดานพลางครุ่นคิดว่าแสนปีนี่มันจะนานแค่ไหนนะ
“นั่นยังไม่เรื่องที่แปลกที่สุด ที่น่าแปลกว่านั้นคือ แม้ว่าเวลาจะผ่านมาเป็นแสนปี แต่ภายในซากนั้นยังคงอบอวลไปด้วยพลังงานบางอย่างที่พวกเราไม่เคยพบเห็นมาก่อน มันเป็นพลังที่แข็งแกร่งมาก”
“แล้วยังไงต่อ” เหนือภพยังคงไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงของสำนักงานส่วนกลาง
“มันยังมีอีกภาพหนึ่งที่ทางเราไม่อาจเปิดเผยให้เจ้าดูได้ แต่ข้าจะสรุปคร่าว ๆ ให้ฟัง มันเป็นภาพที่สื่อว่ามีความเชื่อมโยงกันระหว่างวิหารโบราณ 3 แห่ง ดังนั้นมันจึงทำให้พวกเรามั่นใจว่าเราอาจจะพบอะไรเพิ่มเติมจากสถานที่ที่เป็นภารกิจระดับสูงของเจ้า”
“งั้นก็แปลว่าสถานที่แรกถูกพบแล้ว และอีกแห่งก็อาจจะเป็นวิหารโบราณที่เป็นภารกิจของข้า แล้ววิหารโบราณแห่งสุดท้ายล่ะ”
“นั่นเป็นคำตอบที่พวกเราก็ต้องการรู้เช่นกัน ข้าจึงอยากให้เจ้าส่งต่อภารกิจระดับสูงนี้ให้พวกเรา และพวกเราจะตอบแทนด้วยการอนุญาตให้เจ้านำทีมของตัวเอง หรือบ้านฮันเตอร์ของตัวเองเข้าไปร่วมทำภารกิจนี้ หากประสบผลความสำเร็จชื่อเสียงเงินทองจะตกเป็นของท่าน แต่มีเพียงข้อแม้เดียวว่าซากของอสูรจะต้องเป็นของสำนักงานส่วนกลาง เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ต่อไป พวกเราไม่รู้ว่าอสูรยังคงมีชีวิตอยู่หรือไม่ และพวกมันมีเจตนาคุกคามพวกเราหรือไม่ นี่จึงเป็นเรื่องสำคัญที่พวกเราจะต้องหาคำตอบ นี่เป็นเรื่องระดับแผ่นดิน หวังว่าเจ้าจะให้ความร่วมมือ”
ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าหน้าที่ระดับ 4 พยักหน้าน้อย ๆ อย่างเห็นด้วยกับวากะ ส่วนเหนือภพนั้นทำหน้าครุ่นคิดเล็กเล็กน้อย แล้วก็ตัดใจพูด
“หากผลตอบแทนเป็นไปตามข้อตกลง ข้าเองก็ไม่คัดค้านอะไร อีกอย่างพวกเจ้าไม่ต้องกังวล หากเงินถึงมือข้าแล้วล่ะก็ รับรองไม่ผิดหวัง”
จากนั้นเหนือภพกับพราวจันทร์ก็ขอตัวกลับหลังจากที่พวกเขากำหนดเวลานัดหมายการออกเดินทางเรียบร้อย และทันทีที่เหนือภพก้าวพ้นประตูห้องไป วากะก็มีท่าทีเปลี่ยนไป เขาแลดูจริงจังยิ่งขึ้น
“ทำไมท่านไม่บอกเหตุผลจริง ๆ ออกไปละขอรับ บางที่มันอาจจะทำให้เจ้าเด็กนั่นทำงานให้เราอย่างเต็มใจ ไม่ใช่ครึ่ง ๆ กลางเช่นนี้ มันไม่ได้เป็นผลดีกับท่านเลย”
เตโชวาสินจ้องเข้าไปในดวงตาของวากะ จากนั้นก็ให้เหตุผลที่แม้แต่วากะก็แย้งไม่ได้
“เจ้าก็เห็นนี่ว่าเด็กนั่นเขี้ยวลากดินขนาดไหน หากเขารู้ว่าเป้าหมายของพวกเราไม่ได้มีแค่ซากอสูร เกรงว่าข้อเรียกร้องที่สตรีนางนั้นจะร้องขอ มันจะมากกว่านี้หลายเท่า ให้พวกเขารู้เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว เจ้ารีบไปรวบรวมคนเถอะ เมื่อฤดูหนาวมาถึงพวกเราจะออกเดินทางกันทันที”
“ขอรับ”