ตอนที่ 161 เมียหาย
ตะวันเกือบจะลับขอบฟ้า ท้องฟ้าอาบแสงสีส้มเข้ม ขณะที่นกกากำลังพากันบินกลับรัง เหนือภพก็กำลังเดินกลับบ้านอย่างสบายใจ เขาและบรรดาฮันเตอร์แรงค์ D หน้าใหม่ถูกอบรมเรื่องกติกามารยาท ได้รับการชี้แจงเรื่องสิทธิ์และผลประโยชน์ที่ฮันเตอร์แรงค์ D จะได้รับ การประชุมทั้งหมดจบลงในเวลาอันรวดเร็ว หากคิดนับรวมเวลาในโลกภายนอกตั้งแต่ที่เข้าก้าวเข้าไปภายในมิติรังอสูรจนถึงตอนนี้ ก็ผ่านมาเพียง 6 ชั่วโมงเท่านั้น
เหนือภพเดินฮัมเพลงไปจนถึงร้านขายน้ำผึ้งของพี่พล เขาคาดหวังว่าจะเข้าไปเจอพราวจันทร์ยืนทำอะไรสักอย่างอยู่ แล้วเขาก็จะแอบเข้าไปสวมกอดเธอจากข้างหลังเหมือนเดิม แค่คิดก็มีความสุขแล้ว ทว่าเรื่องราวกลับไม่เป็นอย่างที่คิด
“พี่พล ! เมียข้าล่ะ เมียข้าหายไปไหน”
เหนือภพตกใจมากที่เขาไม่เจอพราวจันทร์ เขาวิ่งวนทั่วร้าน ทั้งข้างหน้า ข้างหลัง และชั้นบนของร้าน แต่ก็ยังหาพราวจันทร์ไม่เจอ ไม่มีแม้แต่กระดาษข้อความทิ้งไว้เลย ไม่แน่ว่าพวกคนจากหอหมื่นบุปผาอาจจะกลับมาชิงตัวเธอกลับไป
“พี่พล ! พี่พล !”
“อยู่นี่โว๊ย ! อยู่กันแค่นี้จะตะโกนเสียงดังทำไม”
พลค่อย ๆ ไต่บันไดขึ้นมาจากห้องใต้ดิน เขายืนงงพลางทำท่าแคะหูเพื่อตรวจดูว่ามีเลือดไหลออกจากหูเขาหรือเปล่า
“พี่พล เห็นเมียข้ามั้ย”
“อ๋อ เห็นออกไปกับเพื่อนตั้งแต่บ่ายละ”
“เพื่อนหรอ แล้วไปไหนกัน”
“อืมไม่รู้สิ เจ้าก็ปล่อย ๆ นางไปเที่ยวเล่นบ้างเถอะ กะจะขังนางไว้ที่บ้านรึไง”
พลพูดจบก็ส่ายหัว พลางอุ้มไหน้ำผึ้งสองไหไว้ในอ้อมแขน เพื่อขนลงไปในห้องใต้ดิน ส่วนเหนือภพนั้นยังมีท่าทีไม่ยินยอม เขารู้สึกสังหรณ์อะไรบางอย่างและมันก็ทำให้เขาไม่สบายใจ
“เรื่องของข้า”
เหนือภพทิ้งท้ายคำพูดไว้แค่นั้น แล้วเขาก็หายออกจากร้านไปในพริบตา เขาวิ่งตามหาพราวจันทร์ด้วยความเร็วสูงสุด สลับกับการกระโดดไปตามหลังคาบ้านเรือนต่าง ๆ ถึงอย่างไรเธอก็น่าจะยังอยู่ในเมืองหลวง และสถานที่แรกที่เหนือภพไปตรวจดูก็คือหอหมื่นบุปผา ทว่าเขาไม่พบอะไร หอหมื่นบุปผายังไม่พร้อมเปิดให้บริการด้วยซ้ำ เหนือภพจึงวิ่งวุ่นตามหาเธอต่อไปท่ามกลางความมืดที่ค่อย ๆ ปกคลุมเมือง
แน่นอนว่า เขาย่อมไม่ได้ขัดขวางที่จะให้นางจะไปเที่ยวที่ไหน แต่เขากังวลว่านางต้องมารับเคราะห์กับสิ่งที่เขาทำไปโดยไม่ยั้งคิด ศัตรูเขามีมาก คนที่อยากให้เขาตายมีอยู่มากมายนับไม่ถ้วน มันเป็นสิ่งที่เหนือภพเป็นกังวลอยู่ในใจ
ณ ริมทะเลสาบตราตรึง
ทะเลสาบตราตรึงแห่งนี้จัดเป็นทะเลสาบขนาดเล็กที่อยู่ใกล้เมืองหลวงมากที่สุด เพราะแค่เดินผ่านประตูเมืองทางทิศตะวันตกไปไม่กี่ก้าวก็จะพบเห็นทิวทัศน์แสนสวยงามแบบนี้ ที่นี่จึงนับว่าเป็นสวนสาธารณะแห่งหนึ่งของเมืองหลวงที่ใครจะเข้ามาเยี่ยมชมก็ย่อมได้
ท่ามกลางบรรยากาศยามค่ำคืนที่แสนรื่นรมย์ กลุ่มหนุ่มสาวหรือแม้แต่ผู้เฒ่าผู้แก่มากมายต่างกระจายตัวกันนั่งชมวิวทะเลสาบ แสงประทีปสีส้มวับแวมที่ลอยตามกันมาเป็นสาย ช่วยส่งเสริมให้ผิวน้ำทะเลสาบดูระยิบระยับมากขึ้น บางพื้นที่ที่มีดอกบัวหลวงชูก้านดอกสลอนก็จะมีโคมไฟประดับประดา ขับเน้นให้ต้นไม้ดอกไม้รอบบริเวณดูเด่นขึ้นในยามกลางคืน
พราวจันทร์กำลังนั่งเคียงคู่อยู่กับองค์ชายชัยธวัชที่กำลังเอนกายนอนบนพื้นหญ้า พวกเขานั่งอยู่ในจุดที่ห่างไกลผู้คน แต่ก็ยังเห็นบรรยากาศของคู่รักคู่อื่น ๆ ได้ จะว่าไปแล้วผู้คนมากมายในสถานที่แห่งนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเสริมบรรยากาศให้ดูสดชื่นมีชีวิตชีวา
“ข้าต้องกลับบ้านแล้ว”
จู่ ๆ พราวจันทร์ก็ลุกขึ้น เธอพูดพลางจัดแจงกระโปรงตัวสวยให้เรียบร้อย ในขณะที่องค์ชายก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง ขาข้างหนึ่งเหยียดยาวไปกับพื้นหญ้า ขาอีกข้างชันขึ้นมาเป็นที่วางแขน
“จะรีบกลับทำไม”
“ข้ามีสามีรออยู่ที่บ้านนะ และวันนี้ข้าก็มาเที่ยวเล่นกับท่านตามข้อตกลงแล้ว”
“เฮอะ สามี”
องค์ชายถอนหายใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับเธอ เขาเอื้อมมือไปกุมมือเธอเอาไว้อย่างอ่อนโยนจากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงห่วงใย ราวกับว่าเธอคือคนรักเก่าที่เขาต้องทะนุถนอม
“ฟังข้านะ ข้าไม่เคยรังเกียจที่เจ้าเคยมีสามีมาแล้ว แต่..”
“ข้ายังมีสามีอยู่”
“อืมนั่นแหละ แต่ข้าทนไม่ได้ที่เจ้าจะต้องเผชิญกับความเสียใจ ข้ายอมเป็นคนอัปยศที่ต้องเอาชื่อคนอื่นมากล่าวร้าย แต่เพื่อเจ้า ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ไว้ว่าเหนือภพคนนั้นน่ะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับน้ำเพชร ข้าไม่รู้ว่าพวกเขามีข้อตกลงอะไรกันรึเปล่า แต่ถ้าดูจากท่าทางของน้องสาวข้า ข้ารู้”
พราวจันทร์ดึงมือออกจากอุ้งมือที่แสนอบอุ่นขององค์ชาย เธอหลับตาลงช้า ๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นมาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาขององค์ชายด้วยความรู้สึกมั่นใจ
“มันไม่ใช่อย่างที่ท่านคิดแน่”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ก็ดี ขอแค่เจ้ามีความสุข ข้าก็พอใจแล้ว”
องค์ชายรู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่พราวจันทร์ดึงมือออกไป แต่ด้วยขัตติยมานะของเขา ทำให้เขาเพียงดึงมือตัวเองกลับมาไพล่หลัง พลางยืดยกอย่างผึ่งผาย
พราวจันทร์ยิ้มน้อย ๆ ให้องค์ชาย องค์ชายช่างดูสุขุมนุ่มลึก ดูเป็นผู้ที่พึ่งพาได้อยู่เสมอ ทำให้เธอหวนย้อนคิดไปถึงตอนที่เธอถูกจับมาขายในครั้งแรก ในครั้งนั้นโชคดีที่มีสัตว์อสูรบุกขบวนค้ามนุษย์ และก็โชคดีที่องค์ชายได้เที่ยวเล่นหาประสบการณ์ในป่า ผ่านมาเจอเธอพอดี และนั่นก็ถือเป็นความสัมพันธ์ครั้งแรกของพวกเขา
พราวจันทร์ยกยิ้มอย่างมีเสน่ห์ ก่อนจะย่อกายทำความเคารพองค์ชายเพื่อขอตัวกลับบ้าน
“ข้ากลับก่อนล่ะ หวังว่าท่านจะทำตามเรื่องที่เราคุยกันไว้”
“เจ้านะเจ้า คอยดูเถอะคราวหน้าข้าจะเรียกร้องสิ่งแลกเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น”
“อะไรก็ได้ ยกเว้นสิ่งที่ข้าไม่อยากให้”
พราวจันทร์ยิ้มทะเล้น ทำให้องค์ชายหลุดหัวเราะออกมา จากนั้นคนทั้งคู่ก็พาหัวเราะอย่างมีความสุข คล้ายกับวันเก่า ๆ ที่ทั้งสองเคยใช้เวลาเที่ยวเล่นด้วยกัน
ในขณะที่พราวจันทร์กำลังจะจากไปนั้นองค์ชายก็พูดโพล่งขึ้นมา
“ขออะไรอย่างได้ไหม”
“อะไรคะ”
“ข้าขอกอดเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย”
ในตอนนี้องค์ชายไม่มีท่าทีล้อเล่นอีกแล้ว ดวงตาของเขาคลอไปด้วยหยาดน้ำตาที่พราวจันทร์ไม่เคยเห็นมาก่อน เขารู้ว่าจากนี้ไปเส้นชะตาของเขากับพราวจันทร์ของห่างกันออกไปเรื่อย ๆ แต่ในเมื่อเธอเลือกแล้ว เขาก็คงทำได้ดีที่สุดแค่ทำตัวเป็นเส้นขนาน ถึงไม่มีวันบรรจบแต่ก็อยู่ในสายตาของกันและกันตลอดไป
พราวจันทร์ถอนหายใจ เธอเองก็สงสารองค์ชายไม่น้อย ผู้ชายที่รักมั่นเช่นเขาไม่ควรต้องมาทนทุกข์เพราะเธอ เธอค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหาองค์ชายช้า ๆ ทว่าจู่ ๆ ตัวเธอก็ถูกกระชากกลับไปข้างหลังอย่างแรง
“ว๊าย”
“ข้ามาแล้วเมียจ๋า”
เหนือภพโผล่มาจากไหนไม่มีใครทันรู้สึก รู้ตัวอีกทีก็เห็นเหนือภพพุ่งมาข้างหลังมากอดรัดพราวจันทร์เอาไว้ในอ้อมแขน จากนั้นเขาก็ก้มตัวลงหอมแก้มเธอจากข้างหลังฟอดใหญ่ ทำให้พราวจันทร์ถึงกับอายม้วน แต่เธอก็เริ่มชินกับพฤติกรรมของสามีเสียแล้ว ดังนั้นเธอจึงกอดแขนเขาไว้เป็นการทักทาย
ส่วนองค์ชายนั้นรู้สึกต่างกัน เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นส่วนเกินที่ไม่มีใครต้องการ อีกทั้งเขายังหน้าแดงเพราะความหึงหวงผสมกับความเก้อเขิน
“พวกเจ้า ! บัดสีบัดเถลิง”
พูดจบองค์ชายก็หันหน้าหนีคู่รักหน้าไม่อายทั้งสอง การแสดงความรักในที่สาธารณะที่มีบุคคลที่สามอยู่ด้วย มันใช้ได้ที่ไหน รู้ถึงไหนอายถึงนั่น
“ทำไม ผัวเมียกันจะทำอะไรก็ได้ คนนอกอย่ายุ่ง” เหนือภพตอบกลับอย่างท้าทาย แต่พราวจันทร์ก็ช่วยห้ามทัพไว้ก่อน
“ท่านพี่ อย่าหาเรื่ององค์ชายเลย พวกเรากลับกันเถอะ”
“องค์ชายอะไร”
เหนือภพเพ่งมองชายหนุ่มรูปร่างผึ่งผายตรงหน้า แล้วเขาก็จำได้ว่าชายคนนี้คือพวกฮันเตอร์จากราชวงศ์ที่เขาเจอที่หมู่บ้านโอปะนั่นเอง และเขาก็ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท แสดงว่าเขาคือองค์ชายรองที่ชอบท่องเที่ยวหาประสบการณ์ เหนือภพคิดเชื่อมโยงได้เช่นนั้นแต่เขาก็ไม่ได้พูดถึงการปลอมตัวขององค์ชาย
“ไปกันเถอะ เมียจ๋า”
“ค่ะ ท่านพี่”
จากนั้นเหนือภพก็อุ้มพราวจันทร์กระโดดหายไปในความมืด ทิ้งให้องค์ชายชัยธวัชยืนอยู่ที่เดิมด้วยใจร้าวราน โดยเฉพาะคำพูดเรียกขานของทั้งคู่ ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งเจ็บช้ำ
เหนือภพอุ้มพราวจันทร์กระโดดทะลุหน้าต่างเข้ามาอยู่ในห้องน้อย ๆ ของตัวเองบนชั้น 2 ของร้านขายน้ำผึ้ง ทั้งสองกอดกันกลมอยู่บนเตียงนอนขนาดเล็ก แต่นั่นก็กินพื้นที่เกือบครึ่งห้องไปแล้ว จู่ ๆ เหนือภพก็รู้สึกขนลุกตามแขน ลางสังหรณ์ในกายถูกปลุกเร้าขึ้นมา
“เมียจ๋า ผู้ชายคนที่จ่ายเงินซื้อตัวเมียจ๋าในวันนั้นเป็นใคร”
“ก็...” พราวจันทร์อึกอักเล็กน้อย ไหนว่าเหนือภพไม่สนใจเรื่องนั้น แล้วทำไมวันนี้จู่ ๆ เขาก็ถามถึง
“มันคือองค์ชายคนนั้นใช่มั้ย”
พราวจันทร์พยักหน้าเบา ๆ เธอไม่ต้องการปิดบังเหนือภพ แต่เธอก็ไม่อยากให้เหนือภพมีท่าทีแปลก ๆ แบบนี้เลย
“แต่ท่านพี่ พวกเราไม่...”
พราวจันทร์ยังพูดไม่จบ เหนือภพก็จูบปากเธอเสียก่อน เขาบดจูบเธออยู่อย่างนั้นจนเธอต้องผลักเขาออกเพราะหายใจไม่ทัน
“ท่านพี่หึงหรอคะ ใช่มั้ยคะ”
พราวจันทร์เค้นถามด้วยใบหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไม่นึกเลยว่าท่านพี่ผู้แข็งกระด้างของเธอจะมีมุมนี้ด้วย แต่เหนือภพกลับปฏิเสธแก้เก้อด้วยน้ำเสียงที่แหลมสูงผิดปกติ
“เปล๊า เอาเป็นว่าต่อไปนี้ห้ามเจ้าติดต่อกับมันอีก”
“แต่ว่า...”
“ทำไม มีอะไรถึงเลิกติดต่อกับมันไม่ได้”
พราวจันทร์อึกอักก่อนจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้เหนือภพฟัง เธอเล่าย้อนความสัมพันธ์ของเธอและองค์ชายตั้งแต่แรกพบกัน จากนั้นก็เล่าเรื่องที่เธอได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มภารดา เธอมีภารกิจที่ยิ่งใหญ่ที่จะต้องผูกสัมพันธ์กับราชวงศ์ให้ได้ เมื่อไหร่ที่เธอเจาะเข้าไปถึงวงในของราชวงศ์ได้นั่นจึงจะถือว่าสำเร็จ
เหนือภพนอนกอดพราวจันทร์ไปด้วยรับฟังเรื่องราวของเธอไปด้วย ใบหน้าของเขาดูเคร่งเครียดตลอดเวลา จนกระทั่งพราวจันทร์เล่าจบ เหนือภพก็ทำหน้าครุ่นคิดอยู่สักครู่แล้วก็ยิ้มออกมาอย่างสบายใจ
“เรื่องนี้เมียจ๋าไม่ต้องห่วง ข้าจะทำภารกิจนี้แทนเจ้าเอง เราไม่จำเป็นต้องเข้าทางองค์ชายก็ได้ ตอนนี้ข้าอยู่ในบ้านฮันเตอร์ขอองค์หญิงบุษย์น้ำเพชร แค่พยายามอีกนิดหน่อยข้าก็จะสามารถเป็นคนสนิทนางได้ไม่ยาก ขอเจ้าวางใจ”
พราวจันทร์ขมวดคิ้วทันที ใบหน้าของเธอแสดงออกถึงความไม่พอใจได้ชัดเจนมาก
“อะไรกัน วิธีนี้ไม่ดีตรงไหนเมียจ๋า”
“ไม่ดีทุกตรง”
“อะไรว้า”
เหนือภพเกาหัวแกรก ๆ อย่างไม่เข้าใจ แผนการของเขาออกจะเรียบง่ายและสำเร็จได้จริง พราวจันทร์จ้องเหนือภพเขม็ง นี่เขาไม่รู้เลยหรือว่าท่าทางแบบนี้คืออาการหึงหวงของผู้หญิง สุดท้ายพราวจันทร์ก็ตัดใจ งอนไปก็เหนื่อยเปล่า ถึงอย่างไรสามีจอมบื้อของเธอก็คงไม่รู้
“ท่านพี่ ข้าติดต่อเรื่องสร้างบ้านฮันเตอร์ไว้แล้ว ท่านลาออกจากบ้านฮันเตอร์ขององค์หญิงได้แล้ว”
“หืม เมียจ๋าทำได้ไง ข้าเพิ่งจะได้เป็นแรงค์ D ไม่กี่ชั่วโมงเองนะ”
พราวจันทร์ยิ้มเจ้าเล่ห์แต่ก็ไม่ตอบอะไร ขืนเธอบอกไปว่าเธอขอร้องให้องค์ชายช่วยดำเนินการเรื่องนี้ คืนนี้เธอคงได้ทะเลาะกับเหนือภพไม่จบสิ้น
“ข้าทำได้ก็แล้วกัน”
“จ้า เมียจ๋าเก่งที่ซู๊ดดด อ้อ วันนี้ข้าหาเงินมาได้ตั้งเยอะ อ่ะนี่ข้าให้เมียจ๋าเก็บไว้”
เหนือภพหยิบเงินทั้งหมดที่หามาได้ส่งให้พราวจันทร์ แล้วก็จูบเธออย่างดูดดื่มอย่างต้องการรางวัลตอบแทน
“อีกอย่างนะ ต่อจากนี้ไปเมียจ๋าห้ามอยู่ห่างกายข้าอีก เข้าใจมั๊ย”
“ค่ะ ท่าน… อื้อ”
พราวจันทร์ถูกเล้าโลมอย่างหนัก สงสัยสามีของเธอจะอดกลั้นมาจากเมื่อวาน ในคืนนี้พวกเขาคงจะได้ปลดปล่อยกันเสีย และในขณะที่พราวจันทร์กำลังลูบไล้แผ่นหลังของเหนือภพอย่างเคลิบเคลิ้ม ยังไม่ทันได้เข้าด้ายเข้าเข็มก็มีเสียงเคาะประตูห้อง เสียงดังรัวเร็ว
ปัง ! ปัง ! ปัง ! ปัง ! ปัง !
“เหนือภพ ! เหนือภพ ! มีคนมาหา”
“ไปให้พ้น !”
เหนือภพโงหัวออกมาจากผ้าห่มอย่างหงุดหงิด แต่ดูเหมือนว่าพลจะมีเรื่องเร่งร้อนจริง ๆ
“มีคนมาเต็มร้านเลย ลงไปหาพวกเขาหน่อย ขอร้องล่ะ”
“ฮึ่ย”
เหนือภพดีดตัวลุกไปเปิดประตู เพียงแค่เห็นใบหน้าของเหนือภพ พลก็ก้าวถอยหลังทันที ใบหน้าของเหนือภพนั้นถมึงทึง แผ่กลิ่นอายน่ากลัวราวกับจะมาฆ่าคน
“เอ่อ พวกนั้นคงจะมีเรื่องสำคัญ เห็นว่ามาจากสำนักงานส่วนกลาง”
เหนือภพหลับตาลงอย่างอดกลั้น เจ้าพวกนั้นจะเรียกเขาไปทำอะไรดึกดื่นป่านนี้ สงสัยว่ามีเรื่องด่วนเรียกตัวเขาไปคุยเรื่องภารกิจระดับสูงเป็นแน่ และเขาก็ไม่อาจปฏิเสธคนจากส่วนกลางได้
“รอแปบ”
ปัง !
เหนือภพปิดประตูอย่างแรง แล้วเขาก็บอกให้พราวจันทร์แต่งตัวให้เรียบร้อย จากนี้ไปไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน เมียจ๋าของเขาก็จะต้องไปด้วย