ตอนที่ 7 ชุดนิกายมยุเรศกับชายแท้โฉมงามราวกินรี!
ตอนที่ 7 ชุดนิกายมยุเรศกับชายแท้โฉมงามราวกินรี!
ฉีหวนย่างก้าวเข้ามายังห้องโถงในหอสังเกตการณ์ พร้อมกับมองไปโดยรอบ เธอพบเห็นผู้คนมากมายกำลังชุมนุมกันเป็นกลุ่ม ฉีหวนสังเกตเห็นพวกเขาแต่งกายค่อนข้างแปลก ทำให้เธอแน่ใจว่าคนเหล่านี้มิใช่สาวกของนิกายชิงหยุน
ฉีหวนไม่มีปัญหากับเครื่องแบบของนิกายชิงหยุนแม้แต่น้อย เนื่องจากไม่ว่าจะเพศอะไร ต่างก็ต้องสวมชุดคลุมยาวสีฟ้าครามและรัดเข็มขัดสีขาวทั้งนั้น แต่เธอจะไม่หนักใจเท่าไหร่นัก ถ้าหากชายบนพิภพทุกคนหน้าตาดีเหมือนหลิงหยุนจือ ผู้ซึ่งใส่ชุดน่าเกลียดก็ยังดูสง่างาม...
ในทางกลับกัน ถ้าหากฉีหวนใส่ชุดนั้น ทุกคนคงคิดว่ากำลังดูหนังสยองขวัญ แล้วถ้ายิ่งออกไปเดินตอนกลางค่ำกลางคืน มีหวังเหล่าสาวกต่างต้องตาลีตาเหลือกหาหมอผีมาปราบแทบไม่ทัน!
หลิงหยุนจือพาฉีหวนไปยังกลางห้องโถง พร้อมกับโค้งคำนับซูกงจือและนักพรตท่านอื่น หลังจากนั้นเขาก็พาเธอกลับไปยืนรอพิธีเริ่มอยู่ด้านหลังของห้องโถง
เนื่องจาก ณ พิภพแห่งเทพอมตะ เหล่าเซียน หรือนักพรตขั้นสูงต่างให้ความสำคัญด้านยศ หรือขั้นตำแหน่งมาก แม้ว่าเธอจะเป็นศิษย์ของซูกงจือ แต่บัดนี้ฉีหวนยังอยู่ในขั้นลมปราณที่ต่ำยิ่งนัก ถ้าหากเธอเดินบุ่มบ่ามเข้าไปหาซูกงจือคนเดียวโดยไม่มีสาวกขั้นสูงเช่นหลิงหยุนจือพาเข้าไป เธอคงถูกนินทา ว่าทำตัวไร้มารยาทไปจนชั่วลูกชั่วหลานเป็นแน่
ฉีหวนยืนกวาดสายตามอง และต้องหยุดชะงัก เมื่อได้พบหลิงเฟิงจือที่กำลังพูดคุยกับเหล่าผู้นำลัทธิอื่น ฉีหวนจ้องมองเขาด้วยสายตารังเกียจ และคิดในใจว่า ทำไมทุกครั้งหลิงเฟิงจือมักคุยกับเธอด้วยภาษาทางการและจริงจังไปหมดทุกเรื่อง แต่พอกับคนอื่น ทั้งคำพูดและท่าทางช่างดูเป็นมิตรเหลือเกิน 'นี่มันเหยียดเพศกันชัด ๆ!'
"นี่ศิษย์พี่ของเจ้ามักทำตัวเป็นมิตรเช่นนี้กับทุกคนหรือไม่?" ฉีหวนอดไม่ได้ที่จะสะกิดถามหลิงหยุนจือที่ยืนข้างเธอ
"..." หลิงหยุนจือเงยหน้ามองหลิงเฟิงจือที่กำลังยิ้มกว้าง เขารู้ดีว่า แท้จริงแล้วศิษย์พี่ของตนเองเป็นคนเช่นไร... จากนั้นเขาก็มองไปที่ฉีหวน แล้วหันศีรษะไปทางอื่นโดยไม่กล่าวอันใดทั้งสิ้น ถึงกระนั้นฉีหวนก็พอดูจากแววตาออกว่า เขากำลังล้อเลียน หรือไม่ก็เหน็บแนมศิษย์พี่ตนเองอยู่
"เห้ย! ชายชราที่แต่งกายเหมือนนกยูงคือผู้ใดกัน?"
"นั่นท่านอาจารย์ผู้อาวุโสหยวนซินจือขอรับ ท่านคือผู้คุมกฎในช่วงกลางของขั้นราชันลมปราณขอรับ" หลิงหยุนจือไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องรีบตอบคำถามเธอ มิเช่นนั้นฉีหวนก็จะเอาแต่พูดพล่ามไม่หยุดเสียที แล้วมันจะทำให้เขาหงุดหงิดเสียเปล่า "และนั่นชุดที่ผู้อาวุโสสวมใส่ คือชุดเซียนระดับต่ำของนิกายคังหลันขอรับ"
อาวุธวิเศษของดินแดนผู้หยั่งรู้ถูกแบ่งออกเป็นสามระดับเริ่มจากต่ำสุดคืออาวุธขุมทรัพย์ อาวุธภูตปีศาจ และอาวุธเทพเซียนตามลำดับ ซึ่งอาวุธระดับเทพเซียนเป็นอาวุธที่หายากที่สุดในทั้งหมดสามระดับ และส่วนใหญ่มักพบจากพระราชวังของเหล่าเทพเซียนที่ทิ้งไว้เท่านั้น แม้กระทั่งนิกายชิงหยุนยังมีอาวุธเทพเซียนเพียงสามชิ้น
"นี่สิ! ถึงจะคู่ควรกับนิกายเก่าแก่นับพันปี! อันที่จริงข้าก็ควรมีชุดเทพไว้สวมใส่เพื่อให้สมเกียรติวงศ์ตระกูลชิงหยุนบ้าง! เพราะเหตุใดกัน ถึงให้ข้าแต่งกายซอมซ่อเช่นนี้?!" ฉีหวนกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองเล็กน้อย พร้อมตระหนักถึงอาจารย์ผู้อาวุโสยาจก ที่ไม่เคยมอบอาวุธหรือชุดเทพให้เธอแม้แต่ชิ้นเดียว ทั้งฉีหวนยังตัดพ้อในใจอีกว่า 'ฉันไม่เคยว่าอะไรเลยนะ ถ้าท่านอาจารย์อยากจะบรรลุนิพพานในแบบนักพรต แต่ที่ยังข้องใจมีอยู่อย่างเดียวคือ ทำไมต้องลากฉันไปยุ่งเกี่ยวด้วย!'
บัดนี้ฉีหวนครอบครองอาวุธภูตปีศาจระดับสูงอยู่สองชิ้น โดยเธอปล้นอาวุธมาจากศิษย์พี่ และศิษย์น้องของซูกงจือ ซึ่งทุกคนอาจคิดว่า การปล้นสิ่งของจากชายชรานั้นทำได้โดยง่าย... แต่บอกไว้ก่อนว่าไม่ใช่กับชายชราสองท่านนี้!
"ผู้อาวุโสท่านนั้นช่างดูคล้ายหญิงสะ-..." ฉีหวนกล่าวไม่ทันจบประโยค หลิงหยุนจือก็รีบใช้มือปิดปากนางทันที แม้ว่าผู้คน ณ ที่แห่งนี้จะปิดรับความรู้สึกทางประสาทสัมผัสทั้งหมดเพื่อให้เกียรติซูกงจือ แต่ทว่าหูของเหล่านักพรตขั้นสูง ต่างตื่นตัวตลอดเวลาเป็นเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้นถ้าหากพวกเขาต้องการฟังว่าฉีหวนกล่าวสิ่งใดออกมา มันก็ไม่ใช่เรื่องยากในการหาคำตอบ...
ด้วยเหตุนี้สิ่งที่ฉีหวนกล่าวถึงหยวนซินจือ อีกฝ่ายจึงได้ยินหมดทุกคำพูด ถึงกระนั้นเขาก็มิได้แสดงท่าทางคับแค้นใจอันใด ทั้งเขากลับหัวเราะออกมาอย่างขบขัน แต่... ฉีหวนหารู้ไม่ว่ากำลังกระตุ้นความเจ็บปวดที่ฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึกของใครคนหนึ่งอยู่
สิ่งที่ฉิงเสี่ยว ผู้นำนิกายคุนหลุนเกลียดที่สุดในชีวิต คือการถูกติฉินนินทาว่ามีรูปลักษณ์คล้ายหญิงสาว หากย้อนไปครั้งที่หลิงเฟิงจือยังไม่ได้เป็นผู้นำนิกายชิงหยุน เขาเคยเข้าใจผิดว่าฉิงเสี่ยวเป็นเพศหญิง จึงเรียกเขาแทนชื่อว่าน้องสาว ฉิงเสี่ยวทั้งเสียใจ และเคืองแค้นกับการกระทำครั้งนั้นของหลิงเฟิงจือมานานถึงสี่ร้อยปี หากไม่ใช่เพราะหลิงเฟิงจือแข็งแกร่งกว่าฉิงเสี่ยว บัดนี้เขาทั้งสองคงฟาดฟันกันจนกว่าใครคนใดคนหนึ่งจะตายจากไปข้างหนึ่ง
บัดนี้ฉิงเสี่ยวจึงนำศิษย์ชั้นยอดแห่งนิกายคุนหลุนห้าตนมายังที่แห่งนี้ เพื่อข่มหลิงเฟิงจือโดยเฉพาะ และสิ่งที่ฉีหวนเพิ่งกล่าวไปนั้น อาจทำให้กองไฟที่กำลังปะทุลุกโชนไปทั่วห้องโถงเลยก็ว่าได้
ผ่านไปครู่หนึ่ง หลิงหยุนจือก็เผยรอยยิ้มปีศาจ พร้อมกับตระหนักว่า หากฉิงเสี่ยวแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินแล้วปล่อยผ่านไปก็คงดียิ่งนัก แต่ถ้าเขาเก็บมาคิดและเลือกที่จะมีปัญหากับฉีหวนแล้วก็ รับรอง... คราวนี้เรื่องต้องใหญ่มากแน่!
ซูกงจือ ท่านอาจารย์ลุงผู้อาวุโสหมั่นฝึกฝนบ่มเพาะพลังอย่างหนักมาตลอดชีวิต จนสามารถขึ้นไปเป็นปรมาจารย์ห้าอันดับแรกแห่งพิภพเทพอมตะได้ ซึ่งท่านไม่เคยรับผู้ใดเป็นศิษย์มาก่อน แต่บัดนี้ได้รับฉีหวนเป็นศิษย์ตนแรก ทั้งยังใส่ใจและปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี เขาเห็นได้ชัดตั้งแต่ครั้งที่ฉีหวนตัดต้นแมกโนเลียสีหยกขาว ที่อาจารย์ลุงซูกงจือเฝ้าทะนุถนอมมาเป็นหมื่นปี ซึ่งท่านไม่ต่อว่าฉีหวนสักคำ แต่กลับหันไปดุด่าหลิงเฟิงจือแทน... นั่นหมายความว่าศิษย์ตนนี้ของซูกงจือ ห้ามใครมาคิดปองร้ายแม้แต่น้อย!
ช้าก่อน... อย่าเพิ่งตัดสินผู้อื่นจากรูปลักษณ์ภายนอก แม้ว่าซูกงจือจะดูเป็นชายชราที่แสนอ่อนโยน และมักยิ้มแย้มอยู่เสมอ แต่หารู้ไม่ว่าในตอนวัยเยาว์เขาได้กระทำชั่วร้ายมากมายนับไม่ถ้วน มิเช่นนั้นคงไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวขานว่าซูกงจือสะท้อนให้เห็นถึงศิษย์ของเขา! ถ้าฉิงเสี่ยวกล้าทำอันใดฉีหวนแล้วล่ะก็... ชายชราท่านนี้ต้องจุดไฟเผายอดคุนหลุนจนพินาศ คล้ายกับข่าวซุบซิบที่กล่าวต่อกันมาว่า เมื่อห้าร้อยปีก่อน เกิดคดีวางเพลิงบนยอดเขาคุนหลุน ซึ่งผู้อาวุโสทั้งสามในห้องโถงนี้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด
เสียงของฉีหวนไม่ดังมากนัก แต่หลิงหยุนจือแน่ใจว่าฉิงเสี่ยวต้องได้ยิน ไม่เช่นนั้นหน้าเขาคงไม่ถอดสีไวถึงเพียงนี้ ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้แสดงอาการโกรธเคืองอันใด ฉิงเสี่ยงคงตระหนักว่าฉีหวนเป็นเพียงศิษย์ขั้นต่ำที่จะจัดการเมื่อไหร่ก็ได้
แต่ฉิงเสี่ยวที่กำลังโกรธ อาจลืมพิจารณาไปว่า ถ้าหากฉีหวนอยู่ระดับต่ำ แล้วนางเข้ามายังห้องโถงแห่งนี้ได้อย่างไร แล้วเหตุใดลูกหลานของอาจารย์ผู้อาวุโสแห่งชิงหยุนถึงต้องมาคอยปรนนิบัติดูแลด้วยเล่า
หลังจากที่แขกทุกท่านเริ่มเข้ามายังห้องโถงจนคับคั่ง หลิงเฟิงจือผู้ซึ่งพูดคุยจนน้ำลายเกือบแห้งทั้งปากเร่งสั่งให้สาวกชิงหยุนพาเหล่าผู้นำนิกายอื่น ไปยังพระราชวังของตนเพื่อพักผ่อน ซึ่งพิธีจะเริ่มขึ้นในอีกสองวันข้างหน้า
ทันใดนั้นห้องโถงก็เริ่มว่างเปล่า เหลือเพียงชายชราสามตน และฉีหวน เธอเดินตรงไปหาท่านอาจารย์ผู้อาวุโส และนั่งบนเก้าอี้ข้างเขาพร้อมกับบ่นเล็กน้อย "ไหนท่านบอกว่าข้าเป็นศิษย์คนเดียวของท่าน! แล้วเหตุใดท่านอาจารย์ถึงไม่บอกกล่าวข้าสักนิดว่าท่านกำลังจะเข้าพิธีพิสูจน์ตนเล่า!..."
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ซูกงจือก็ยิ้มเล็กน้อย "วันก่อนข้าดื่มหนักไปหน่อย เมื่อข้าตื่นมาอีกทีก็พบว่าถึงเวลาที่ต้องเข้าร่วมพิธีแห่งกฎสวรรค์เสียแล้ว"
"ใช่ ข้านึกว่าข้าอยู่บนสวรรค์แล้วเสียอีก ฮะ-ฮ่า!" ซูหลิงจือศิษย์พี่ของซูกงจือจ้องมองฉีหวน และศิษย์น้องของเขา พร้อมกับตระหนักว่า ไม่มีผู้ใดรู้กฎแห่งสวรรค์ที่แท้จริง แต่อย่างน้อยครั้งหนึ่งก็เคยมีศิษย์น้อง และหลานสาวที่เก่งกาจ ทั้งยังมีจิตใจงดงามอย่างหาใครเทียบมิได้
ไม่มีสิ่งใดในชีวิตเขาที่สามารถเทียบกับซูกงจือได้เลย เพียงชั่วครู่ซูหลิงจือก็ฉุกคิดได้ และหันไปมองฉีหวนพร้อมกับไตร่ตรอง ในที่สุดเขาก็พบว่าสิ่งเดียวที่เทียบซูกงจือได้ก็คือ... อย่างน้อยสาวกที่เขาเลือกก็ยังจัดการง่ายกว่าศิษย์อย่างฉีหวน...
"ท่านอาจารย์! แล้วท่านจะทำพิธีนานถึงเมื่อใดกัน? อย่าบอกนะว่าสิบวัน หรือไม่ก็อาจจะครึ่งเดือนงั้นรึ? ข้าน้อยจะเป็นลม!" ฉีหวนกล่าวด้วยความหวาดกลัว เธอไม่อยากเป็นศิษย์คนแรกที่อดยากจนตายในพิภพแห่งเทพอมตะ คิดดูสิ! มันน่าอดสูถึงเพียงไหน?!
"ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก" เส้นเลือดสีดำหนาปูดขึ้นบนใบหน้าของซูกงทันที เมื่อได้ยินสิ่งที่ศิษย์ของตนกล่าว หากเข้าพิธีนานขนาดนั้น กระดูกคงสลายไม่เหลือให้เห็นในซากศพ
"เยี่ยม! เอ่อ... ท่านอาจารย์เจ้าค่ะ บัดนี้ท่านกำลังจะเข้าสู่พิธีพิสูจน์กฎสวรรค์ งั้นแสดงว่าท่านกับข้าต้องห่างกัน ด้วยเหตุนี้ท่านไม่คิดจะมอบอาวุธให้ศิษย์ตนนี้ ไว้ป้องกันตัวบ้างหรือ?"
"อาวุธ?" ซูงกงจืองุนงงกับสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อ
"โอ้ย!... ศิษย์รักของเจ้ากำลังกล่าวถึงอาวุธวิเศษอย่างไรเล่า!"
"อ๋อ.. อะ.. โอ้! อาวุธวิเศษ! นี่ไงเจ้าลองนำอาวุธขั้นเทพเซียนระดับต่ำนี่ไปใช้ก่อนสิ" ซูกงรื้อค้นวงแหวนมิติในมือของตน จากนั้นก็หยิบอาวุธเจดีย์แก้วมรกตออกมา
"อาจารย์! นี่ท่านเล่นตลกอยู่รึ? ข้ายังมีความสามารถไม่พอที่จะใช้มัน!" นอกจากเธอจะไม่มีพลังอำนาจเพียงพอในการควบคุมอาวุธระดับเทพเซียนแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือ ถ้าผู้ฝึกบ่มเพาะตนอื่นรู้ว่า ฉีหวนมีอาวุธวิเศษเช่นนั้นอยู่ในมือ เธอคงถูกปล้นและฆ่าทิ้งทันทีที่เธอย่างก้าวออกจากเขาชิงหยุนแน่นอน!
ฉีหวนเป็นคนโลภนั้นคือเรื่องจริง แต่เพียงบัดนี้เธอยังคงเห็นคุณค่าชีวิตตนเองมากกว่า
"เอาล่ะ! ถ้าเช่นนั้นเจ้านำเศษพรมมณีราคผืนนี้ไปใช้ก่อน!" เมื่อซูหลิงจือเห็นศิษย์น้องของตนตั้งใจรื้อค้นของในวงแหวนมิติอยู่นาน แต่ทว่าก็ไม่พบอาวุธที่เหมาะกับฉีหวนสักที เขาจึงหันไปหยิบอาวุธจากวงแหวนของตนเองออกมา แล้วยื่นให้ฉีหวน
"โห่! ท่านลุงผู้อาวุโส นี่มันขนาดเล็กมากเสียจนนำมาใช้แทนผ้าเช็ดหน้าได้เลยกระมัง?" ฉีหวนจ้องมองไปที่พรมแดงอยู่นาน พร้อมกับคิดในใจว่า ลุงผู้อาวุโสของเธอช่างขี้งกเสียจริง
"ข้าไม่เห็นว่ามันจะเล็กตรงไหน?... และข้าก็ไม่ทราบว่ามันมีไว้ทำอันใด แต่สิ่งเดียวที่รู้ก็คือ... ข้าได้มันมาจากพระราชวังของเทพเซียน เพราะฉะนั้นมันต้องไม่ใช่สิ่งเลวร้ายแน่นอน รับไปสิ!"
"ท่านลุงกล่าวถูกแล้ว! ข้าคิดไม่ถึงสักนิด!" เมื่อฉีหวนได้ยินดังนั้น ความรู้สึกระคายเคืองในใจก็แทบหายไปทันที เธอยื่นมือรับพรมด้วยรอยยิ้มโปรยเสน่ห์ และเดินจากไปโดยไม่บอกกล่าว