ตอนที่ 3 ไม่เจ็บ
ตอนที่ 3
ไม่เจ็บ
“นายน้อย..ท่านมานั่งทำอะไรตรงนี้เจ้าคะ”ตู้กู่เดินมายังจุดที่สูงที่สุดของยอดเขาทางตะวันตกซึ่งเป็นยอดเขาที่วังของหงชิงหมิงตั้งอยู่ ที่นี่นับตั้งแต่เขามาก็กลายเป็นวังส่วนตัวของหงชิงหมิงไปในทันที ศิษย์ที่เข้ามาได้ก็มีแต่ศิษย์อาวุโสทั้งสี่อย่างพวกตู้กู่เท่านั้น
“ตรงนั้นเป็นวังที่ท่านแม่ของข้าอาศัยอยู่ใช่หรือไม่ขอรับ”ชิงหมิงชี้ขึ้นไปบนยอดเขาที่อยู่สูงที่สุด ยอดเขานั้นเป็นยอดเขาที่อยู่ตรงกลางซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของวังหลักของสำนักซ่อนเมฆา ชิงหมิงยามนี้อายุห้าปีเต็มแล้วได้ยินเรื่องของมารดาตนเองมาบ้าง แต่กลับไม่เคยเห็นหน้าเลยสักครั้งทำให้เด็กน้อยสงสัยเหลือเกินว่าสถานที่บนยอดเขานั้นเป็นเช่นไร
“ไม่ผิด....ท่านแม่ของท่านอยู่ที่นั่นจริง ๆเจ้าค่ะ”ตู้กู่ตอบพลางก้มหน้าลงมองเด็กชายด้วยท่าทีสงสาร บางครั้งชิงหมิงก็จะมานั่งตรงนี้มองไปยังวังหลักเหมือนจะอยากเห็นมารดาสักครั้ง แม้เวลาจะผ่านล่วงเลยมาห้าปีเต็มแล้วแต่นายหญิงหงหนิงก็ยังไม่เคยมาพบชิงหมิงเลยสักครั้ง
“ท่านน้าเมื่อไรข้าจะได้พบท่านแม่ล่ะขอรับ”เด็กน้อยชิงหมิงถามพลางมองตู้กู่ด้วยท่าทีสงสัย ดวงตาใสซื่อของเด็กชายทำเอาตู้กู่ไม่ทราบจะตอบเช่นไรดี นายหญิงไม่มีท่าทีจะลงมาหานายน้อยเลย ต่อให้พวกตนขอร้องนายหญิงสักกี่ครั้งก็ดูเหมือนจตะไร้ความหวัง
“ท่านแม่ของท่านยังติดธุระเจ้าค่ะ ไม่สามารถลงมาได้จริง ๆ”ตู้กู่ตอบความเท็จพลางนั่งลงข้าง ๆเด็กชาย แม้จะทราบอยู่แล้วว่ามองจากตรงนี้ไปมารดาก็ไม่ลงมาพบ หรือแม้แต่มองก็ไม่สามารถมองเห็นได้ชิงหมิงก็ยังคงนั่งมองวังหลักอยู่ตรงนี้เนิ่นนานราวกับหวังว่ามารดาจะหมดธุระเสียที
“นายน้อย ท่านยังมีพวกเราอยู่ด้วยนะเจ้าคะ”ตู้กู่เห็นชิงหมิงทำหน้าเศร้าออกมาก็ส่ายหน้าช้า ๆก่อนจะยกมือขึ้นไปกอดร่างของเด็กชายเอาไว้ ก่อนที่นางจะถอดผ้าคลุมออกมาคลุมให้เด็กชายด้วยท่าทีเป็นห่วง ลมบนยอดเขาหนาวเหน็บเสมอ แต่เพราะชิงหมิงได้กินอาหารดี ๆตลอดก็เลยไม่เคยเป็นหวัดหรือป่วยไข้เลยแม้แต่ครั้งเดียว เด็กคนนี้มีชีวิตสุขสบายไม่เคยเจอเรื่องลำบากแต่กลับไร้วาสนาจะได้พบเจอมารดาทั้งที่นางอยู่ห่างเพียงทอดสายตามองแท้ ๆ
.
.
“นายหญิง.....วันนี้นายน้อยยังสุขภาพแข็งแรงดีเจ้าค่ะ”ในเช้าของอีกวัน ตู้กู่ อาสามารายงานเรื่องของนายน้อยให้นายหญิงได้รับทราบแทนเหมยอิงที่เป็นคนมารายงานตามปกติ เพียงแต่รายงานเสร็จตู้กู่กลับไม่ยอมเดินจากไปเสียอย่างนั้น
“มีอะไร”นายหญิงหงหนิงที่กำลังฝึกฝนวิชาอยู่ในวังหลักชะงักกระบี่ลงก่อนจะหันไปมองตู้กู่ที่กำลังยืนนิ่งเหมือนจะอยากพูดอะไรบางอย่าง
“นายหญิง....ท่านไปเยี่ยมนายน้อยสักครั้งได้หรือไม่เจ้าคะ”ตู้กู่ถามพลางเงยหน้ามองนายหญิงด้วยท่าทีเกรง ๆ นายหญิงเป็นยอดฝีมือที่เก่งกาจหาใครเปรียบได้ยาก แม้นางจะเป็นศิษย์ที่มีความอาวุโสที่สุดในสำนักก็ไม่อาจเทียบนายหญิงได้แม้แต่ปลายเล็บ
“ทำไมข้าต้องไปเยี่ยมมันด้วย”หงหนิงได้ยินก็ตั้งท่ากระบี่ต่อราวกับเรื่องที่ตู้กู่ร้องขอเป็นเรื่องไร้สาระเสียอย่างนั้น ท่าทีของนายหญิงทำเอาตู้กู่ชะงักไปทันทีเพราะนางเห็นชิงหมิงรอมารดาอยู่ที่ยอดเขาแล้วอดที่จะรู้สึกสงสารไม่ได้
“นายหญิง...ขอร้องล่ะเจ้าค่ะ ขอแค่ท่านไปให้เขาเห็นหน้าสักหน่อย หรือแค่ให้เขาได้มาที่นี่ก็ยังดี”ตู้กู่ที่ปกติจะสงบปากสงบคำทำตัวเรียบร้อยเอ่ยปากขอร้องออกมาด้วยท่าทีสุดจะกลั้น ห้าปีแล้วที่ชิงหมิงไม่เคยได้พบมารดาทั้ง ๆที่แค่นายหญิงเดินออกไปเล็กน้อยก็สามารถพบชิงหมิงได้ทันที แต่นางก็ไม่ทำ
“ทำไมข้าต้องทำเพื่อมันด้วย เจ้านั่นแค่ให้มีชีวิตรอดก็พอแล้ว”นายหญิงหงหนิงตอบพลางวาดกระบี่ไปด้านหน้าอย่างงดงาม แต่ตู้กู่ยามนี้ไม่ได้สนใจกระบี่ของนางเลย
“แม้แต่ชื่อท่านก็ไม่ยอมเรียก ทำไมท่านถึงได้พาเด็กคนนั้นมากัน”ตู้กู่เห็นนายหญิงทำตัวเย็นชาเช่นนี้ก็มีแต่สับสน หากจะไร้เยื่อใยเช่นนี้ทำไมต้องพานายน้อยมาอยู่ข้าง ๆด้วย สู้ทิ้งเขาไว้ที่ไหนสักแห่งแล้วให้เขาเข้าใจว่าตนเองไม่มีมารดาจะไม่ดีกว่าหรือ
“ชื่อ.....นี้พวกเจ้าตั้งชื่อให้มันด้วยงั้นเหรอ”หงหนิงชะงักนิดหน่อยเมื่อได้ยินว่าเจ้าเด็กนั่นมีชื่อด้วย ตลอดเวลาที่ผ่านมาหงหนิงได้ทราบว่าเจ้าเด็กนั่นยังมีชีวิตอยู่ก็เพียงพอแล้วข้อมูลอื่น ๆนางไม่เคยคิดจะฟัง
“เจ้าค่ะ....พวกเราตั้งชื่อให้นายน้อยว่า หงชิงหมิงเจ้าค่ะ”ตู้กู่ตอบพลางก้มหน้าลงช้า ๆ เพียงแต่ยังไม่ทันจะได้ก้มหน้าอยู่ ๆเงากระบี่สายหนึ่งก็พุ่งเข้ามาใส่นางทันที
เพี๊ย!!
แม้ตู้กู่จะวาดฝ่ามือปัดป้องแต่เงากระบี่ไวเกินรับมือ พริบตาเดียวใบกระบี่ก็ตีเข้าที่ใบหน้าของตู้กู่อย่างจังทำเอานางถึงกับล้มตะแคงลงไปนอนกับพื้น
“ใครสั่งให้พวกเจ้าใช้แซ่ของข้าตั้งชื่อให้มัน”หงหนิงพูดด้วยท่าทีโมโหก่อนจะยกกระบี่ขึ้นเหมือนจะฟันลงมาใส่ตู้กู่อีกรอบ แต่มือของนางก็ชะงักไปก่อนเมื่อเห็นเลือดที่ไหลออกมาจากขอบปากของตู้กู่ แถมใบหน้าของนางยังแดงเป็นแถบอีกต่างหาก
“เจ้าเด็กนั่นมันไม่เกี่ยวข้องกับข้าจำเอาไว้ มันไม่เกี่ยวข้องกับข้า”นายหญิงหงหนิงตอบพลางลดกระบี่ลง แต่ถึงจะพยายามทำให้ตัวเองสงบแต่กระบี่ในมือของนางกลับสั่นอย่างประหลาด ราวกับว่าพอนึกถึงเด็กคนนั้นแล้วจะทำให้หงหนิงนึกถึงเรื่องที่ไม่อยากนึกถึงขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“..........”ยิ่งมองท่าทีของนายหญิงตู้กู่ก็ยิ่งไม่เข้าใจ นางทำอย่างกับว่าไม่อยากผูกพันกับชิงหมิงเด็ดขาด หรือเพราะชิงหมิงมีสายเลือดของเหล่าฉีกันนะนายหญิงถึงได้รังเกียจขนาดนี้ แต่นางก็ไม่ยอมทิ้งชิงหมิงไปอยู่ดีเกรงว่านายหญิงจะเป็นผู้ที่สับสนกับตนเองที่สุดแล้วกระมัง
“เช่นนั้นข้าขอตัวเจ้าค่ะ นายหญิงโปรดรักษาสุขภาพด้วย”ตู้กู่เห็นนายหญิงปฏิเสธเช่นนี้ก็ได้แต่ถอยออกมา ท่าทางการให้นายหญิงมาพบนายน้อยก็เป็นเรื่องยากสำหรับนายหญิงเช่นกัน แม้จะรักเอ็นดูชิงหมิงแต่พวกนางต่างก็เป็นเด็กที่ถูกนายหญิงรับมาเลี้ยงดูทั้งนั้น พวกนางย่อมเป็นห่วงความรู้สึกของนายหญิงไม่ต่างจากที่ห่วงชิงหมิงเลย ท่าทางปัญหาเรื่องนี้คงต้องหาทางแก้อื่นเสียแล้ว
.
.
“นายน้อย....ท่านทำอะไรอยู่งั้นหรือเจ้าคะ”หลังจากกลับมาที่วังของชิงหมิง ตู้กู่ก็พบว่ายามนี้หงชิงหมิงกำลังนั่งอยู่ที่ศาลาร่วมกับเหมยอิง เพียงแต่เหมยอิงนั้นกลับหลับอยู่กับโต๊ะเสียอย่างนั้น
“ข้าขอให้ท่านน้าเหมยช่วยสอนข้าอ่านตัวหนังสือขอรับ”ชิงหมิงตอบพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีไร้เดียงสา ในวังของชิงหมิงมีตำรามากมายเพราะแต่เดิมก็เป็นวังของศิษย์อาวุโสอย่างพวกนางอยู่แล้ว แต่ไม่นึกว่าชิงหมิงจะเป็นคนขอให้สอนอ่านตัวอักษรด้วยตนเองทั้ง ๆที่พวกนางไม่เคยบังคับให้ชิงหมิงทำอะไรเลยแท้ ๆ
“ท่านอย่าไปรบกวนเหมยอิงเลย น้าเหมยของท่านไม่ถูกกับตำราเท่าไร”ตู้กู่เห็นภาพเช่นนี้ก็หัวเราะออกมาด้วยท่าทีเอ็นดู ตอนนี้เหมยอิงสลบคากองตำราไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะชิงหมิงน้อยขอให้สอนเหมยอิงคงไม่มีวันจับตำราเสียด้วยซ้ำ แต่ตู้กู่เจอภาพแบบนี้เข้าไปทำเอาเรื่องที่เจอมาบนวังหลักผ่อนคลายไปเลย
“งั้นท่านน้าตู้ช่วยสอนข้าหน่อยนะขอรับ ข้าอยากจะมีความรู้เยอะ ๆ”ชิงหมิงว่าพลางยกตำรามาหาตู้กู่ด้วยท่าทีร่าเริง
“ได้เจ้าค่ะ ข้าจะสอนให้นายน้อยเอง ว่าแต่ท่านจะรีบเรียนตำราพวกนี้ไปทำไมกันงั้นหรือเจ้าคะ”ตู้กู่ถามพลางมองตำราที่ชิงหมิงเอามาให้ดู ตำราเล่มนี้เป็นตำราที่ไม่เหมาะกับเด็กเอาเสียเลยเพราะมันเป็นตำราเกี่ยวกับสูตรยา หากจะฝึกอ่านตัวอักษรจริง ๆน่าจะใช้ตำราเล่มอื่นถึงจะถูก
“ข้าอยากให้ท่านแม่ชมขอรับ ถ้าวันไหนที่ท่านแม่มาหาข้าแล้วรู้ว่าข้าอ่านตำราพวกนี้ได้ บางทีท่านอาจจะชมข้าก็ได้ขอรับ”ชิงหมิงตอบพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีเคลิ้มฝัน แต่พอเห็นภาพเช่นนี้ตู้กู่ก็ดวงตาร้อนผ่าวขึ้นมาทันที คำชมจากมารดางั้นหรือ ช่างเป็นเป้าหมายที่ไร้เดียงสาจริง ๆ แต่ตู้กู่ก็ไม่ทราบว่าเมื่อไรนายหญิงจะยอมพบกับชิงหมิง และต่อให้เจอกันเกรงว่านายหญิงจะไม่คิดชมเชยเด็กชายเลยเสียด้วยซ้ำ
“งั้นข้าจะชมท่านก่อนก็แล้วกันเจ้าค่ะ”ตู้กู่ยิ้มพลางลูบศีรษะของชิงหมิงอย่างเอ็นดู พวกนางตามใจชิงหมิงจนเกินไปเสียด้วยซ้ำแต่ชิงหมิงก็ยังเป็นเด็กดีไม่ดื้อไม่ซนเลย ต่อให้ในร่างของเขามีสายเลือดของเหล่าฉีพวกนางก็ไม่สนหรอก
“ท่านน้า...แก้มท่านน้าเป็นแผลหรือขอรับ”ชิงหมิงถามพลางมองไปที่แก้มของตู้กู่ แม้จะใช้แป้งปิดบังรอยแดงแล้วแต่พอมองใกล้ ๆก็สามารถแยกแยะได้อย่างไม่ยากเย็นว่ามีรอยแดงบนใบหน้าของตู้กู่จริงๆ
“นี่มัน....แค่อุบัติเหตุระหว่างทางเท่านั้นเองเจ้าค่ะ”ตู้กู่ตอบพลางปิดใบหน้าตัวเองไป แต่ถึงจะปิดตอนนี้ก็ไม่ทันเสียแล้ว
“ท่านน้าเจ็บหรือเปล่าขอรับ”ชิงหมิงถามพลางมองตู้กู่ด้วยท่าทีเป็นห่วง ชิงหมิงยื่นมือน้อย ๆของเขาไปที่แก้มของตู้กู่ก่อนจะสัมผัสผิวของนางอย่างแผ่วเบา
“ตอนนี้ไม่เจ็บแล้วเจ้าค่ะ”ตู้กู่รับสัมผัสเบา ๆจากมือของชิงหมิงก็อมยิ้มออกมาด้วยท่าทีมีความสุข สัมผัสอบอุ่นเช่นนี้ตั้งแต่ชิงหมิงเป็นทารกก็มีให้นางเสมอ
วูบ.....
“...........”อยู่ ๆใบหน้าของตู้กู่ก็รู้สึกอุ่นวูบขึ้นมาเสียเฉย ๆ ไม่ใช่ความอุ่นจากอุณหภูมิร่างกาย แต่เป็นความรู้สึกอุ่นวาบเข้ามาในร่างของนาง
“ไม่เจ็บแล้ว......”คราวนี้ไม่ใช่แค่คำเปรียบเปรย หลังจากชิงหมิงเอามือออกไปแก้มของตู้กู่ก็ปราศจากรอยแดงไปอย่างสิ้นเชิง แต่คนที่ตกใจที่สุดเกรงว่าจะเป็นตู้กู่เอง ไม่ใช่แค่รอยแดง ความรู้สึกเจ็บที่แก้มและภายในปากก็หายไปจนหมดราวกับไม่เคยมีบาดแผลมาก่อน นี่มันเรื่องอะไรกัน.....