ตอนที่ 158 ป๊อก ๆ
ทางด้านเฮงเฮงและญาดา พวกเขาทั้งสองใช้เวลาสองวันร่วมแรงร่วมใจกัน สุดท้ายก็สามารถลากสัตว์อสูรแรงค์ D มาได้คนละตัว แล้วมุ่งหน้าไปที่สูงจุดศูนย์กลางของเกาะ และไม่ใช่แค่พวกเขาที่ทำเช่นนี้ ในวันสุดท้ายนี้ เหล่าผู้เข้าสอบส่วนใหญ่ก็เริ่มสมัครสมานสามัคคีกัน พวกเขาต่างช่วยกันกระชับพื้นที่เข้ามาถึงในพื้นที่กลางเกาะ พวกเขาไล่ต้อนสัตว์อสูรนับหลายร้อยตัว ให้ทยอยเข้ามาอยู่ในวงล้อมเรื่อย ๆ จนเกิดเป็นภาพของผู้เข้าสอบกลุ่มใหญ่ที่ต่างเคลื่อนตัวเข้าสู่เขตใจกลางเกาะ
ทว่าก็ยังคงมีผู้เข้าสอบบางคนที่ยังคงใช้เวลาไล่ล่าสัตว์อสูรที่ตัวเองหมายปองอยู่ โดยเฉพาะกลุ่มสายเลือดครุฑ และเหล่านาคราช พวกเขาต่างเดินทางไปในทิศเดียวกันเพื่อเฟ้นหาสัตว์อสูรที่ดีที่สุดเพื่อจะเอาชนะอีกฝ่าย ตลอดการเดินทางจึงเต็มไปด้วยเสียงการต่อสู้ และเสียงพูดจาตอบโต้ด่าทออย่างไม่ยอมลงให้กัน
จนกระทั่งเหล่าสายเลือดครุฑทั้งสองได้มาเผชิญหน้ากับเหนือภพ
เหนือภพที่กำลังเพลิดเพลินกับการถือกระบอกไม้ไผ่กลวงกับไม้เคาะหนึ่งอัน สะดุ้งโหยงพลางกระโดดหลบหลีกเมื่อคนสายเลือดครุฑทั้งสองโจมตีเขา
“นี่พวกเจ้า คิดจะทำอะไร ข้ากับเจ้าไม่เคยมีความแค้นต่อกัน”
เหนือภพตะโกนกลับอย่างไม่กลัวเกรง เมื่อเห็นว่าเขาไม่เคยเห็นหน้าคนทั้งสองมาก่อน
“มีสิ เจ้าได้ทำเรื่องผิดมหันต์”
สายเลือดครุฑรุ่นเยาว์ตอบกลับอย่างจริงจัง ทำให้เหนือภพขมวดคิ้ว หากดูจากสายตาที่แสนจะจริงจังและมั่นใจในศักดิ์ศรีของตัวเองอย่างล้นเหลือนั่น แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้โกหก เหนือพยายามทบทวนว่าเขาเคยไปมีปัญหากับสองคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
‘ที่หอหมื่นบุปผาเหรอ จะว่าไปก็ไม่น่าใช่’
ตอนนั้นที่หอหมื่นบุปผา คนที่ก่อเรื่องจริง ๆ มีแต่พญานาคและผู้คุมกฎซ้ายเท่านั้น ครั้นจะถามพญานาค แต่พญานาคยังคงปิดกั้นจิตอยู่
เหนือภพหลบหลีกการโจมตีครั้งต่อมา ก่อนจะตอบโต้ด้วยวิชาพลังรวมศูนย์ กำปั้นผนึกพละกำลังมหาศาล กระแทกครุฑรุ่นเยาว์ทั้งสองจนกระเด็นลอยหวือไปในอากาศ พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหนือภพเลยแม้แต่น้อย ความห่างชั้นของระดับพลังนั้นกว้างจนไม่เห็นฝุ่น แต่ด้วยพรสวรรค์ของสายเลือดครุฑ พวกเขาย่อมแข็งแกร่งกว่าปุถุชนคนธรรมดาอยู่มากโข แม้จะบาดเจ็บหนักก็ยังคงสามารถเคลื่อนไหวได้ ทั้งสองจึงเคลื่อนที่ถอยหลังเพื่อสร้างระยะห่าง
ขณะเดียวกันนั้นเหล่าสายเลือดพญานาครุ่นเยาว์ทั้งสิบต่างช่วยกันตั้งกระโจมพักแบบชั่วคราวขึ้น บางส่วนแบ่งหน้าที่เอาอาหารที่พกติดตัวมาอุ่น ก่อนจะนั่งเรียงตัวกันบนเสื่อที่ไม่รู้ว่าใครขนมา สายตาพวกเขาจับจ้องดูลูกหลานพญาครุฑที่กำลังอยู่ในสภาพอเนจอนาถ มันทำให้พวกเขามีความสุข ยิ่งดูพร้อม ๆ กับจิบเหล้าไปด้วย แกล้มอาหารยามว่างไปด้วย มันก็ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกราวกับอยู่ในสวนสวรรค์
“นี่ ๆ พวกเจ้ามีแรงแค่นี้หรือไง”
หนึ่งในสายเลือดพญานาครุ่นเยาว์ตะโกนขึ้นฟ้าอย่างดูถูก เมื่อเห็นท่าทางเหยาะแหยะของเหล่าสายเลือดครุฑ ทั้งที่สู้ไม่ได้ก็ยังคงดึงดันที่จะสู้กับเหนือภพ มันจึงเกิดเป็นภาพที่แสนตลกเหมือนเด็กริอาจหาญสู้กับผู้ใหญ่
“ใช่ ไหนว่าเก่งนักเก่งหนา สู้เขาสิ ออกแรงหน่อย”
“พวกเจ้าอย่าพูดยังงั้นสิ เดี๋ยวเด็กมันจะเสียกำลังใจ ฮ่าฮ่า”
“อ้อ ใช่ ฮ่า ฮ่า พวกเราดื่ม !”
จากนั้นเหล่าลูกหลานสายเลือดพญานาคก็ดื่มฉลองกันอย่างสรวลเสเฮฮา ช่างขัดกับบรรยากาศรอบข้างยิ่งนัก
เหนือภพรู้สึกรำคาญ เพราะต่อให้นึกยังไงเขาก็นึกไม่ออกว่าเขาเคยไปทำอะไรให้เจ้าสองตัวนี้ ไม่ว่าเขาจะถามอย่างไรทั้งสองก็ไม่พูดอะไรเลย เอาแต่พุ่งเข้าใส่เหนือภพอย่างหัวชนฝา การกระทำดังกล่าวเรียกความสนใจให้แก่ผู้เข้าสอบที่อยู่ในละแวกนั้นได้เป็นจำนวนมาก สุดท้ายเหนือภพก็สิ้นความอดทน เขาจับทั้งสองเหวี่ยงออกไปคนละทิศละทาง ก่อนทำการกระทืบครุฑอาคมของทั้งสองจนจมดิน จนครุฑอาคมต้องชิงสลายตัวเองไปก่อนที่จะถูกทำลายอย่างถาวร ท่ามกลางสายตาของผู้เข้าสอบคนอื่น ๆ ที่ส่งเสียงโห่ร้องอย่างสนุกสนานและสะใจ
ทว่าการกระทำนี้กลับทำให้สดายุ ผู้อาวุโสตระกูลครุฑที่เฝ้ามองอยู่ถึงกับอารมณ์เดือดจัด
“เจ้าเด็กสารเลวนี่ บังอาจลบหลู่เกียรติสายเลือดครุฑมากเกินไปแล้ว ข้าจะฆ่าเจ้าให้ได้”
กลิ่นอายสังหารของสดายุทำให้ชนชั้นสูงที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์เดียวกันเริ่มขยับกายหนี มีเพียงนาคะเท่านั้นที่ยิ้มกว้าง ก่อนจะกล่าวล้อเลียนว่า
“สายเลือดไก่กาแบบนั้น เจ้ายังคิดว่ามันมีศักดิ์ศรีอยู่หรือไง ศักดิ์ศรีที่อ่อนหัดสู้ไม่ได้แม้แต่กับคนไร้พรสวรรค์ ศักดิ์ศรีแบบนี้ตระกูลของข้าไม่มีเสียดีกว่า”
สดายุจ้องกลับอย่างเดือดดาล คนของสายเลือดครุฑไม่ได้สนใจว่าคนคนนั้นจะเป็นสายเลือดครุฑตระกูลเดียวกันหรือไม่ ไม่สนใจว่าจะเป็นหรือตาย แต่ที่พวกเขาสนใจคือเกียรติ การตายหรือการสูญเสียของสายเลือดครุฑนั้นย่อมต้องมีคุณค่าให้จดจำและได้รับจารึกเอาไว้นานเท่านาน ทว่าเหนือภพนั้นได้ทำการลบหลู่เกียรติของครุฑ ตั้งแต่ที่เขาลอบทำร้ายเวนไตยเพื่อให้พญานาคได้ทำลายครุฑอาคมของเวนไตย การกระทำนั้นเป็นที่โจษจันในบรรดาเหล่าสายเลือดครุฑทั่วแผ่นดิน ต่อให้ไม่มีความแค้นใดกับเหนือภพเป็นการส่วนตัว พวกเขาก็ยังรู้สึกโกรธแค้นแทนกัน สายเลือดครุฑไม่ว่าจะสายเลือดแท้หรือผสม ถึงอย่างไรก็ยังเป็นสายเลือดชั้นสูงที่ใครก็ห้ามแตะต้องหรือลบหลู่เด็ดขาด
ทว่าในมุมมองของเหล่าพญานาคนั้น ชัยชนะจะได้มาอย่างไรก็ยังนับว่าเป็นชนะอยู่ดี ศักดิ์ศรีบ้าบออะไรที่พวกสายเลือดครุฑนับถือนั้นเป็นเพียงแค่เรื่องไร้สาระ
“ตระกูลสกปรก ไร้ศักดิ์ศรีอย่างพวกเจ้าจะเข้าใจอะไร”
สดายุรู้สึกดูถูก ตระกูลที่ไร้ศักดิ์ศรีจะเข้าใจอะไร
“เฮอะ”
นาคะยกไหล่อย่างไม่ใส่ใจและไม่ถือโทษโกรธสดายุ เขาออกจะรู้สึกเบื่อหน่ายด้วยซ้ำที่คำด่าของพวกครุฑนี้มีน้อยเหลือเกิน ด่าได้แต่คำเดิม ๆ เดี๋ยวก็สกปรก เดี๋ยวก็ไร้ศักดิ์ศรี เดี๋ยวก็ไร้เกียรติ นี่แหละหนามัวแต่หยิ่งทระนง สมองปิดกั้นถึงได้มีคลังคำศัพท์น้อยเช่นนี้
เมื่อเหนือภพจัดการเหล่าสายเลือดครุฑรุ่นเยาว์เสร็จ เขาก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่พอมีเวลาได้คิดไตร่ตรอง เขาก็ต้องมานั่งกุมขมับ เขาเผลอลืมตัวไปว่าเขาตั้งใจจะไม่ก่อเรื่องอะไรอีก เพื่อให้ชีวิตของเขาและพราวจันทร์หลังจากนี้เต็มไปด้วยความสุข แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่วายไปหาเรื่องขุมอำนาจใหญ่อย่างครุฑจนได้
ขณะที่เหนือภพตัดใจจะเดินทางมุ่งสู่จุดศูนย์กลางของเกาะเพื่อทำธุรกิจของตัวเอง เหล่าลูกหลานตระกูลนาคราชก็วิ่งกรูเข้ามา ท่าทางเหมือนเด็ก ๆ กำลังเจอวีรบุรุษที่ชื่นชอบ
“พี่เหนือภพใช่ไหมครับ พวกผมเป็นแฟนตัวยงพี่”
“พี่สุดยอดมาก สักวันผมก็อยากให้พญานาคอาคมของผมกินพวกครุฑเฮงซวยพวกนั้นเหมือนกัน”
“พี่มีพญานาคด้วยไหมครับ ขอพวกผมดูหน่อยได้ไหม”
“ใช่ ๆ ผมอยากเห็นท่านพญานาคผู้สูงส่งตัวเป็น ๆ ได้ไหมครับ”
เหล่าลูกหลานตระกูลนาคราชวัย 15 - 16 ปีต่างล้อมหน้าล้อมหลังเหนือภพ ทำให้เหนือภพทำตัวไม่ถูก เขาไม่คิดว่าเขาจะกลายเป็นคนดังในหมู่ตระกูลที่ทรงอำนาจอย่างตระกูลนาคราชไปซะแล้ว
“เอ่อ...”
ใจจริงเหนือภพก็อยากจะให้พวกเขาดูพญานาคนะ แต่ทำอย่างไรได้ช่วงนี้พญานาคเก็บตัวย่อยอาหารอย่างเงียบเชียบ แม้แต่เขายังไม่ได้คุยด้วยเลย ดังนั้นเหนือภพจึงได้ปฏิเสธแล้วอธิบายเหตุผลออกไปตามจริงอย่างเสียดาย เพราะคิด ๆ ดูแล้วหากเขาคิดเงินค่าดูและค่าสัมผัสตัวพญานาคกับตระกูลผู้ร่ำรวยอย่างนาคราช เขาคงได้เงินไม่น้อยเลย
ณ พื้นที่กลางเกาะ
หญิงสาวท่าทางทะมัดทะแมงในชุดเสื้อผ้าข้ารับใช้ตระกูลพฤษภปฐวี เธอชื่อ ‘โมรา’ เป็นข้ารับใช้คนสนิทของคุณชายแห่งตระกูลพฤษภปฐวี เธอแยกตัวจากคุณชายตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาในสถานที่แห่งนี้อย่างไม่มีทางเลือก และหน้าที่ของเธอก็คือการตามจับสัตว์อสูรจำนวนหนึ่งเพื่อช่วยให้ผู้เป็นนายได้ผ่านเข้ารอบ เธอรู้ดีว่าด้วยนิสัยของคุณชายที่นอกจากจิบชาแล้ว คุณชายไม่สนใจอะไรเลย และคุณชายของเธอก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะเข้าสอบเลื่อนขั้นฮันเตอร์ตั้งแต่แรก หากไม่เป็นเพราะคำพูดอันเด็ดขาดของนายท่าน คุณชายก็คงใช้ชีวิตจิบชาชมวิวแสนสวยอยู่ที่ไหนสักแห่งเป็นแน่
โมราหยุดวิ่งหลังจากที่ออกตัววิ่งมาอย่างยาวนาน เธอหยุดก้มตัวหอบหายใจอย่างรุนแรง หลังจากที่เธอตระเวนไปทั่วพื้นที่จนกระชับพื้นที่จากด้านนอกเข้ามาเรื่อย ๆ จวนจะถึงใจกลางของเกาะแล้วก็ตาม แต่มันก็ยังไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตใด ๆ เลย มันแปลกเอาการ
แต่พอคิดดูดี ๆ แม้สถานที่นี้จะเป็นมิติรังอสูรโดยธรรมชาติ แต่หากถูกจัดขึ้นให้เป็นสนามสอบก็เป็นไปได้ว่าจำนวนสัตว์อสูรนั้นมีจำนวนจำกัดตั้งแรก เพื่อคัดเลือกฮันเตอร์แรงค์ D ที่มีความสามารถจริง ๆ ยิ่งผู้เข้าสอบมีจำนวนหลายคนก็ยิ่งต้องแย่งชิงกัน ขนาดเธอเองก็ยังมีหลายครั้งที่พลั้งมือฆ่าสัตว์อสูรจนตายไป ดังนั้นจำนวนสัตว์อสูรที่จะทำให้ผู้เข้าสอบสอบผ่านนั้นจึงมีน้อยยิ่งกว่าน้อย
ในเวลากระชั้นชิดอย่างนี้ทางเดียวที่จะหาสัตว์อสูรมาได้ครบตามคะแนนก็คงจะต้องแย่งชิงเท่านั้น โมราคิดได้ดังนั้นก็ตัดสินใจมุ่งหน้าเข้าไปยังใจกลางเกาะด้วยใบหน้าเด็ดเดี่ยว สำหรับเธอนั้นไม่ผ่านก็ไม่เป็นไร แต่เธอต้องทำให้คุณชายผ่านให้ได้
เวลาใกล้พลบค่ำของวันที่ 3
จวนจะหมดเวลาสอบพอดี ยังมีเหล่าผู้สอบอีกจำนวนมากที่ไม่สามารถจับสัตว์อสูรได้ และมีอีกจำนวนมากเช่นเดียวกันที่เผชิญปัญหาเดียวกับโมรา พวกเขาไม่สามารถจับสัตว์อสูรได้เพียงพอกับคะแนนผ่านเลย ไม่ใช่เพราะไม่มีความสามารถแต่ไม่มีสัตว์อสูรตัวใดให้พวกเขาจับต่างหาก พวกเขาจึงกลั้นใจละทิ้งชื่อเสียงและศักดิ์ศรีเพื่อแย่งชิง
“ปล่อยนะ นั่นมันของข้า”
เสียงเด็กชายบ้านนอกคนหนึ่งร้องขึ้น เมื่อถูกเหล่าลูกหลานขุนนางปล้นชิงสัตว์อสูรที่ตัวเองจับได้อย่างยากลำบากไปต่อหน้าต่อตา
“เจ้าโง่ เจ้าควรจะรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับใช้ผู้สูงศักดิ์อย่างข้าสิ ไสหัวไปซะ”
“เอาของข้าคืนมา”
เด็กชายบ้านนอกไม่ยินยอมชักดาบขึ้นขู่ แต่กลับถูกพรรคพวกลูกหลานขุนนางรุมซ้อมจนเด็กชายบาดเจ็บสาหัส เขาไม่อาจต่อต้านได้เลย แม้ว่าการกระทำดังกล่าวจะน่าอาย แต่การแย่งชิงสัตว์อสูรจากผู้เข้าสอบคนอื่นก็ไม่ได้มีกฎห้ามเอาไว้ตั้งแต่แรก ดังนั้นใครที่แข็งแกร่งกว่าก็สามารถแย่งชิงมันมาได้ทันทีโดยไม่ต้องไม่ลังเล รวมถึงโมรา
ทางด้านสมุทรเองก็ต้องทนฝืนแย่งชิงผู้อื่นเช่นกัน แต่เขาเลือกเอาจากคนที่เขาไม่ชอบหน้าและคนที่ชั่วร้ายที่สุดแทน ตระกูลนาคราชก็ทำเช่นกัน ยกเว้นเพียงตระกูลครุฑ พวกเขามีศักดิ์ศรีมากพอ หากไม่ใช่สิ่งที่หามาด้วยตัวเองพวกเขาจะไม่แย่งชิง เว้นเสียว่าจะมีผู้มอบให้ด้วยความยินดี
แน่นอนว่ามีคนจำนวนมากที่คิดอยากสานสัมพันธ์กับตระกูลครุฑ พวกเขาต่างใช้โอกาสนี้มอบสัตว์อสูรให้เพื่อให้เหล่าสายเลือดครุฑรุ่นเยาว์ติดหนี้บุญคุณ ทว่าโอกาสเหล่านั้นกลับถูกเหล่าสายเลือดนาคราชทำลายจนย่อยยับ
“หน้าไม่อายหรือไง รับของคนอื่นด้วยหรอ ไหนว่ามีศักดิ์ศรีนักมีศักดิ์ศรีหนา สุดท้าย...ก็ต้องงอมือรับของจากคนอื่น เฮอะ”
หนึ่งในสายเลือดนาคราชกล่าวเหน็บแนม พวกเขาไม่สนใจการสอบตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ขอแค่ทำให้พวกสายเลือดครุฑเสียหน้าก็นับว่าประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ
สายเลือดครุฑทั้งสองแม้จะได้รับบาดเจ็บจากเหนือภพ แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นแตกต่างจากฮันเตอร์ทุกคนในที่นี้ แม้เหล่าสายเลือดนาคราชที่ร่วมมือกันสู้กับสายเลือดครุฑถึง 10 ต่อ 2 ยังทำได้แค่เสมอเท่านั้น ดังนั้นพวกสายเลือดครุฑจึงไม่ไว้หน้าอีกต่อไป พวกเขาพุ่งเข้าไปตะลุมบอนกับพวกนาคราชทันที
การต่อสู้ของทั้งสองขุมอำนาจสร้างความปั่นป่วนให้กับผู้เข้าสอบคนอื่น ๆ เป็นอย่างมาก เพราะพวกเขามารวมตัวกันอยู่ในพื้นที่แคบ ๆ หากการต่อสู้ลุกลามก็เกรงว่าจะมีการกระทบกระทั่งกันหลายฝ่าย แต่ทั้งสองตระกูลสุดป่วนก็ยังต่อสู้กันไม่หยุด จนกระทั่งพวกเขาถูกหยุดด้วยเสียงบางอย่าง
ป๊อก ๆ
เสียงเคาะไม้ไผ่ดังต่อเนื่องอย่างเป็นจังหวะ ก่อนจะสลับมาด้วยเสียงประกาศของเหนือภพ
“สัตว์อสูรคร้าบ สัตว์อสูร มีทั้งแรงค์ E และ D หรือแม้แต่แรงค์ C ก็มีนะ มาเลือกชม มาซื้อขายกันได้นะครับ สัตว์อสูรครับ สัตว์อสูร มีทั้งแรงค์ E และ D หรือแม้แต่แรงค์ C ก็มีนะ มาเลือกชม มาซื้อขายกันได้นะครับ”