ตอนที่ 114 ข้าไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป
ตอนที่ 114 ข้าไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารอ่านนิยายก่อนใครได้ที่ FB: ND Translate นิยายแปลไทย
ภายในห้องลับ
ลู่โจวยังคงระดมใช้พลังซัดเข้าใส่กล่องลึกลับใบเดิม กล่องใบนั้นยังคงไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลยแม้แต่น้อย แม้แต่รอยขีดข่วนบนกล่องเองก็ไม่มีเช่นกัน
'กล่องนี่มัน...เปิดไม่ได้ มันหมายความว่าอะไรกัน? ฉันต้องเสียแต้มบุญไปกว่า 2,000 ฟรีๆ อย่างงั้นหรอ? ' ลู่โจวก้มศีรษะลงมาอย่างระมัดระวัง เขาพยายามสังเกตกล่องใบนั้นทุกอย่างแต่นอกเหนือจากร่องบนกล่องแล้วก็ไม่มีอะไรพิเศษอีกเลย
ในตอนนั้นลู่โจวได้นึกถึงอาวุธที่เขามี อาวุธนิรนามนั่นเอง 'จะเกิดอะไรขึ้นกับกล่องใบนี้ถ้าหากใช้อาวุธนิรนามเข้าโจมตีล่ะ? ' ลู่โจวรีบยกมือขวาขึ้นมาทันที หลังจากนั้นดาบรูปร่างสวยงามที่ถูกสร้างขึ้นมาจากอาวุธนิรนามก็ได้ปรากฏขึ้นอยู่บนมือของเขา ตัวเขาได้ใช้ดาบเล่มนั้นโจมตีไปที่กล่องปริศนาอย่างเบามือ
ปั๊ง!
อาวุธนิรนามได้เข้าปะทะกับกล่องปริศนา ในตอนนั้นเองประกายไฟก็ได้ส่องสว่างไปทั่วทั้งห้องลับ
สิ่งที่ลู่โจวทำเป็นอย่างแรกก็คือการตรวจสอบอาวุธนิรนาม มันไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนอะไร หลังจากนั้นเขาก็เหลือบมองไปที่กล่องปริศนา สภาพของมันเหมือนกับอาวุธนิรนาม กล่องใบนั้นยังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปมีแค่รอยขีดข่วนที่เพิ่มขึ้นมาเท่านั้น ในตอนที่ลู่โจวได้กะพริบตา ในตอนนั้นรอยขีดข่วนทั้งหมดก็ได้หายไปซะแล้ว จากเท่าที่สังเกตดูเหมือนว่าอาวุธนิรนามของเขาจะแข็งแกร่งกว่ากล่องใบนี้ แต่ถึงแบบนั้นวัสดุที่ใช้สร้างกล่องเองก็ดูแปลกประหลาดจนเกินไป กล่องใบนี้สามารถฟื้นฟูตัวเองได้
อาวุธนิรนามของลู่โจวสามารถทำลายอาวุธระดับสุดยอดในระดับโลกของอัศวินดำไปอย่างง่ายดาย นั่นหมายความว่ากล่องใบนี้จะต้องมีความแข็งแกร่งพอๆ กับอาวุธระดับสรวงสวรรค์
ลู่โจวรีบลุกขึ้นยืน เขาตัดสินใจที่จะยอมแพ้ให้กับกล่องใบนี้ไป ยังไงซะกล่องใบนี้ระบบก็เป็นผู้ที่ขายมันให้กับตัวเขาเอง มันจะต้องมีประโยชน์ในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าจะกังวลเรื่องเกี่ยวกับกล่องในตอนนี้ไปก็ยังคงไม่มีความหมายอะไร ลู่โจวมั่นใจว่ายังไงในที่สุดเขาก็จะสามารถหาทางออกได้อยู่ดี
"เคล็ดวิชาอักษรสวรรค์" ลู่โจวนั่งขัดสมาธิก่อนที่จะเริ่มทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์อีกครั้ง ในช่วงเวลานี้การที่จะทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์เป็นเรื่องที่ง่ายกว่าการเปิดกล่องใบนั้นมาก นอกเหนือจากนั้นลู่โจวก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ตัวเขาไม่ต้องเป็นผู้เรียบเรียงตัวอักษรในเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ต่อไปแล้ว เมื่อลู่โจวสามารถสงบสติอารมณ์ได้ ในตอนนั้นเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ก็ได้ปรากฏขึ้นภายในใจของเขา เนื้อหาทั้งหมดได้เคลื่อนไหวไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับว่าตัวเขากำลังดูภาพยนตร์อยู่
…
ในขณะเดียวกัน ที่ห้องประชุมของแท่นบูชาหยกเขียว
ผู้อาวุโสคนที่ห้าจากสำนักเที่ยงธรรมจางชูก็ได้เล่าเรื่องสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับจางหยวนฉาน ผู้เป็นเจ้าสำนักของสำนักเที่ยงธรรม ใบหน้าของเขาในตอนนี้เปียกโชกไปด้วยน้ำตา ในขณะที่ตัวเขาเล่าอยู่ตัวเขาก็ได้คิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น และเพราะแบบนั้นผู้อาวุโสคนอื่นๆ ที่ได้ฟังจึงได้แต่ส่ายหัวออกมา
"เจ้าสำนักเร็นบู้ผิงแห่งวิหารปีศาจจงใจที่จะพาทุกคนออกไปจากแท่นบูชา นี่เป็นกลอุบายล่อเสือออกจากถ้ำอย่างแน่นอน เพราะแบบนั้นจีเทียนเด๋าจึงได้ใช้โอกาสนี้สังหารท่านผู้อาวุโสจางไป ข้าเคยบอกแล้วว่าพวกสำนักฝ่ายอธรรมมันไม่น่าเชื่อถือ! "
"จางชู เจ้าแน่ใจแล้วหรอว่าเจ้านั่นคือปรมาจารย์มหาวายร้ายแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้ากับดาบปีศาจยู่ฉางตงน่ะ? " จางหยวนฉานได้ถามออกมาในขณะที่กำลังเอามือไขว้หลังอยู่
"ข้าน้อยแน่ใจ...ถ้าหากท่านเจ้าสำนักไม่เชื่อแล้วละก็ ให้เหล่าสาวกทั้งหมดที่อยู่ที่นั่นเป็นพยานให้กับข้าด้วยเถอะ! " จางชูยกมือขึ้นก่อนที่จะแสดงให้กับเจ้าสำนักคนนี้ได้เห็น "ดูที่มือข้าให้ดี นิ้วโป้งของข้าน่ะถูกเจ้าดาบปีศาจตัดไป! "
ทุกคนที่อยู่ที่นั่นถึงกับตกใจ
"แล้วเจ้ารอดจากการเผชิญหน้ากับดาบปีศาจมาได้ยังไงกัน? "
"เอ่อ...ข้า..."
"พอ! " จางหยวนฉานตะคอกออกมากลางที่ประชุม ในตอนนั้นเองไม่มีใครแม้แต่จะกล้าส่งเสียงออกมา
ทุกคนที่อยู่ที่นั่นไม่แม้แต่จะกล้าสนทนากันเอง พวกเขาทุกคนได้แต่จับจ้องมายังผู้ที่เป็นเจ้าสำนัก
จางหยวนฉานขมวดคิ้วก่อนที่จะพูดออกมาอย่างเสียงดัง "เรื่องในครั้งนี้น่ะมีปัญหาเกิดขึ้นมากมาย พวกเราไม่ควรที่จะด่วนสรุปจนกว่าจะได้รู้ตื้นลึกหนาบางให้ดีกว่านี้ก่อน ในตอนนี้พวกเราจะต้องเก็บความตายของจางฉิวชูเอาไว้ก่อน..."
"จะปล่อยให้ผู้อาวุโสจางตายฟรีอย่างงั้นหรอ? "
"แล้วทำไมล่ะ? เจ้าจะไปแก้แค้นให้เขาอย่างงั้นหรอ? " จางหยวนฉานถามออกมาในทันควัน
ห้องประชุมได้เงียบลงอีกครั้ง
จะมีใครที่กล้ายั่วยุศาลาปีศาจลอยฟ้าอีก? แม้แต่กองกำลังพิเศษจากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์สี่อัศวินดำเองก็ยังไม่สามารถที่จะเอาตัวรอดออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าออกมาได้
ซู่จินฉานจากวิหารปีศาจเองเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ในวิถีแห่งเซนเองยังได้ตายจากไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า แล้วใครกันที่จะกล้าไปที่นั่นอีก? สิ่งเดียวที่พวกเขาทั้งหมดจะทำได้นั่นก็คือการรอเท่านั้น พวกเขาจะต้องรอให้อายุขัยของจีเทียนเด๋าหมดลงไปซะก่อน! เมื่อถึงวันนั้นศาลาปีศาจลอยฟ้าจะต้องถูกทำลายอย่างแน่นอน!
…
ณ เมืองถังซี เมืองที่อยู่ห่างออกไปจากภูเขาออกถึงหลายสิบไมล์ด้วยกัน
ที่เมืองแห่งนี้มีชายชราคนหนึ่งและชายวัยกลางคนอีกคนกำลังนั่งรวมโต๊ะสนทนากันอยู่
ชายวัยกลางคนลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนที่ท้ายที่สุดแล้วจะพูดออกมา "ท่านอาจารย์ พวกเราจะไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าจริงๆ อย่างงั้นหรอ? ข้าได้ยินมาว่าที่นั่นเป็นที่รวมตัวของเหล่าวายร้ายที่ทั้งชั่วร้ายและบ้าคลั่ง ถ้าหากไปที่นั่นอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นกับท่านก็เป็นได้..."
ชายชราคนนั้นได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ ในขณะที่ส่ายหัวไปด้วย "ข้าน่ะลังเลมาตลอดในช่วง 20 ปีที่ผ่านมานี้ บางทีอาจจะเป็นเพราะความกลัว หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะความกังวล ข้ากังวลว่าตัวข้าจะต้องทำให้ชื่อเสียงของสำนักหยุนเสื่อมเสียไป แต่ถึงแบบนั้นข้าก็กังวลอีกว่าจีเทียนเด๋าจะมีอายุมากจนไม่สามารถที่จะต่อสู้ได้อีกต่อไป ถ้าหากเป็นแบบนั้นจริงๆ ข้าก็คงจะต้องเก็บปมในใจที่มีเพื่อที่จะไปเยี่ยมจีเทียนเด๋าที่หลุมศพเท่านั้น ถ้าหากข้าไม่ได้สะสางเรื่องในอดีต ข้าก็คงจะนอนตายตาหลับไม่ได้แน่"
"แต่ไม่ว่าจะยังไงเส้นทางของพวกเราฝ่ายธรรมะอันสูงส่งกับเส้นทางของพวกอธรรมผู้ชั่วร้าย ยังไงซะพวกเราก็ไม่มีวันที่จะไปทางเดียวกันได้"
"ถ้าหากไม่ใช่เพราะตำแหน่งผู้อาวุโสของสำนักหยุน ข้าก็คงจะไม่เลื่อนจนมาถึงวันนี้ได้หรอก? " ชายชราได้พูดขึ้น เมื่อชายวัยกลางคนไม่ได้ตอบอะไรกลับมาเขาก็ได้ถอนหายใจก่อนที่จะพูดต่อไป "เจ้าน่ะยังหนุ่มยังแน่น เจ้าน่ะไม่ต้องรีบเข้ามายุ่งกับเรื่องแบบนี้จะดีกว่า ไว้อายุของเจ้าพอๆ กับข้าเมื่อไหร่ ในตอนนั้นเจ้าก็จะเข้าใจทุกอย่างเอง"
"ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ และข้าไม่คิดที่จะเข้าใจด้วย"
"หุบปากของเจ้าซะ! ข้าน่ะตัดสินใจไปแล้ว เจ้าเองก็อย่าพูดแบบนี้อีกจะดีกว่า" ชายชราได้พูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่
ชายวัยกลางคนคนนั้นได้แต่เก็บความคิดที่มีเอาไว้กับตัวเองต่อไป
…
เวลากว่าสองวันได้ผ่านพ้นไปในพริบตา
ในช่วงเวลาที่ลู่โจวยังคงทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์อยู่ ในตอนนั้นจิตใจของเขารวมไปถึงร่างกายที่มีก็ได้รีบการฟื้นฟูไปด้วย
เมื่อลู่โจวลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ ตัวเขาก็เหลือบมองไปที่แต้มบุญที่ยังคงเหลืออยู่ในระบบ ในตอนนี้เขามีแต้มบุญเหลือ 3,862 แต้มด้วยกัน
'ถ้าหากจะหาแต้มบุญจากการทำภารกิจคงจะช้าเกินไป' ในตอนนั้นลู่โจวตัดสินใจที่จะเลือกใช้วิธีใหม่ เขาจำได้ว่าตราบใดที่มีคนสวามิภักดิ์และเคารพตัวเขา ตัวเขาก็จะได้แต้มบุญมา และในตอนนี้เขาก็คิดออกแล้วว่าจะใช้ลูกศิษย์ที่มีหาแต้มบุญได้จากไหน
ลู่โจวได้ลุกขึ้นยืน ในตอนนั้นเองเสียงของหยวนเอ๋อก็ได้ดังออกมาจากด้านนอกซะก่อน
"ท่านอาจารย์ มีใครบางคนกำลังอยู่ที่เชิงเขาค่ะ เขากำลังรอพบท่านอยู่"
"ใครกัน? "
"ฮั๊ววู่เด๋า"
ลู่โจวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่คิดมาก่อนว่าฮั๊ววู่เด๋าจะปรากฏตัวเร็วถึงเพียงนี้ 'ถ้าหากเขาอยู่ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าที่แม้แต่ทุกคนยังเกรงกลัวแบบนี้ เจ้านี่ก็คงจะเป็นคนที่มีความกล้าหาญอยู่พอตัว'
เอี๊ยด!
ลู่โจวได้ผลักประตูห้องลับออกมา ในตอนนั้นเองเขาได้เดินออกมาโดยที่เอามือไขว้หลังไปด้วย
"ท่านอาจารย์ ท่านดูอ่อนเยาว์ลงอีกแล้วนะคะ" หยวนเอ๋อพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม
ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พูดเหน็บแนมเธอ "ถ้าหากเจ้ามีเวลาว่างมากพอที่จะประจบข้าแบบนี้ เอาเวลาที่ว่านั่นไปฝึกฝนตัวเองจะดีกว่านะ เจ้าน่ะควรทำตามศิษย์พี่สามและศิษย์พี่สี่ของเจ้า"
"ได้เลยค่ะ ท่านอาจารย์" หยวนเอ๋อพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
ทั้งลู่โจวและหยวนเอ๋อทั้งคู่ได้เดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของศาลาปีศาจลอยฟ้า
ในตอนนี้โจวจี้เฟิง, ฝางซง รวมไปถึงผู้ฝึกยุทธหญิงจากวังจันทราได้อยู่ที่ห้องโถงใหญ่อยู่ก่อนแล้ว
ด้วนมู่เฉิงและหมิงซี่หยินเองก็ได้ยืนอยู่ที่ด้านข้างแล้วเช่นกัน
"ท่านปรมาจารย์ ในตอนนี้ฮั๊ววู่เด๋าใกล้ที่จะเดินทางมาถึงแล้ว" ผู้ฝึกยุทธหญิงคนนั้นพูดรายงานขึ้นพร้อมกับโค้งคำนับให้
ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นลูบเคราของตัวเองอย่างใจเย็น ในตอนนั้นเขาก็จำได้ว่าจ้าวยู่ยังอยู่ในถ้ำแห่งเงาสะท้อน และเมื่อคิดได้แบบนั้นตัวเขาก็เลือกที่จะเอ่ยถามออกมา "จ้าวยู่สำนึกผิดแล้วรึยัง? "
หมิงซี่หยินเป็นคนโค้งคำนับคนแรกก่อนที่จะตอบคำถาม "ศิษย์น้องห้าได้ไตร่ตรองอดีตของเธออยู่ที่ถ้ำแห่งเงาสะท้อนในทุกๆ วันแล้วท่านอาจารย์"
"เวทมนตร์คาถาทำให้นางมีอาการทรุดหนักไหม? " ลู่โจวถามออกมาอย่างสนอกสนใจ
"ศิษย์คิดว่าตอนนี้นางยังคงไม่เป็นไร"
ลู่โจวพยักหน้า พลังของเวทมนตร์คาถาเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดอย่างแท้จริง พลังของเวทมนตร์คาถายังผนึกพลังวรยุทธของจ้าวยู่เอาไว้ได้ ในตอนนี้คนที่ใช้เวทมนตร์คาถาที่อยู่ในพระราชวังคงจะวางแผนที่จะทำอะไรสักอย่างเป็นแน่ "จับตาดูนางเอาไว้ก็แล้วกัน"
"ศิษย์เข้าใจแล้ว! "
ในตอนนั้นเองผู้ฝึกยุทธหญิงก็ได้พาตัวผู้ฝึกยุทธชราและผู้ฝึกยุทธวัยกลางคนเข้ามาที่ห้องโถงใหญ่ การมาถึงของพวกเขาทั้งสองคนทำให้ทุกคนหันไปสนใจในทันที
ชายชราคนนี้ดูเหมือนกับชายอายุราวๆ 70 รูปลักษณ์ของชายคนนี้ดูธรรมดาเป็นอย่างมาก ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ เองอายุน้อยกว่ามาก แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ได้พกดาบเล่มใหญ่มาด้วย
ชายวัยกลางคนรู้สึกประหม่าอย่างเห็นได้ชัด เขามองไปรอบๆ ในทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องโถงใหญ่
ในทางกลับกันชายวัยกลางคนไม่ได้ดูประหม่าเลยแม้แต่น้อย สีหน้าของเขายังเคร่งขรึมเช่นเดิมในขณะที่เดินมาด้วยความเร็วที่ไม่เร็วไม่ช้าจนเกินไป
'นี่คือฮั๊ววู่เด๋าผู้ที่เคยต่อสู้กับจีเทียนเด๋าเมื่อนานมาแล้วอย่างงั้นหรอ? '
ในขณะที่เดินเข้ามาถึงใจกลางห้องโถงได้ ชายชราคนนั้นกลับไม่เลือกที่จะคุกเข่า เขาเลือกที่จะผสานมือกันเพื่อทำท่าคารวะก่อนที่จะเริ่มพูดขึ้นมา "พวกเราพบกันอีกแล้วนะ"
เหล่าสาวกคนอื่นๆ ที่เห็นท่าทีแบบนั้นรู้สึกไม่พอใจ
ลู่โจวเหลือบมองไปที่ชายชราคนนั้นก่อนที่จะพูดขึ้น "นั่งลงก่อนสิ"
ฮั๊ววู่เด๋ารับข้อเสนอแต่โดยดี เขานั่งลงก่อนที่จะพูดออกมา "ที่จริงข้าควรจะแวะมาเยี่ยมเยียนท่านก่อนหน้านี้ แต่เพราะข้าถูกธุระรวมไปถึงเรื่องอื่นๆ ผูกมัดเอาไว้ เพราะงั้นข้าก็เลยจะต้องมาเยี่ยมท่านอย่างล่าช้าแบบนี้"
ลู่โจวลูบเคราของตัวเอง เขาไม่ได้รีบร้อนที่จะพูดออกมาแต่อย่างใด ตัวเขาได้แต่พูดออกมาอย่างไม่แยแส "ฮั๊ววู่เด๋า เจ้าน่ะมาจากสำนักหยุน สำนักฝ่ายธรรมะผู้ยึดถือในเส้นทางคุณงามความดี เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าเจ้าเพราะเจ้ามาเยือนถึงศาลาปีศาจลอยฟ้าเองแบบนี้หรอ? "
ฮั๊ววู่เด๋าที่ได้ยินแบบนั้นได้ตอบออกไปอย่างใจเย็น "ข้าอาจจะเคยกลัวมาก่อนในอดีต...แต่ในตอนนี้ข้าไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป ข้าน่ะเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วหลายครั้งต่อหลายครั้ง...ถ้าหากข้ากลัวท่านจริงๆ ข้าก็คงจะไม่มาถึงที่นี่ในวันนี้ได้! "
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารอ่านนิยายก่อนใครได้ที่ FB: ND Translate นิยายแปลไทย